วัน ๖ ฯ๙ ๒ ค่ำ

วัน ๑ ๒ ค่ำ

๏ หน้าพลับพลาที่ตรงนี้นั้นมีถ้ำ แลเห็นดำอยู่ตรงกลางหว่างเวิ้งขาว
เห็นเปนช่องคูหาลงมายาว พึ่งค้นใหม่ในคราวเสด็จนี้
ทำบันไดขึ้นไปใหม่จากในน้ำ ถึงชานถ้ำสามวาว่าเต็มที่
เดินเข้าไปถึงหน้าคูหารี สูงสี่วาสองศอกนอกทีเดียว
เดินเข้าไปได้คล่องสักสองวา ต้องตะแคงกายาอย่างเอียงเอี้ยว
ถ้าเปนซอกกรอกตรงไม่วงเลี้ยว ไปประเดี๋ยวที่กว้างอย่างน้อยน้อย
แล้วต้องคลานประมาณสี่วาถ้วน มีโพรงคด้วนอยู่อิกนิดติดต้องถอย
ดูท่าทางอยู่ข้างจะโคมลอย ครั้นจะปล่อยให้ข้างในไปจะช้า
จึงเสด็จแต่พระองค์แล้วทรงเล่า ฉันจำได้ไว้เปนเค้าเอามาว่า
เสด็จกลับเคลื่อนกระบวนด่วนยาตรา เช้าสองโมงกับสิบห้าเศษนาฑี
ไปคุ้งหนึ่งถึงแก่งวังเขมร เกาะตอเปนขึ้นอยู่กลางหว่างวิถี
น้ำเชี่ยวจัดพัดเรือเบื่อเหลือดี ทางวารีฝั่งเหนือเรือครรไล
เขาตาเล็กวังเขมรเห็นอยู่หน้า เรี่ยวธาราเชี่ยวอย่างคว้างคว้างไหล
ต่อนั้นน้ำเงียบทีเดียวเลี้ยวคุ้งไป มีเขาใหญ่ท้องคุ้งสูงพอแรง
อันเขาปลักมูลกระบือคืออยู่หน้า มีศิลาเรียงรายเปนหลายแห่ง
ยังซ้ำเรียวเชี่ยวขวางอยู่กลางแปลง ศิลาแฝงฝั่งยื่นยืนออกไป
ที่แก่งปลักมูลกระบือลือชื่อแท้ สายกระแสเชี่ยวจนวนทนไม่ไหว
ซ้ำหักเปนข้อศอกออกหนักใจ ศิลาในน้ำกองออกนองเนือง
ร่องน้ำเลี้ยวแหลมตะไคร้ไปข้างเหนือ ต้องครู่ละเก๋งเรือตลอดเรื่อง
หัวแก่งมีศิลาแดงแสงประเทือง ก้อนเขื่องเขื่องย่อมย่อมพร้อมทุกอัน
คิรีหน้าผาเด่นเห็นฝั่งใต้ สองยอดใหญ่อยู่ข้างหลังตั้งขึงขัน
ตรงหน้าผาท่าซุงอยู่คุ้งนั้น ตลิ่งชันฉายบ้างทางลากไม้
มีทับอยู่ริมทางไม่ห่างฝั่ง มีคนนั่งทั้งเด็กแลผู้ใหญ่
ทีจะเปนกระเหรี่ยงบ้างฤๅอย่างไร ทรงซักไซ้สืบความถามหลวงพล
ได้ความว่านายร้อยคำมาทำป่า จ้างลว้าข่าสอดในไพรสณฑ์
กระเหรี่ยงมีรับจ้างบ้างบางคน ลากหน้าฝนล่องหน้านี้ทุกปีไป
คนทำการมีประมาณห้าสิบหย่อน กับกุญชรชักมีสี่เชือกได้
ปีหนึ่งตกอย่างน้อยห้าร้อยใน แปดร้อยไม้อย่างมากลากลงมา
แต่ก่อนนี้ว่ามีต้นโตชุม ตัดกันกลุ้มจนไม้ใหญ่หมดป่า
ที่ล่องอยู่เดี๋ยวนี้มีกำวา เพียงสี่ห้าหกเสร็จจนเจ็ดกำ
เคยตกมาอยู่ในห้าหกร้อยต้น อย่างมากจนทันประเมินไม่เกินก้ำ
ค่าตอต้นละสลึงหนึ่งประจำ ไม้ใหญ่ทำค่าตอต้องต่อเติม
เปนต้นละบาทหนึ่งถึงขนาด พิกัดขาดมิได้มีที่ต้องเพิ่ม
ถึงไม้มีก็ไม่ดีเหมือนอย่างเดิม ค่าตอเสิมสูงถึงบาทจึงขาดทุน
อย่างยาวมีเพียงสี่วาสองศอก จึงลากออกป่าได้ไม่ต้องวุ่น
ยาวกว่านั้นคัดลากยากชุลมุน ต้องเข็นรุนตามเขาลำเนาเนิน
ครั้นจะล่องช่องทางอยู่ข้างยาก ลดเลี้ยวมากไม่สนัดมักขัดเขิน
มาตามทางพบบ้างกำลังเดิน ไม่มีเกินห้าหกกำเปนธรรมดา
พ้นท่าซุงคุ้งหนึ่งก็ถึงแก่ง ชื่อดึกดักนามแสดงเปนปฤศนา
มีตะไคร้สามกอเกาะต่อมา ชื่อว่าบ้องตี้มีคำแปล
ว่าห้วยข่าเปนภาษาข้างรามัญ ไทยเรียกตามไปเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแก้
ที่หน้าเกาะนั้นเปนแก่งแบ่งสองแคว ศิลาใหญ่ในกระแสผุดเรียงราย
อิกทั้งฝั่งที่ตรงนี้นั้นมีห้วย ก็ชื่อบ้องตี้ด้วยสิ้นทั้งหลายย
พวกบ้องตี้นี้ไม่ใคร่กระจัดกระจาย ตั้งแยกย้ายก็แต่ท่าข้างหน้าไป
มีเกาะตั้งบังอยู่ดูเหมือนหาด น้ำเชี่ยวปราดเปนเรี่ยวเกี่ยวอยู่ใกล้
เปนสองเกาะเหลื่อมเยื้องเบื้องนอกใน เดินบกได้ถึงบ้องตี้ที่ในดอน
เปนที่แยกโทรเลขทางทวาย เติมช่วยสายโป่งสแกทำแต่ก่อน
เปนแต่ทางที่จะตัดลัดบทจร มิใช่ตอนตัดทางวางสายมา
ถัดไปนี้ถึงที่ตำบลประรอม คำมอญย่อมแปลว่าดุโดยภาษา
มีหาดวังทั้งเกาะแก่งก้อนศิลา ล้วนชื่อว่าประรอมสิ้นถิ่นเดียวกัน
ตอนที่หนึ่งถึงหาดแล้วผาดผ้าย ทวนน้ำท้ายแก่งเชี่ยวเปนเกลียวลั่น
ตัวแก่งแจวละอย่าเลอเก้อทั้งนั้น ต้องถือยันสาวเชือกเกลือกขึ้นไป
ที่กลางแก่งแกล้งซ้ำทำให้ปวด มีโขดกรวดเกิดขวางทางน้ำไหล
น้ำก็ตื้นแต่เปนเกลียวเชี่ยวสุดใจ หัวเรือไม่ใคร่จะตรงกลับลงมา
ต้องโยงเชือกโยงปอถ่อยันค้ำ คนลงน้ำช่วยเข็นเบนบากหน้า
แม้หัวปั่นหันคว้างขวางธารา เปนบอกว่าแตกได้ไม่มีแคล้ว
มีเกาะเล็กเกาะน้อยลอยดาดาด อิกทั้งหาดหัวแหลมแถมอิกแถว
พ้นตัวแก่งขึ้นไปยังไม่แล้ว ต้องไปแจวน้ำเชี่ยวเหนี่ยวอยู่่นาน
บันดาแก่งในตำแหน่งแม่น้ำนี้ ยกแต่ที่แก่งหลวงห้วงไพศาล
ก็แก่งนี้นับเปนที่อย่างกันดาร เปนสถานที่สองรองลงไป
ถัดแก่งนี้เห็นคิรีทั้งหลังหน้า แจวขึ้นมาหมายมุ่งสองคุ้งได้
เห็นคลองโป่งฝั่งขวาขาครรไลย มีท่าบ้านคนอยู่ใกล้ไม่เห็นเรือน
ไปหน่อยหนึ่งถึงบ้านไทรโยคใหม่ เรือนหมู่ใหญ่มีคนมากล่นเกลื่อน
อยู่ชายหาดเห็นสนิดไม่บิดเบือน จึงคลายเคลื่อนที่นั่งทอดจอดตพาน
พวกชาวบ้านหญิงชายถวายของ คนละกอบคนละกองเกือบหมดบ้าน
ทรงจำแนกแจกจ่ายเงินประทาน นั่งอยู่กลางสุริย์ฉานไล่ไม่ไป
กำลังเปรี้ยงเที่ยงเศษเสด็จยาตร ขึ้นตามหาดคลาเคลื่อนสู่เรือนใหญ่
เปนหลังเดียวเฉลียงกว้างกั้นข้างใน ข้างหน้าใช้ไผ่ลำทำเปนชาน
ยายมอญแก่แม่บ้านจัดการรับ ที่นอนพับปูลาดสอาดสอ้าน
ประทับที่ยกพื้นรื่นสำราญ แกหมอบกรานพูดขอรับไม่อับอาย
อันเรือนนี้ที่ข้างในไม่ได้เห็น ข้างนอกเปนเฉลียงโถงโปร่งใจหาย
ยกพื้นด้านหุ้มคลองเปนห้องยาย เข้าของรายกองกลาดดาษดา
กระดานเรียบเทียบประทังตั้งชามถ้วย จ่ากระบวยเมื่อจะเก็บใช้เหน็บฝา
รเบียงล่างวางเครื่องครัวนานา ส่วนผักปลาแขวนรายไว้ท้ายเรือ
อันเครื่องมือต่างต่างบ้างเหน็บแขวน ออกเนืองแน่นเนืองนองกองกลาดเกลื่อน
นกขุนทองร้องเพรียกเหมือนเรียกเตือน มิให้เบือนบ่ายบากจากนี้ไป
อันบ้านนี้เดิมอยู่ที่เมืองไทรโยค ว่าเกิดโรคปีศาจดุอยู่ไม่ได้
หากินยากห่างจากทางลากไม้ มาตั้งใหม่อยู่ที่นี่สองปีปลาย
เรือนประมาณสิบหลังดูทั้งหมด คนกำหนดหกสิบสังกัดหมาย
เปนพวกมอญรักษาด่านตั้งบ้านราย กระเหรี่ยงท้ายเขามีสี่ตำบล
ทำไร่แตงไร่เข้าตัดเสาส้าง เที่ยวยิงเสือเนื้อกวางในไพรสณฑ์
นายด่านเปนหลวงบัญชาว่าผู้คน ชื่อรักษาจุมพลใจภักดี
ตัวไม่อยู่ดูการที่ประทับ ภรรยาคอยรับอยู่ที่นี่
คนชราที่ฉันว่าเมื่อกี้นี้ อายุได้แปดสิบสี่เปนมารดา
พระราชทานเงินตราห้าตำลึง กับห่มหนาวผืนหนึ่งปลื้มนักหนา
ทั้งนารีที่ว่าเปนภรรยา ก็ได้ผ้าสก๊อดห่มพอสมกาย
จะทรงซื้อนกขุนทองก็พร้องเพราะ เจ้าของเจาะจงจิตต์คิดถวาย
ประทานหกบาทกริ่มยิ้มสบาย แล้วเสด็จผันผายชมเขตรคาม
บ้านทั้งหมู่ดูเรือนเกลื่อนเกะกะ ปลูกเปะปะตามทีไม่มีห้าม
มียุงเข้าเล้าไก่ใหญ่น้อยตาม ที่เปนยามมีจนคนครอบครอง
ปลูกกล้วยอ้อยผักหญ้าประสายาก ไม่มีมากไม้ผลได้ยลสอง
คือมพร้าวขนุนนี้มีเนืองนอง ฉันมุ่งมองหาดอกไม้ไม่ใคร่มี
เห็นต้นดอกสีชมภูอยู่หลังบ้าน กำลังบานดาษดาเหมือนผ้าสี
เขาเรียกต้นอ่อนกันในบ้านนี้ แต่แดดร้อนเต็มทีต้องแฝงบัง
ที่นี่มีนายร้อยชันนั้นตัดไม้ มอญของไทยดอกมิใช่บ่าวฝรั่ง
ค่อนข้างเปนเศรษฐีมีกำลัง ว่าถึงตั้งเรือนใหญ่ใช้ฝากระดาน
ช้างห้าเชือกเลือกจ้างลว่าข่า สามสิบกว่าทำไม้ในไพรสาณฑ์
ได้ล่องสองสามร้อยน้อยประมาณ ดูเปนท่านของพวกนี้ว่ามีนัก
เสด็จกลับลงประทับเรือที่นั่ง ออกจากฝั่งโมงเท่าใดไม่ประจักษ์
มีเกาะเล็กริมฝั่งตั้งตรงพักตร์ ชื่อใช้ยักกันให้รู้เปนคู่เคียง
เกาะหนึ่งเรียกไม้เปนเห็นอยู่ซ้าย เกาะไม้ตายอยู่ข้างขวาเรือมาเลี่ยง
ไปอิกหน่อยหนึ่งศิลาหน้าฝั่งเรียง ดูเรียบเพียงเขื่อนก่อลออตา
สูงแต่น้ำถึงหลังฝังแปดศอก ไม่ยักยอกยาวสามสิบวากว่า
ที่ขอบเขื่อนเกลื่อนเสมอพสุธา ตั้งเสมาป้อมก็ใช้กันได้ดี
ไปหน่อยหนึ่งถึงแก่งท้ายลูกเสือ ต้องเดินเรือใกล้เกาะฉะเพาะวิถี
ดูโชนเชี่ยวฉานฉ่าสายวารี เห็นเขามีหน้าหลังตั้งซับซ้อน
ดูเหลื่อมบังดังจะนับไม่ถูกถ้วน เหมือนเรือสวนไปในกรอกซอกศิขร
ถัดไปนิดชิดข้างหนทางจร ชายเฟือยอ่อนเปนชวากบากเข้าไป
เหมือนลำน้ำทำทีให้หนีเข้า แต่ครั้นเทาแท้ไปไม่ถึงไหน
เปนแต่ทางพรางหยอกหลอกลวงใจ ว่าจะซนอยู่ฤๅไม่ได้รู้กัน
ไปคุ้งหนึ่งถึงศิลาก้อนใหญ่ใหญ่ เรียงไสวริมฝั่งตั้งบิดผัน
ถึงบ้านย่านแก่งลูกเสือเรือผ่านพลัน ต่อตอนนั้นถึงแก่งแปลงเปลี่ยนนาม
ชื่อว่าหัวลูกเสือเจือชื่อก่อน ศิลากับนขาวขาวชาวเรือขาม
น้ำเชี่ยวพันแหลมตะไคร้ไหลโครมคราม ศิลาตามริมฝั่งตั้งรายไป
ที่วังพระระยะนี้นั้นมีหาด มีเขาขาดริมฝั่งตั้งใกล้ใกล้
เลี้ยวคุ้งเนื่องเรื่องเขารักประจักษ์ใจ ตรงฝั่งใต้หาดทรายขยายนาม
เรียกว่าหาดค่ายเก่าเข้าการทัพ ตั้งรบรับครั้งใดไม่ได้ถาม
แล้วตกวังศิลาดาดหาดทรายงาม ล่วงคุ้งข้ามเขตรตำแหน่งแก่งปรังตา
คำรามัญนั้นแปลว่าต้นตาล ศิลาดานหัวหาดมีกลาดหนา
ก้อนใหญ่ใหญ่ในระหว่างกลางชลา เห็นเชี้ยวฉ่าเปนละลอกกระฉอกชล
มีโขดกรวดตั้งต่อฝั่งเหนือ ต้องโยงเรือสาวพวนสวนสับสน
รองอยู่กลางหว่างศิลาธาราวน พอไปพ้นถึงหาดดาดศิลา
สีแดงแดงแพลงพลัดตัดทางย้วย มาถึงห้วยแล้วเลยเรี่ยวเชียวนักหนา
ชื่อก็คงลงเช่นหลังเรียกปรังตา ทัศนาเห็นต้นไม้ไทรโยคชัด
เรื่องเขาเกวียนเวียนฉวางมาขวางหน้า เขาแดนเด่นเห็นขวายาวถนัด
ศิลารายชายคงคามาตพัด ทั้งสองฟากบากตัดเปนตอนตอน
ที่ไหนว่างข้างฝั่งเฟือยตะไคร้ แล้วหมูไผ่ซ้อนซับสลับสลอน
ถึงตอนในไม้ใหญ่อย่างดงดอน พอทินกรยอแสงแฝงเมฆา
ชนีร้องสองฟากมีมากทั่ว เสียงปั๋วปั๋วเพรียกไปที่ในป่า
บ้างห้อยโหนโยนไม้ใกล้มรรคา ดูหน้าตาหงอยเงื่องเหมือนเชื่องดี
กำลังชมฝูงชนีที่พฤกษา คนข้างหน้าโจทย์กันสนั่นมี่
ว่าคชาลงมาเล่นวารี ดูเหมือนชี้กันทุกคนจนเรือรา
ฉันก็ทึ่งเต็มทนค้นจนพบ เห็นยืนปรบหูเงื่องเชื่องนักหนา
งามสรรพสรรพางค์หางงวงงา แต่ช้างป่าเจียวยังเรียบรเบียบครัน
นั่งชมเพลินมิได้เมินไปอื่นได้ เฉลียวใจทำไมมาตัวเดียวนั้น
ตกลงเปนช้างเลี้ยงเลิกเถียงกัน มาเกิดขันก็เพราะที่ไม่มีคน
แก่งท้ายเมืองเขื่องกว้างขวางแม่น้ำ เรือแจวจ้ำแล้วอย่าเล่นไม่เปนผล
ได้แต่ถ่อแลจะพอประทังทน กว่าจะพ้นขึ้นไปได้ใจรอนรอน
ที่หัวแก่งแขวงประจิมริมฟากฝั่ง มีเขาตั้งตกวารีมีหนึ่งก้อน
เมืองไทรโยคอยู่ในพงป่าดงดอน มพร้าวซ้อนอยูพอเห็นเปนสำคัญ
ที่เหนือเมืองเนื่องไปไม่สู้มาก เปนช่องปากคลองมีอยู่ที่นั่น
กว้างหกวาเรือไปได้ในนั้น เขาเรียกกันแม่น้ำน้อยจ้อยลงไป
ทางที่มานี้ก็ว่าแม่น้ำน้อย เพราะเล็กถอยลงมากว่าน้ำแควใหญ่
คนที่อยู่แควนี้ทีเข้าใจ ว่าพอใช้อยู่เปนอย่างกว้างเต็มที
ครั้นมาเห็นลำนี้ที่เล็กจ้อย เรียกน้ำน้อยด้วยมิใช่จะใส่สี
ด้วยความเห็นเช่นฉันเดาเค้าอย่างนี้ สายวารีไหลปราดไม่ขาดคลอง
ต้นธารามาแต่เขาแดนนอก ข้างปลายแตกแยกออกไปเปนสอง
คือน้ำน้อยสองสายที่หมายปอง ชื่อจึงพร้องเพราะว่าหมายสายเดียวกัน
แล้วเรือเลี้ยวหักตัวที่หัวหาด เปนพงดาดดื่นเข้าไปถึงไพรสัณฑ์
พลับพลาเมื่อปีฉลูอยู่ที่นั้น เขากลัวกันอยู่เดี๋ยวนี้ว่าผีคนอง
ไปคุ้งหนึ่งจึงมีคิรีขวาง บ้างเวิ้งว้างปรุโปร่งเปนโพรงช่อง
เงื้อมชง่อนซ้อนแซกแปลกละบอง บ้างเปนปล่องคูหาริมวารี
เรือน้อยน้อยลอยลอดไปจอดได้ อยู่ข้างในร่มแสงสุริย์ศรี
เหลือจะร่ำพรรณาด้วยท่าที ด้วยว่ามีต่างต่างหลายอย่างนัก
ที่ท้ายเขาศาลเจ้าไทรโยคตั้ง ฦๅว่าขลังเรืองฤทธิสิทธิศักดิ์
มีคนบนบวงเทพารักษ์ เพิงผาที่พักเครื่องสักการ
บนชง่อนคีรีมีต้นกร่าง สองต้นอย่างสูงใหญ่ริมไพศาล
ที่หัวหาดตรงนี้มีท่อธาร เสด็จผ่านเลยไปไม่ได้แวะ
เปนแต่เห็นไกลไกลได้ฟังเล่า เที่ยวสืบเค้าข้อความตามเก็บแกะ
ที่กล่าวไว้พอเต็มเรื่องเครื่องนำแนะ อย่าค่อนแคะว่าฉันเดาเล่าหลอกลวง
พุธารานั้นออกมาตรงหน้าศาล ไหลหลั่งพล่านลงไปที่ในห้วง
กว้างสองศอกนอกเปนขอบรอบในรวง เหมือนมะม่วงรูปรีที่น้ำริน
ที่ต่ออ่างนั้นเปนทางเอี้ยวอ่อน แล้วกระท้อนตกหักกระพักหิน
ต่อไปเปนธารตื้นตามพื้นดิน สามวาสิ้นสุดลงในคงคา
ที่ซึมออกซอกคิรีมีอิกช่อง ก็พ่นขึ้นยังอิกสองตามปล่องผา
มารวมลงธารใหญ่ได้พรรณา เขาเรียกว่าพุไทรโยคอยู่แทบทาง
ไปคุ้งหนึ่งถึงเพิงภูผาใหญ่ เงื้อมออกไปง้ำนทีเปนที่กว้าง
ลึกสิบห้าวาว่าที่ตรงกลาง ยาวตามข้างเขาเห็นสองเส้นปลาย
สูงขึ้นไปได้ถึงแปดวาถ้วน เรือกระบวนสินทั้งนั้นที่ผันผาย
เข้าไปจอดทอดข้างในได้สบาย อย่างเรียงรายไม่ต้องเสียดยัดเยียดกัน
ในเพิงนี้ที่เปนเช่นกาบหอย ในสอบหน่อยงามดีเปนสีสัน
ลายเหมือนอย่างศิลาอ่อนซับซ้อนพรรณ ข้างบนนั้นน้ำกัดเหมือนเกล็ดปลา
ที่ริมขอบรอบข้างบนกลภู่ห้อย สายน้ำย้อยหยาดดูเปนภู่ผา
รายสล้างเหมือนอย่างแขวนพวงรย้า งามติดตาติดใจมิได้ลืม
ที่สุดเพิงเวิ้งปลายท้ายก้นหอย เปนพุน้อยตุ๊กตามันน่าปลื้ม
เหมือนลอบต่อท่อมาเล่นเปนการยืม พอกาดื่มดูไกลก็ไม่รู้
ต่อเรือใกล้จึงได้ฟังเสียงหลั่งไหล เหมือนมาในถ้ำปล่องเสียงก้องอู้
มีศิลาปิดขวางอย่างประตู ช่องเปิดอยู่แต่ฉะเพาะเหมือนเจาะไว้
วาวีรินลงรางกว้างสักคืบ แล้วเซาะสืบตามทางตกอ่างใหญ่
กว้างสองศอกออกพร่าบ่าลงไป ที่ห้วงไม่ใหญ่เห็นเปนสองทาง
แล้วไหลซาบอาบผาเหมือนหน้าเนิน สายน้ำเดินตกนทีที่ข้างล่าง
มีพื้นอยู่เพียงเท่านี้ที่ตรงกลาง ดูโดยกว้างพอนั่งพักสักห้าวา
ที่หลังเนินเฟินขึ้นเปนหย่อมเกาะ เหมือนละเมาะหมู่ไม้ที่ในป่า
ตะไคร่น้ำคร่ำจับหลังศิลา เหมือนทุ่งหญ้าเตียนกว้างข้างคิรี
สายธารคดลดเลี้ยวเหมือนลำน้ำ แล้วช่วยทำตัดทางหว่างวิถี
ลดเลี้ยวไปในป่าพนาลี จัดเปนที่สนามรบมีครบครัน
แบ่งโยธีมีกองเปนสองเหล่า พวกหนึ่งเจ้าของประเทศกันเขตร์ขัณฑ์
ตั้งบนเนินต้นน้ำที่สำคัญ คอยป้องกันต้นทางข้างบรรพต
ทอดตพานผ่านลำนทีกว้าง ไปตั้งข้างฝั่งขวาเต็มหน้าหมด
วางป้อมดินเปนระยะไม่ละลด ชักปีกกามาจดบรรจบกัน
ยอดคิรีมีเต็นตัวแม่ทัพ คอยบังคับการยุทธสุดขยัน
ด้วยเห็นทั่วทุกลำเนาบนเขานั้น รู้เชิงชั้นปรปักษ์จะหักตี
โทรเลขรายตลอดจนยอดผา จะบัญชาอย่างไรได้ถ้วนถี่
ปลูกเต็นผ้าหน้าค่ายรายโยธี ล้วนเสื้อสีแดงทั่วตัวพลไกร
ส่วนโยธีที่เปนฝ่ายปรปักษ์ มาอยู่พักค่ายตั้งฝั่งข้างใต้
ตั้งป้อมรายชายคงคาเต็มหน้าไป ลากปืนใหญ่ขึ้นช่องจ้องจุดยิง
ทำตพานผ่านมหาสาคเรศ เจ้าของเขตรขัดใจมิได้นิ่ง
เชิงตพานรบพุ่งกันยุ่งจริง ทหารม้าฝ่าวิ่งวกอ้อมมา
ถึงหน้าเขาเจ้าพวกแดงยิงแย้งยุด อุตลุดเต็มทีที่หน้าผา
กองสเบียงเลี้ยงดูหมู่โยธา ก็จัดหาอยู่ข้างหลังกำลังทำ
บ้างตั้งหม้อต่อไฟใส่กระทะ ดูเอะอะวุ่นกันวันยังค่ำ
แต่ค่ายนี้ท่วงทีจะอดน้ำ เห็นจะจำเปนเพลียต้องเสียที
พลไกรใส่เสื้อน้ำเงินทั่ว ดูน้อยตัวกว่าพวกเจ้าของที่
บ้านในป่าไปข้างหลังก็ยังมี เจ้าของหนีเข้าไพรไม่มีคน
ทั้งควันปืนควันเตาเข้าตาหู จนจามใหญ่ไม่รู้สักกี่หน
ถึงดินปืนฟืนหอมยอมเหลือทน ต้องรอจนธูปหมดจึงจดจำ
ทูลกระหม่อมทุกพระองค์ทรงตุ๋งตุ๋ง ดำเนินยุ่งทึ่งจนพ้นจะร่ำ
จนบ่ายควรจวนกลับจับเก็บกำ ลงห่อซ้ำเสด็จมาอย่าสงคราม
พ้นคิรีมีชายเฟือยเรื่อยไปหน่อย เรือเคลื่อนคล้อยเห็นประจักษ์ไม่พักถาม
ท่าถ้ำพระเปนระยะเนืองมาตาม จะขอข้ามไปไว้ว่าเมื่อมาชม
ต่อตอนนี้มีศิลาร่องน้ำกัด ท่าเปลี่ยนผลัดไปกว่าอย่างปางประถม
ที่เอนชายหลายอย่างบ้างแขงคม บางแห่งร่มบางแห่งแจ้งไม่แฝงบัง
พ้นหาดต่อกอตะไคร้ไปคุ้งหนึ่ง ก็พอถึงเขาตกน้ำง้ำขอบฝั่ง
เปนเขาค้อมอ้อมคุ้งไม่รุงรัง ศิลาตั้งหัวเขาเข้าเค้าเกวียน
จึงตั้งนามตามทึกเปนสำเหนียก ได้ใช้เรียกชื่อขานการอ่านเขียน
จะขอว่าวันหลังยังจะเวียน มาพากเพียรจดจำเรื่องถ้ำคู
ไปนิดหนึ่งถึงเวิ้งเปนเพิงยื่น ฟองน้ำยืนขึ้นไปเปนเช่นกับภู่
คล้ายรูปงิ้วตุ๊กตาทาสีชู คล้ายรูปหลุยจินจู๊ในเรื่องจีน
เสียงโจทย์ถามตามกันสนั่นจ้า ว่าไหนพุตุ๊กตาเห็นแต่หิน
ตัวพุอยู่ที่ตรงไหนฤๅใกล้ดิน ไม่รู้สิ้นมุ่งมองตรองหาธาร
อิกคุ้งหนึ่งถึงตำแหน่งแก่งถ้ำผึ้ง น้ำเชี่ยวตึงดูดเรือเหลือสงสาร
ฝีพายถ่อย่อยันแสนกันดาร จนพ้นผ่านถึงวังจึงตั้งแจว
เขาน้ำผึ้งถึงน้ำซ้ำชโงก ดูสูงโกรกพรุนโพรงโปร่งเปนแถว
เห็นหลายช่องรองนับจับตามแนว มหดช่องแล้วถ้ำผึ้งถึงที่ปลาย
แลข้างล่างกว้างประมาณสักศอกหนึ่ง แต่สูงถึงสิบสองวาน่าใจหาย
ไม่ได้เพราะว่าชันนั้นมากมาย ไม่มีชายเชิงฝั่งตั้งบันได
ในคิรีนี้ไปไม่ไกลมาก น้ำตกจากถ้ำโว้งโพรงไศล
ปากช่องมองเห็นจนข้างใน ดูซึ้งใสเปี่ยมขังวังศิลา
เสียงครื้นครั่นลั่นพิฦกดังกึกก้อง คือน้ำตกตามปล่องห้องคูหา
ส่วนข้างนอกนิ่งแน่เห็นแต่ปลา ว่ายไปมาเหมือนในอ่างกระจ่างกาย
เปนน้ำเอ่อเท้อท้นล้นปากช่อง มาตกต้องกระพักตรงลงเปนสาย
สท้อนเขาลงในอ่างพร่างกระจาย แล้วเขาปลายลงข้างล่างทางลำธาร
ทางลดเลี้ยวเอี้ยวค้อมอ้อมไปซ้าย ฑิตรงปลายตกน้ำลำละหาน
สูงราวจักสี่ศอกบอกประมาณ ดูสอ้านสอาดขาวราวน้ำนม
ส่วนลำธารกว้างประมาณสักสองศอก ลึกเปนซอกไปในต้นไม้ร่ม
ยาวสิบห้าวาถ้วนควรจะชม มีไม้ล้มน้ำลอดตลอดมา
เหตุไฉนไม่แจ้งจึงแพลงพลิก เรียกพุพริกน่าเข็ดเผ็ดนักหนา
ที่ตรงข้ามตามหาดดาดศิลา ยาวสักสิบเส้นกว่าน่าอัศจรรย์
เกาะตะไคร้แล้วก็ไปถึงท้ายแก่ง เรียกตำแหน่งน้ำโจนโชนเชี่ยวผัน
เสด็จลงเรือม่วงล่วงไปพลัน ที่นั่งใหญ่ไปทันไม่ห่างไกล
ไปพ้นแก่งแขวงขวาตรงหน้าเขา สูงไม่เบาปรุโปร่งโพลงไศล
เรียกว่าถ้ำน้ำโจนระอาใจ เข้าไม่ได้ไปหน่อยหนึ่งถึงน้ำซับ
ดูซึมออกซอกศิลามาหน่อยหนึ่ง ทำไมจึงเรียกพุเพียงสับปลับ
ไม่มีใครจะใคร่เห็นเปนที่ลับ ด้วยใกล้กับพุใหญ่เขาไม่ดู
พ้นตรงนี้ทีเห็นเหมือนเช่นท่า แต่เขาว่าห้วยน้ำโจนตะโกนกู่
ยังไม่เห็นใจเต้นตลอดรู้ เสียงซู่ซู่กึกก้องท้องนที
โน่นแน่น้ำโจนใหญ่มิใช่หรือ เสียงอออืออึงกันสนั่นมี่
เห็นประทับอยู่ที่หน้าพุวารี เรือที่นั่งทอดที่แพบวบลอย
เพ่งพินิจพิศดูที่ภูผา สายธาราขาวลอองเปนฟองฝอย
กว้างสักสิบวาได้มิใช่น้อย แต่ตกย้อยลงมายาวราวห้าวา
ไม่เว้นว่างพร่างพรายสายกระแส ดูเต็มแพร่เพียงแต่อย่างบางกับหนา
เปนสองตอนผ่อนชั้นกันลงมา สักแปดวาโดยกว้างที่ข้างบน
อาบตลอดมิได้ปลอดระยะว่าง เหมือนปากรางหว่างหลังคาเวลาฝน
แต่ชั้นรองสองข้างทางสายชล ตกทดท้นแรงกว่าที่หน้ามอ
ที่ปลายธารผ่านลงตรงสายเหนือ บ่าแผ่เพรื่อไปไม่เปนเช่นปากท่อ
น้ำกระทบตามคั่นหลั่นไหลออ เหมือนเอาอ่างวางต่อต่อกันขึ้นไป
ทั้งแคบกว้างย่อมใหญ่นับไม่ถ้วน รอธารทวนคึกคึกหาลึกไม่
ถึงชง่อนตอนเสมอชั้นชไมย ก็เลยไหลตกตรงลงคงคา
แต่แยกทางวางจังหวะกะเปนสี่ กระทบที่แง่ชง่อนตามก้อนผา
ทีเปนอ่างบางแห่งแบ่งธารา ได้อาบพร่าแผ่ไปได้ก็มี
สายข้างใต้ไม่สู้กว้างแต่อย่างยิ่ง แรงจริงจริงโกรกตรงลงเต็มที่
สักวาหนึ่งถึงอ่างรองก้องเกินดี จนวารีกระแทกท้นพ่นขึ้นไป
สูงกว่าศอกเปนละลอกกระฉอกฉาน ที่เชิงชานรับล่างอ่างใหญ่ใหญ่
น้ำกระท้อนผ่อนเปนชั้นคั่นบันได จนตกในคงคาซ่ากระเซน
ที่ตรงกลางข้างบนชอบกลนัก เปนเพิงพักงามเอ๋ยไม่เคยเห็น
เปนถ้ำน้ำงามกระไรไหลเยือกเย็น ไปนั่งเล่นได้ข้างในไม่เปียกกาย
ที่หน้าถ้ำน้ำพรางอย่างมุลี่ กระจกคลี่แผ่นใหญ่ไม่ฉลาย
ถึงแดดร้อนซ่อนอยู่ในได้สบาย กระแสสายเสมือนรุ้งพุ่งอัมพร
ที่อ่างหน้าออกมาตื้นยืนเพียงข้อ มีแคร่ต่อพอสำนักหยุดพักผ่อน
ได้ชำระสระอินทรีย์สีกายกร แล้วจึงจรลงในอ่างข้างซ้ายมือ
อันวารีมิใช่ตื้นยืนเพียงอก ที่ล้นตกลงข้างใต้ใหญ่เบาหรือ
น้ำเชี่ยวคว้างเหมือนสีข้างจะฟัดครือ ต้องคอยดื้อดึงดันถึงยันกราน
ที่ชั้นล่างตรงกลางทางน้ำอาบ พอซึมซาบไปทั้งหน้าผาแผ่ผ้าน
แต่ต้นไม้นั้นไม่มีที่กันดาร ต้องคิดอ่านเล่นกรุดขุดมาเติม
คือต้นปรงกล้วยไม้ใบต่างต่าง เปนหลายอย่างซ่อมแปลงตกแต่งเพิ่ม
แต่คนทำเข้าทีดีกว่าเดิม ฉันนั่งเหิมฮึกใจในนาวา
พอรับสั่งว่าจะสรงฉันลงก่อน เที่ยววิ่งว่อนควักไขว่ไปหาผ้า
เสด็จขึ้นตามทางหว่างธารา ปีนหน้าผาจนต้องฉุดเกือบหลุดโครม
โผขึ้นไปได้เพียงอกจะหกหัน เพราะน้ำดันมาข้างหน้าสุดถาโถม
พลาดลงมาน้ำผ่าลงหัวโครม เผ่นกระโจมขึ้นไปได้ดีใจจริง
เที่ยวอาบเล่นเปนสุขสนุกสนาน จนถึงธารเที่ยวทุกคุ้งเดินหนุงหนิง
ไม่มีหนาวเลยสักนิดเหมือนปลิดทิ้ง เสียแต่วิ่งไปเนื้อเนื้อเจ็บเหลือหน
สายธาราว่ามากกว่าแต่ก่อน ฉันเด็กอ่อนจำไม่ชัดข้องขัดสน
เช่นท้องช้างอย่างเดียวเหนียวสกนธ์ รสระคนกร่อยฝาดไม่ขาดคง
เสด็จมาแต่เวลาห้าโมงถ้วน เล่นน้ำป่วนปั่นไปเหลือใหลหลง
จนเวลาสุริยาอัสดงค จึงได้วงเวียนกลับขึ้นพลับพลา
ดูตำแหน่งแห่งใดไม่ถ้วนถี่ ผัดพรุ่งนี้หน่อยหนึ่งจึงจะว่า
ปรอทร้อนที่ในเรือเมื่อขึ้นมา ผิดเวลาวานนี้ดิครีเดียว
แปดสิบเก้าเข้าขนาดไม่ขาดเหลือ เกือบไม่เชื่อจะใคร่เห็นเปนเหี่ยวเหี่ยว
ด้วยเหื่อไหลไปไม่ขาดประหลาดเจียว ขอเลิกเลี้ยวลงเปนจบสงบที ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ