๏ ปรอทร้อนสองวันฉันลืมว่า |
แปดสิบแปดเปนตำรายืนคงที่ |
ยังส่วนหนาวเล่าก็เท่าคืนก่อนมี |
หกสิบสี่ตอนสว่างอย่างเดียวกัน |
เวลาสายสุริยงสรงสนาน |
เหมือนเมื่อวานเพราะว่าร้อนต้องผ่อนผัน |
สามโมงครึ่งจึงได้แต่งตัวพร้อมกัน |
กว่าจะได้จรจรัลสี่โมงปลาย |
ทรงผยองหยาดฟ้าม้าที่นั่ง |
ทหารแห่หน้าหลังดูหลากหลาย |
ข้างในไปรถยี่ปุ่นลากรุนท้าย |
บ้างทรงวอแต่ว่าย้ายหามสี่คน |
เดินทางข้างค่ายตามฝ่ายใต้ |
พึ่งเลาะลัดตัดใหม่เข้าไพรสณฑ์ |
กว้างสี่ศอกสองข้างทางจรดล |
ไม่ตัดต้นไม้ใหญ่ไว้ใบชิด |
ระยะแรกแหวกไปในแถวไผ่ |
เลียบริมลำแม่น้ำใหญ่ใกล้ติดติด |
ยอดประกันกั้นแสงพระอาทิตย์ |
คนึงคิดสวนมาลีที่ในวัง |
แสนอาไลยไกรลาศคิรีเตี้ย |
ไผ่โต้เรียทางครรไลไปข้างหลัง |
พยัคฆามาซุ่มซุ้มไผ่บัง |
แม้ที่นี่มีดังในสวนโน้น |
จะสนุกเต็มประดาสิ้นท่าหนี |
เห็นหมดที่หมดท่าจะผ่าโผน |
ต้นไม้ใหญ่ก็ไม่มีที่เอนโอน |
จะจู่โจนขึ้นไปนั่งกำบังกาย |
ทางเปนเนินเดินขึ้นลงไม่ตรงลิ่ว |
รถเลื่อนปลิวลงไปจนใจหาย |
ขาขึ้นคนชุลมุนเข้ารุนท้าย |
ถึงที่ราบเดินสบายทางเรียบดี |
ตัดหนทางอย่างใหม่ชอบใจฉัน |
ถึงกลางวันแดดเท่าไรไม่ร้อนจี๋ |
เห็นต้นหมากรากไม้ใกล้ทางมี |
เปนท่วงทีธรรมดาป่าจริงจริง |
ไม้บางต้นตั้งดังฉัตรชัดจังหวะ |
บ้างเกะกะเกี่ยวกอดตลอดกิ่ง |
บ้างเอนชายปลายทอดยอดแอบอิง |
บ้างทิ้งกิ่งใบโกร๋นดูโกรนเกรียน |
ทางคดเคี้ยวเลี้ยวตัดไปตามไร่ |
ร่องยาวใหญ่แลตลอดดูลิ่วเลี่ยน |
ไม่มีหญ้าเขารักษาสอาดเตียน |
สู้พากเพียรผ่อนผันด้วยหมั่นทำ |
อันไร่ริมมรคามาวันนี้ |
ยาบุหรี่ผักกาดแลกระหล่ำ |
เปนมีมากกว่าอย่างอื่นยืนประจำ |
เกือบถึงถ้ำเต็มทีจึงมีนา |
ต่อนามอญตอนนี้มีเทือกเขา |
เหมือนอย่างเราก่อเล่นเปนภูผา |
ไม่โตใหญ่น่าใคร่เล่นตุ๊กตา |
คล้ายสวนขวาชายน้ำริมลำธาร |
เปนวงกลมสมวางกลางสนาม |
ดูงดงามเหลือดีไม่มีสมาน |
เพิ่มไม้ดัดได้ระยะจะตระการ |
ยามสำราญนั่งชมเมื่อลมชาย |
แต่ค่ายมาตามมรรคาที่ตัดใหม่ |
เขาวัดได้ร้อยเส้นเห็นหลักหมาย |
เชิงภูผาเรียกว่าที่ซ้องควาย |
พอสบายไม่สู้เหนื่อยถึงเลื่อยล้า |
ต้องลงรถขนคิรีศิลาลาด |
ยุรยาตตามทางหว่างก้อนผา |
ที่บางก้อนคลอนสเทื้อนเลื่อนไปมา |
ต้องตั้งตาจดจ้องย่องขึ้นไป |
ถึงที่ชันกั้นราวได้น้าวหน่วง |
ออกเสียวทรวงใจสั่นให้หวั่นไหว |
ไม่กลัวตกกลัวแต่พลาดฟาดลงไป |
จะฮาใหญ่อายยับทับทวี |
ทางก็ใกล้แต่ในใจเหมือนไกลสุด |
ช่างอยากหยุดเหมือนจะไปไม่พ้นที่ |
ยิ่งก้าวขาก็ยิ่งล้าลงทุกที |
อยากวารีร้อนเหลือจนเหื่อพราว |
พอพ้นชันผันผายค่อยง่ายหน่อย |
ส่างเสื่อมถอยหวาดหวั่นที่พรั่นหนาว |
เห็นปะชำย่ำใจก้าวได้ยาว |
รีบสาวท้าวครู่หนึ่งถึงเสื่อปู |
จะไปนั่งยังไม่ได้จนใจนัก |
ต้องหยุดพักกลางถนนจนสักครู่ |
เพราะท่านโปรดครุคระฉันกะดู |
เสด็จกริ้วจึงได้กรูกันขึ้นไป |
อันเยี่ยงอย่างที่ข้างในนี้ขันขัน |
จะว่าคอตซีกันก็ว่าได้ |
ฤๅเปนกึ๊กันก็มีที่เคยใช้ |
แม้ไม่ทำก็ไม่ได้ดูไม่ดี |
ถ้าผู้ใหญ่นั่งที่ไหนตามไปถึง |
ต้องคนึงเสาะหาดูท่าหนี |
มีที่บังก็ต้องนั่งให้ลับลี้ |
แม้ไม่มีก็ต้องหาดูท่าทาง |
แห่งไหนต่ำซ้ำไกลได้อย่างยอด |
ก็ต้องทอดออกไปนั่งให้ห่าง |
ต่ำลงไปได้เพียงใดจงไว้วาง |
นั่งพื้นล่างที่สุดเปนสมควร |
ธรรมเนียมน์มีแต่ก่อนมากกว่านี้ |
ถูกกริ้วกันถี่ถี่นับไม่ถ้วน |
จางจางไปใครเปนเชื้อมาเจือกวน |
ก็กลับป่วนกันไปใหม่ได้ทุกครั้ง |
ที่จริงนั้นท่านผู้ใหญ่ในความเห็น |
ก็ย่อมเปนต่างต่างอย่างแต่หลัง |
ถ้าเห็นเปนเกียรติยศเต็มกำลัง |
ก็มักสั่งคอตซีเปนทีไว้ |
ว่าให้ขึ้นมานั่งเสียข้างบน |
มามิมาหาทำวลเรียกอิกไม่ |
บางทีซ้ำคอตซีทวีไป |
จนผู้น้อยเข้าใจว่าทำดี |
ไม่ขึ้นไปไม่เปนไรหามิได้ |
ต่างคนต่างสบายใจเหวเต็มที่ |
ที่ชาชาเผลอไผลไปก็มี |
ตัวอยู่นี่ใครอยู่ไหนไม่ต้องดู |
ถึงน่าเกลียดเปนไฉนไม่รู้สึก |
เพราะไม่นึกอัปยศอายอดสู |
จะเสียหายประการใดก็ไม่รู้ |
เฉยเฉยอยู่ไม่ไหวติง “นิ่งเสียดี!” |
บางทีท่านไม่ชอบใจแคะไค้ว่า |
ก็ไม่เชื่อวาจาจรจากที่ |
กลับเคืองขุ่นมุ่นหมกไปก็มี |
เปนจู้จี้ยียวนกวนน้ำใจ |
เพราะผู้น้อยนั้นก็ใจไปต่างต่าง |
ชอบอยู่ห่างไม่อยากไปใกล้ผู้ใหญ่ |
กลัวต้องหมอบรัศมีจะหมองไป |
พูดอะไรไม่สนัดข้องขัดครัน |
ดูอันใดก็ไม่ชัดสนัดสนี่ |
เพราะต้องซ่อนรัศมีไม่เฉิดฉัน |
นั่งเปิดยศอยู่ห่างท่างที่ข้างนั้น |
ให้เห็นว่าผิดกันแต่เพียงยศ |
อีกพวกหนึ่งเห็นผู้ใหญ่พอใจเหว |
จะทุ่มเทปาส่งลงให้หมด |
บ้างอยากไปท่านไม่เรียกก็จำงด |
ครั้นไม่ลดเปนทลึ่งถึงเสียคน |
นี่แลใจไปต่างต่างกันอย่างนี้ |
ใครจะคิดทำดีก็ขัดสน |
ถึงผู้ใหญ่ท่านไม่รังเกียจรังกน |
ก็ไม่พ้นขัดข้องต้องติดตัน |
เพียงคนเดียวเจียวถ้าดื้อถือแบบเก่า |
ส่วนพวกเราก็ต้องคั่งพลอยนั่งมั่น |
ต่อพร้อมใจเปลี่ยนใหม่ให้เหมือนกัน |
จึงจะสิ้นเชิงชั้นเช่นว่านี้ |
เมื่อเดือนเก้าคราวไปทเลนั้น |
นับว่าเรียบร้อยกันไม่จู้จี้ |
เพราะน้อยตัวหัวเก่าไม่ใคร่มี |
ถ้าเช่นนี้แล้วก็ตายอายแขกยับ |
ฉันพรั่นตัวกลัวเสด็จขึ้นมาเห็น |
จะเกิดเข็ญถ้ากระไรในต้องกลับ |
จนท่านเตือนแล้วยังเลือนเลยบังคับ |
ถึงขากลับนั่งไม่ได้อิกครา |
แต่เชิงผามาถึงปรำพัก |
ทราบตระหนักหกเส้นเปนคำว่า |
เปนเศษทางวางไว้อิกห้าวา |
ถึงชวากปากคูหาถ้ำมะเกลือ |
ต้องจุดไฟลงบันไดสักสิบคั่น |
ตั้งออกชันพรั่นตัวน่ากลัวเหลือ |
ถึงพื้นถ้ำเหมือนยังค่ำดูครุมเครือ |
ได้รางเรื่อกระจ่างแจ้งด้วยแสงเทียน |
ที่ถ้ำกลางกว้างใหญ่มิใช่ย่อม |
เดินอ้อมค้อมเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน |
ข้างขวาพื้นกระดานลาดเขากวาดเตียน |
ว่าหลวงญวนบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี้ |
มีพระพุทธรูปใหญ่ไว้องค์หนึ่ง |
ดูจะพึ่งปิดทองสุกผ่องสี |
เลี้ยวเข้าซอกหนึ่งใหญ่ไปได้ดี |
ไม่จรลีได้ถึงไหนก็ไปตัน |
แต่กลางช่องมีปล่องอยู่ข้างซ้าย |
ต้องก้มกายคลานลอดเกือบขอดสัน |
พอหลุดท้ายหงายหน้าขึ้นดูพลัน |
ในถ้ำนั้นแลเห็นเหมือนเช่นกรวย |
ดูสูงลิ่วแลโล่งเปนโปล่งปล่อง |
เหมือนแว่นส่องไฟฟ้าดูท่าสรวย |
รากไม้หย่งกระทั่งพื้นยอดพุ่งพวย |
ขึ้นไปรวยรับน้ำค้างอยูข้างบน |
ตอนนี้ไปทางไถลลงไปล่าง |
จะลงบ้างก็อุทัจดูขัดสน |
กลัวเลื่อนกรูดปรูดลงไปไม่ยั้งตน |
จะเจ็บป่นเสียเปล่าเปล่าไม่เข้าการ |
กลับทางเก่าลืมเล่าถึงเหวลึก |
ไม่รู้สึกก็ดูน่าปาฏิหาร |
ฉะเพาะอยู่ตรงกระพักดักกันดาร |
ที่ปีนผ่านเข้าในปล่องช่องไปมา |
เดินแซกซอกออกชวากเหมือนฉากกั้น |
ดูลดหลั่นแลสลับเหมือนกับฝา |
เข้าช่องแคบต้องตะแคงแพลงกายา |
แต่ดูท่าคนจรัลก็ผันพอ |
ถ้าอ้วนใหญ่แล้วเข้าไปเปนต้องติด |
ฉันปานกลางอย่างหวุดหวิดทีเดียวหนอ |
บ้างต้องแย่เอาที่แง่ไว้ตรงฅอ |
จึงลอดต่อเข้าไปได้ถึงในนั้น |
ดูน่าชมกลมรอบเปนขอบข้าง |
เพดานอย่างห้อยภู่ดูเฉิดฉัน |
ทางน้ำหยัดมากมายหลายสิบอัน |
หน้าวสันต์น้ำจะพรายคล้ายกับบัว |
มาหน้าแล้งแห้งหมดยังหยดเหยาะ |
เผลอไปหนอยผอยเผาะลงถูกหัว |
ออกจากนั่นผันผายเดินรายตัว |
เที่ยวไม่ทั่วด้วยเวลานั้นสายัณห์ |
เดินเยื้องย่างข้างขวางเข้าฝาถ้ำ |
ลงพื้นต่ำแล้วขยับหลับผายผัน |
ขึ้นพื้นสูงแซกสลับซับซ้อนกัน |
ศิลาคั่นอยู่เปนห้องมองเข้าไป |
มีแคร่ไม้ใช้ต่างโต๊ะเครื่องเส้น |
คงจะเปนเรื่องโค้งไม่สงไสย |
คือหลวงญวนที่อยู่นี่ไม่มีใคร |
ศิลาใหญ่ปิดทองลองเส้นวัก |
ที่พื้นถ้ำคราบน้ำเห็นถนัด |
จะจำวัดกันอย่างไรไม่ประจักษ์ |
ฤๅอยู่แต่ระดูแล้งเห็นแคลงนัก |
ถ้าหน้าฝนคงประดักประเดิดแท้ |
กลับขึ้นมาล้าเลื่อยเหนื่อยพอใช้ |
อยากจะใคร่เอนอ่อนลงนอนแน่ |
ให้ระหวยระหายน้ำชำเลืองแล |
นั่งริมแคร่อมกรวดแทนขวดน้ำ |
ยังถ้ำฝ้ายปลายทางห่างถ้ำนี้ |
ทางสักสี่ห้าเส้นเห็นจวนค่ำ |
ข้างในไม่ได้ไปได้ฟังคำ |
รับสั่งว่าสนุกล้ำถ้ำมะเกลือ |
ฦกลงไปมีบันไดถึงสองชั้น |
เขาทูลว่าผายผันลำบากเหลือ |
ครั้นเสด็จลงไปไม่เอื้อเฟื้อ |
ก็เห็นเปนแต่ว่าเผื่อกันผิดไว้ |
ลงบันไดตอนหนึ่งถึงพื้นลาด |
ถ้าจะพลาดก็เห็นจะเปนได้ |
เปนดินปนก้อนศิลาเคลื่อนมาไป |
หลุดไถลคลาศที่มีเนืองเนือง |
ในถ้ำนี้ที่ลม้ายคล้ายเขาหลวง |
แต่อย่าล่วงเทียบทานการย่อมเขื่อง |
เทียบแต่ท่วงทีผาท่ารุ่งเรือง |
แต่ในเรื่องซอกแซกแปลกทีเดียว |
เปนห้องน้อยห้องใหญ่พรอนไปหมด |
บ้างเลี้ยวลดลับตามันน่าเที่ยว |
เล่นเอาเถิดจับยากลำบากเจียว |
เสียแต่เสียวหัวจะตำนั้นร่ำไป |
เปนภู่ห้อยย้อยรย้าหาว่างยาก |
รูปหลากหลากแลอร่ามงามไสว |
ย้อยถึงพื้นแล้วก็มีที่ลงไป |
เกือบใกล้ใกล้ธรณี่ก็มีชุม |
ที่ช่องต่ำคว่ำคลานเข้าโพรงผา |
พ้นออกมาพวงภู่ห้อยอยู่กลุ้ม |
จะยืนหยัดแล้วต้องตัดเข้าข้างมุม |
ถ้าซ่ามซุ่มเศียรเจาะเปนเคราะห์ร้าย |
ยังเปนโพรงโล่งแลแต่ที่นั้น |
ดูเหมือนกันกับที่นอกที่บอกขยาย |
แต่เล็กลงน่าเอ็นดูพวงภู่ราย |
ที่ตรงปลายเปนขาวขาวยาวยื่นย้อย |
ดูสีสันวรรณะเหมือนเทียนไข |
หล่อเมืองไทยเปนเกลียวออกเขียวหน่อย |
คลานเข้าไปหักได้มาไม่น้อย |
จะใช้สอยได้อย่างไรก็ไม่รู้ |
เขาจุดไฟไว้สว่างในกลางถ้ำ |
โคมแมงดาดำดำเสียงฟ่อฟู่ |
เที่ยวไม่ทั่วกลัวค่ำจะทำพู |
เสด็จสักครู่เดียวขึ้นมาเวลาพลบ |
พระเสโทท่วมพระองค์เหมือนสรงน้ำ |
กลับประรำที่เก่าเข้าบรรจบ |
กระบวนในไฟสว่างกระจ่างคบ |
เดดินทวนทบทางเก่าลำเนาเนิน |
ถึงเชิงผาม้าที่นั่งเสด็จก่อน |
จากศิงขรลัดเลาะดังเหาะเหิน |
กระบวนรถขากลับวุ่นยับเยิน |
เกือบต้องเดินกันมาบ้างในกลางคืน |
เมื่อขาไปใช้ถึงรถละสอง |
เก้าอี้เปล่าไปเปนกองกำลังตื่น |
มันเกินหนักจนไปหักกันครามครืน |
สั่งกันใหม่ไปอย่างอื่นให้รายตัว |
ถึงเชิงผาพากันแย่งไปขึ้นหมด |
ไม่มีรถพอจะให้ได้ไปทั่ว |
ที่เคราะห์ดีพบเก้าอี้ขี่กันนัว |
ต้องยืนซัวกันอยู่มีสี่ห้าคน |
รถไม่รอพอขึ้นได้ก็ไปจี๋ |
เก้าอี้เปล่าก็ยังมีไม่ขัดสน |
ไม่มีใครเรียกให้เขาไปพ้น |
ต้องกอดต้นไม้ปฤกษาหาฤๅกัน |
มีผู้สั่งว่าให้ยั้งอยู่ที่นี่ |
กว่าเก้าอี้จะมารับกลับผายผัน |
คุณเถ้าแก่ที่ท่านคอยคุมอยู่นั้น |
มีความคิดดีพลันสั่งทันที |
ว่าจะรอคอยไปนั้นไม่ได้ |
พบรถไหนหลวมไปให้ขึ้นขี่ |
จึงกลับมาตามกันได้วันนี้ |
พอถึงที่สองทุ่มมืดคลุ้มจริง |
ต้องชำระสะสางถึงขว้างซัด |
สืบความชัดซักไซ้ได้ทุกสิ่ง |
คุณท้าว “ก” เอาเก้าอี้ขี่หนีทิ้ง |
นุ่งอย่างยิ่งมีผิดติดกายา |
คุณเถ้าแก่สองศรีมีความชอบ |
ต้องรบอบกลัวผิดคิดรักษา |
คุณ “ข” รอเรียกให้รถรา |
คุณ “ค” ว่าอยู่ไม่ได้ให้ขึ้นรถ |
ปรับท้าว “ก” ข้อไม่ดีสี่สิบบาท |
ยังลดขาดหย่อนไว้ไม่เต็มบท |
ให้เถ้าแก่เปนบำเหน็จเสร็จแทนทด |
ได้ปรากฎภายหน้าเปนตราไป |
ส่วนจ่า “ง” ต่อตามโดยความเท็จ |
บอกพร้อมเสร็จตามวิญญาหาตรวจไม่ |
ต้องทำโทษโดยอาญาเปนตราไว้ |
อย่าให้ใครดูทำบ้างอย่างเช่นนี้ |
ทางจะเที่ยวได้ที่นี่มีหลายแห่ง |
จึงจดแจ้งความไว้ในไดรี |
เขาข้างเหนือเห็นตรงอยู่ตรงนี้ |
นามคิรีพุรางวางชื่อไว้ |
ไปขึ้นท่าหน้าวัดเหนือเหมือนเมื่อก่อน |
หนทางจรเก้าสิบเส้นเห็นจะได้ |
ไปพาชีขี่ขึ้นไปได้ไกล |
จนเกือบใกล้จะบรรลถึงพุราง |
เดินหน่อยหนึ่งก็พอถึงสถานที่ |
รางวารีศิลาไลยไม่กว้างขวาง |
วิดเท่าไรไม่รู้แห้งอย่าแคลงคลาง |
แล้วแยกทางจากนั้นไปไม่ไกล |
ถึงหนองบัวลาดหญ้าฝ่าทุ่งกว้าง |
ไปสุดทางถึงตำบลเขาชนไก่ |
ที่ลาดหญ้าถ้าจะเลี้ยงคชไกร |
สักกี่ร้อยก็จะได้ไม่ขาดแคลน |
ด้วยทุ่งหญ้าหนาแน่นเปนแผ่นพืช |
ดูยาวยืดสุดตาเต็มหนาแน่น |
เปนตำบลสำคัญการกันแดน |
ใครหวงแหนไว้ได้ไม่กันดาร |
เขาชนไก่บ้านยายทองประศรี |
เขาว่าวัดของแกมีเปนถิ่นฐาน |
มีอยู่จริงเปนจังหวัดวัดโบราณ |
แต่จะพาลเอาฤๅไรไม่แน่นอน |
ตรงหน้าบ้านเขาชนไก่ออกไปนี้ |
ลำนทีเลื่องฦๅชื่อกระฉ่อน |
ลำตระเพิ่นทางเดินกองทัพมอญ |
เข้านครกาญจน์บุรีมีลิลิต |
ชื่อเตลงพ่ายพงศาวดาร |
ข้ามตพานพลศัตรูดูอักนิษฐ |
ไทยลอบเผาตพานมอญรอนความคิด |
มอญเสียทัพถอยไปติดลำน้ำนี้ |
กองทัพไทยไล่กระชั้นบุกบันฟาด |
มอญวินาศนับหมื่นแตกตื่นหนี |
จึงควรทึ่งเพราะที่ว่ามาทั้งนี้ |
เปนเกียรติยศธานีบุรีเรา |
หนึ่งตำบลประเทศถิ่นเรียกหินดาด |
คู่กันกับลาดหญ้าที่ว่าเล่า |
ก็น่ายลด้วยตำบลถิ่นลำเนา |
เปนที่เก่ามีชื่อฦๅมานาน |
ไม่ห่างน้ำตรงข้ามกับลาดหญ้า |
ข้ามที่ท่าเฃาชนไก่ไม่ไพศาล |
น้ำพอท่วมหลังม้าว่าประมาณ |
ทางกันดารด้วยต้องฝ่าศิลาไป |
เปนก้อนกลิ้งทิ้งอยู่ดูเกลื่อนกลาด |
แต่ขนาดย่อมย่อมไม่สู้ใหญ่ |
ขับอาชาฝ่าได้สดวกใจ |
ทางว่าไว้ร้อยยี่สิบพอดิบดี |
ถึงที่แผ่นผาศิลาดาด |
เหมือนแผ่นเดียวเลี่ยนลาดตลอดที่ |
จนต้นหมากรากไม้ไม่ใคร่มี |
ยิ่งกว่าขึ้นบนคิรียังมีดิน |
ไปหน่อยหนึ่งถึงที่ธาราพุ |
ไหลทลุขึ้นมาคั่งตามวังหิน |
เรียกพุพระน้ำสอาดปราศมลทิน |
จะตักกินสักเท่าใดไม่ขาดแคลน |
ถ้าล่องกลับตามลำดับชลมารค |
ไม่ลำบากตามน้ำลำเรือแล่น |
ต้องข้ามแก่งสองแห่งไม่ยากแค้น |
ถ้ามาทแม้นเรือตรงลงสบาย |
ที่หนึ่งนามแก่งเสี้ยนตามสำเหนียก |
ที่สองเรียกแก่งจีนจำได้ง่าย |
ที่เขาตกตรงเขาปูนข้ามไป |
มีถ้ำใหญ่หลวงจีนอยู่ประจำ |
ทางไม่ไกลแต่ขึ้นไปบนเขานั้น |
อยู่ข้างชันหน่อยหนึ่งถึงปากถ้ำ |
ที่ช่องอื่นไม้อัดขัดปิดงำ |
เปิดประจำแต่ตรงหน้าเปนท่าทาง |
ที่ห้องกลางวางโต๊ะบูชาตั้ง |
เปนที่นั่งที่อยู่ดูกว้างขวาง |
หลืบข้างซ้ายเข้าของแขวนกองวาง |
ส่วนหลืบข้างขวามีแคร่ที่นอน |
ที่ห้องย้อยห้อยยื่นไปข้างหลัง |
เครื่องครัวตั้งต่อติดคิดผันผ่อน |
เพดานคร่ำดำเลอะเปื้อนเปรอะปอน |
ทางซอกซอนเที่ยวไปได้ยังมี |
ที่กล่าวไว้พอให้ดูได้รู้เรื่อง |
ได้เปนเครื่องแนะนำตำบลที่ |
เผื่อว่าใครไปมาที่เมืองนี้ |
ดูไดอรีได้ประกอบสอบตำบล |
แสนร้อนใจเขียนไปกลัวจะค้าง |
เวลาว่างอัตคัดข้องขัดสน |
ดูยืดยาวเจียววันนี้ต้องนิพนธ์ |
ขอจบจนวันหน้าว่าต่อไป ฯ |