๏ ยังไม่ทันเรื่อแรงแสงภานุมาศ |
ก็เสด็จยุรยาตรลงสู่ท่า |
เป่าแตรสัญญาบอกออกนาวา |
ล่องลงมาตามทางกลางนที |
พวกฝีพายออกสบายใจขึ้นมาก |
ขี้คร้านบากวาดคัดตัดวิถี |
ไม่ตามทางเรือหน้าอวดกล้าดี |
เรือติดถี่ครือหาดคลืดคราดมา |
เปนหลายครั้งก็ยังไม่รทดท้อ |
เพราะยังพอมาได้พาใจกล้า |
ติดอิกครั้งจนกระทั่งถอยหลังคลา |
ขืนแจวผ่าขึ้นไปค้างกลางหาดดอน |
สายน้ำปัดท้ายเรือย้ายยัก |
หางเสือหักแตกกระเด็นเปนสองท่อน |
จนต้องเข็นตึงตังถอยหลังจร |
มาอิกตอนก็เกยเสยชายเฟือย |
ต้องเอะอะวุ่นวายกันหลายครั้ง |
พอประทังลำไปได้เรื่อยเรื่อย |
แจวต๋อมแต่มบ้างเปนอย่างเนือย |
ดูป่นเปื่อยไปทั้งนั้นในวันนี้ |
มาถึงแก่งหลวงพลันไม่ทันสาย |
มีคนรายเรียงสล้างข้างวิถี |
ต้องกลับท้ายบ่ายหน้าทวนวารี |
ให้พวกฝีพายจับรับเชือกพวน |
เลี้ยวลดล่องตามช่องศิลาแก่ง |
สายน้ำแรงปัดปั่นเรือหันป่วน |
ต้องเหนี่ยวรั้งตั้งลำสู้น้ำทวน |
สองข้างล้วนแต่ศิลาหนากระไร |
เมื่อขามายังไม่เห็นเหมือนเช่นนี้ |
ขึ้นผุดพ้นชลธีท่อนใหญ่ใหญ่ |
จนศิลาเต็มลำแม่น้ำไป |
เสียงชลไหลเลื่อนลั่นสนั่นดัง |
ถึงท้ายแก่งตั้งลำจ้ำแจวใหม่ |
ฉันตั้งใจมุ่งมองทั้งสองฝั่ง |
เปนทุ่งว่างห่างร่มไม้ใหญ่บัง |
ผิดตอนหลังแลกลคนละแดน |
ข้างตอนล่างแลดูบางเหมือนเช่นนี้ |
ทางวิถีเนินป่าค่อยหนาแน่น |
ตั้งแต่วังใหญ่ไปในแว่นแคว้น |
ถึงเปนแผ่นไม้ใหญ่ไปทั้งนั้น |
แต่ไม่ถึงทึบเย็นเช่นเขาเล่า |
ว่าไปเข้าดงใหญ่ในไพรสัณฑ์ |
หนึ่งแถบนี้ไม่ใครมีเครือเถาวัล |
ขึ้นเกี่ยวพันไม้ใหญ่เหมือนในดง |
ต้นพฤกษาถึงจะใหญ่ไม่นับเส้น |
ไม่เหมือนเช่นเล่าว่าป่าระหง |
ผลไม้ก็ไม่มีเหมือนวงศ์วงศ์ |
แม้มาหลงแล้วก็หมดถึงอดตาย |
ในแถบนี้มีนกตะกรุมฝูง |
จับไม้สูงบ้างก็แผ่บินแหล่หลาย |
บางเหล่าลงบินกลาดตามหาดทราย |
คอยปลาว่ายมาจะจับกระหงับกิน |
ขุนแผนพาวันทองเที่ยวท่องป่า |
ชมปักษาพวกนี้มีจริงสิ้น |
นกสำหรับถอนคนเปนมลทิน |
มันเปนสิ้นไปด้วยกันไม่ขันอะไร |
แม้คนเปนเช่นนกเสียทั่วหน้า |
ถ้าใครขืนดกมาได้ฮาใหญ่ |
ขันแต่คนนกไปขันมันทำไม |
ถ้าเหมือนขุนแผนใช้แลเข้าที |
นาฬิกาฉันช้าประดาเสีย |
ดูเดินเปลี้ยไปทุกวันผันแผกหนี |
คลาศเปนกองกับที่ฆ้องเขาเคยตี |
จะลองทิ้งไว้ดูทีช้าเท่าใด |
ห้าโมงกว่ามาถึงเขาตกน้ำ |
หน้าปะรำมีหาดดาดยาวใหญ่ |
ต้องล่องลงข้างล่างก่อนย้อนขึ้นไป |
ตามร่องในถึงทอดจอดสบาย |
ยายคนหนึ่งวิ่งทลึ่งลงมานั่ง |
ดูก็เปนอนิจจังน่าใจหาย |
เหมือนนางสำมนักขาน่าเกลียดอาย |
เช่นนี้ตายเสียดีกว่าน่ารำคาญ |
ทั้งนิ้วมือนิ้วตีนเหมือนสินควั่น |
ล้วนด้วนสั้นขาดกุดสุดสงสาร |
เนื้อตัวหน้าตาท่าพิการ |
ดูผอมปานประหนึ่งเปรตสังเวชตา |
เฝ้าถามไต่ได้ความว่าคลอดลูก |
อยู่ไฟถูกเลือดทำคลั่งเปนบ้า |
ดิ้นเข้าสู่กองไฟไหม้กายา |
แม้นมรณาสตั๊บไว้ได้จะดี |
ให้พวกบูชาไฟได้เห็นอย่าง |
จะได้เข็ดกันเสียบ้างทางปิ้งจี่ |
เรืองเลือดทำเพราะเปนไข้ในไฟนี้ |
สิ้นชีวีเสียเท่าใดยังไม่รู้ |
ขออภัยเถิดที่ใครเห็นอย่างหนึ่ง |
อย่าโกรธขึ้งเพราะไม่ชอบประกอบหู |
ฉันว่าไปตามวิสัยที่ไม่บู |
ใช้แกล้งขู่แช่งเปรียบเทียบเทียมใคร |
แล้วเสด็จจรดลขึ้นบนฝั่ง |
ที่เบื้องหลังน่าชมร่มไม้ใหญ่ |
ล้วนมะม่วงแลมะขามออกหลามไป |
กำลังฝักแขวนไสวไปทั้งนั้น |
เก้าอี้ปูนของเก่าเขาทำตั้ง |
เปนที่นั่งสามแห่งคิดแบ่งสรร |
มีแคร่เติมหลายตำบลระคนกัน |
ดูเชิงชั้นนั้นลม้ายคล้ายบางปอิน |
ถัดหมู่ไม้เข้าไปนี้มีลำลาบ |
เปนรอยคราบน้ำนองสองข้างสิ้น |
ถนนถมข้ามล่วงห้วงวาริน |
ก็ลุถิ่นรั้วมีเปนที่จวน |
ของสมเด็จเจ้าพระยามาสร่างไว้ |
ตั้งจดในไดรีมีถี่ถ้วน |
แต่คราวนี้แปลกนิดผิดกระบวน |
จะต้องทวนทบกล่าวยาวออกไป |
มีปั้นหย่าหลังคามุงกระเบื้อง |
ไม่สู้เขื่องห้าห้องล่องกว้างใหญ่ |
เพราะถูกยืมกระดานว่างทิ้งร้างไว้ |
มีรั้วไม้จริงตั้งพังระเนน |
เสด็จลงมาสรงที่กรงกั้น |
น้ำสักคืบหนึ่งเท่านั้นอยู่ข้างเถน |
เขากลัวลึกจะลงไปใกล้ทรายเลน |
สรงแล้วเบนที่นั่งบากจากพลับพลา |
นาฬิกาฉันเมื่อมาเที่ยงกับเสี้ยว |
เรือกลับเลี้ยวตรงลานชานคูหา |
เห็นหลวงญวนลงมานั่งฝั่งคงคา |
เห็นทีท่าจะไม่รู้ดูสบาย |
ที่ริมฝั่งรอยพังลงใหม่ใหม่ |
ต้นไม้ใหญ่เห็นรากดูมากหลาย |
ตะแกแฝงพุ่มหนาน่าเสียดาย |
เหมือนปลูกรายไว้คงลงวารี |
เกือบออกจากปากลำแม่น้ำน้อย |
พระมาคอยถวายไชยใกล้วิถี |
เรือที่นั่งผ่านมาหน้าธานี |
ไปครู่หนึ่งถึงที่ไร่เคยมา |
แต่นี้ไปใหม่แล้วทางแคล้วคลาศ |
แปลกประหลาดหาดทรายขาวยาวหนักหนา |
ล้วนภูเขาแลสล้างข้างมรรคา |
บ้างไกลบ้างใกล้ท่าริมวารี |
ฉลากทางห่างเรือเหลือจะอ่าน |
ไม่ทราบบ้านตำบลบางข้างวิถี |
ดูลำดับนับสอบในบาญชี |
หลงเสียทีหนึ่งก็เปรอะเลอะทั้งมวญ |
จะว่าไว้พอให้รู้ระยะบ้าน |
เผื่อต้องการได้ประกอบคิดสอบสวน |
ตั้งแต่เมืองกาญจน์บุรีมีจำนวน |
ตามกระบวนเบ็ดเสร็จเจ็ดตำบล |
วัดใต้เมืองเบื้องที่หนึ่งแล้วถึงย่าน |
ถึงหมู่บ้านชุกกระโดนตะโกนบ่น |
ร้องถามใครไม่มีบอกเลยสักคน |
ตลอดจนบ้านบ่อต่อลงมา |
ถัดลงไปบ้านไร่แลท่าล้อ |
ไปได้อ้อบ้านถ้ำเรือคล่ำท่า |
ตรงวัดถ้ำฉลากเด่นเห็นอักขรา |
ถึงพลับพลากันเท่านั้นในวันนี้ |
เรือเข้าเทียบที่ปะรำแม่น้ำซึ้ง |
สองโมงครึ่งทินกรยังร้อนจี๋ |
ปรอทเก้าสิบเศษสามดิครี |
เขาทำดีเหมือนทุกแห่งที่แบ่งปัน |
ที่บนฝั่งตั้งพลับพลามีท่าลาด |
มีเรือกดาดไม้ขวางวางเปนคั่น |
ปลูกทั้งราวน้าวคลาผ้าขาวพัน |
ตลิ่งนั้นปราบเตียนเลี่ยนหญ้าบอน |
มีพลับพลาห้าห้องไม่ข้องขัด |
ด้านสกัดกั้นฝาด้วยผ้าผ่อน |
เปนข้างหน้าห้องหนึ่งชัดสกัดตอน |
ถึงที่ท่อนกลางโถงเปิดโปร่งไว้ |
ถึงสามห้องช่องกลางวางเกยต่อ |
เปนที่พอสำหรับประทับได้ |
ที่ห้องท้ายพลับพลามาข้างใน |
ฝาแผงใช้ที่ตรงนี้ที่ประทม |
มีปะรำเฉลียงรอบขอบข้างล่าง |
ยกพื้นอย่างอาสน์สงฆ์ตรงใต้ร่ม |
ดูทีท่าน้านั่งเทพพนม |
อิกชั้นสมครุฑอัดจะหยัดยืน |
อันพลับพลาหลังนี้ท่วงทีหลาก |
ดูแปลกมากกันกับมีที่อื่นอื่น |
ใช้มุงจากฟากเกลาเข้าเปนพื้น |
ดูครึกครื้นงามงดหมดจดดี |
ที่วงรอบขอบพลับพลากั้นผ้าเขียว |
ไม่ลดเลี้ยวเหลี่ยมตรงยืนคงที่ |
ต้นพฤกษาหลายหลากมากมี |
ปันเปนที่ร่มแจ้งรอบแหล่งล้อม |
มะม่วงใหญ่ไม่เคยเห็นเลยเช่นนี้ |
ตั้งอยู่ที่หมู่พลับพลาสาขาห้อม |
ว่ามะม่วงฉันยังไม่ใคร่ยอม |
สามสี่อ้อมสูงลม้ายคล้ายต้นยาง |
ชาวภาราพากันมาเฝ้ามาก |
ถวายของหลากหลากหลายสิบอย่าง |
แต่แรกถึงพักหนึ่งยังไม่บาง |
นั่งคอบค้างจนเวลาห้าทุ่มปลาย |
ที่บ้านนี้มีราษฎรหนา |
ทำไร่ยาเปนกำลังสิ้นทั้งหลาย |
ทั้งไร่นาเล่าก็ดีมีมากมาย |
เพราะซื้อขายมิได้ขาดราชบุรี |
ยังพวกคนที่ตำบลอยู่ไกลใกล้ |
เว้นไม่ได้ต่างพากันมานี่ |
จนหนองขาวนั้นก็ไกลใช่พอดี |
ได้เฝ้าที่หนึ่งไม่พอตามต่อมา |
เวลามีที่พอจะเสด็จประพาส |
ชมอาวาสตั้งอยู่ทั้งคูหา |
บ่ายห้าโมงเสด็จลงทรงนาวา |
เปนกระบวนข้างหน้าคลาครรไล |
เสด็จกลับคืนมาเวลาพลบ |
ดวงพระลบลับบังหลังไศล |
ถ้าวันนี้ที่เสด็จดำเนินไป |
คือเขาใหญ่เห็นอยู่ข้างหนทางมา |
แถวเทือกยาวมากมายหลายร้อยเส้น |
มิได้เว้นว่างหมู่พื้นภูผา |
เปนหลายยอดเกลื่อนกลาดดาษดา |
แต่ดูท่าท่วงทีไม่มีงาม |
ตั้งแต่เขาตกน้ำในลำน้อย |
ที่ยื่นย้อยเยื้องเหล่าเขาปูนข้าม |
จนถึงถ้ำตำบลนี้ที่กล่าวความ |
เขาเดียวตามตาที่ยลคนละแคว |
ตรงหน้าถ้ำต่ำลงมามีอาวาส |
กุฎีกลาดเกลื่อนสร้างข้างกระแส |
ฝากระดานหลายหลังตั้งเปนแพ |
เสียงเซงแซผู้คนกล่นเกลื่อนทาง |
ตั้งแต่หน้าท่ารายจนท้ายกุฏิ์ |
ธูปเทียนจุดของถวายรายสองข้าง |
ที่มาช้าล้าหลังยังวิ่งวาง |
มาแซกหว่างยัดเยียดเบียดเสียดแซง |
เสด็จทางหว่างหม่กุฎีสงฆ์ |
เปนทางตรงถึงวิหารเปนลานแจ้ง |
ทำใหม่เรี่ยมเอี่ยมตาหลังคาแดง |
มีกำแพงแก้วล้อมพร้อมสีมา |
ส่วนพระสงฆ์ลงมานั่งศาลาใหญ่ |
ที่ใช้เปนการเปรียญอยู่ข้างขวา |
เสด็จแวะครู่หนึ่งจึงไคลคลา |
โดยทางหน้าอุโบสถลดเลี้ยวไป |
ถึงทางขึ้นคิรีมีอิฐก่อ |
เหลืออยู่พอแลเห็นเปนเค้าได้ |
ดูสูงลิ่วแลชันคั่นบันได |
ล้วนไถลลื่นปรักหักพังซุด |
เนินคิรีมีไม้ไผ่เปนพื้น |
ใบรวงลื่นจรลียากที่สุด |
ต้นลั่นทมร่มทางอย่างถ้ำวุทธิ์ |
อิฐมักหลุดเลื่อนวิ่งกลิ้งลงมา |
ตัดหนทางอย่างเก่าเอาตรงลิ่ว |
ขึ้นตึงติ้วเหน็ดเหนื่อยเมื่อยแข้งขา |
สูงสักสามเส้นเศษสังเกตตา |
ถึงเพิงผาหน้าถ้ำลมฉ่ำเย็น |
เปนห้องนอกออกมาตรงหน้ากว้าง |
ศิลาขวางก้อนใหญ่ใหญ่แลไปเห็น |
ช่องเข้าถ้ำที่ข้างในเข้าไปเปน |
ประทุนเช่นฉนวนกว้างหนทางจร |
กำแพงมีเปนที่ก่อฝากั้น |
แต่หักลันเหลือติดชิดศิงขร |
ดูมืดมนท์พ้นแสงภาสกร |
มาถึงตอนใหญ่กว้างทางสิบวา |
เปนเวิ้งว่างข้างบนนั้นมีปล่อง |
สว่างส่องทั่วได้ในคูหา |
ผนังถ้ำทำพระปฏิมา |
ดูทีท่าเปนทำนองของโบราณ |
หน้าตักใหญ่ได้สักห้าหกศอก |
ผิวถลอกยับไปไม่ร้าวฉาน |
ด้วยใกล้ปล่องต้องฝนไม่ทนนาน |
เปนทำนองพระประธานในถ้ำนี้ |
องค์เล็กน้อยย่อยยับนับไม่ถ้วน |
มีแต่ล้วนหักกลิ้งทั้งป่นปี้ |
เปนฐานใหญ่ใกล้ทางมาก็มี |
ล้วนเปนที่ตั้งพระออกระไป |
ว่าเดิมทีมีศาลาในกลางถ้ำ |
เปนที่ทำบุญกันพระฉันได้ |
พม่าพังยังเหลือแต่ตัวไม้ |
ทั้งอยู่ในถ้ำเห็นออกเปนกอง |
พิเคราะห์ดูสีน้ำยาทายังสด |
จะเปนปดฤๅจะเดาเอาคล่องคล่อง |
ดูจะพึ่งพังใหม่ในทำนอง |
มีผู้ปองตั้งจิตต์คิดจะทำ |
แต่อย่างไรจึงไม่สำเร็จได้ |
ยังมาวางกองไว้ที่ในถ้ำ |
ในคิรีนี้ไม่มีภูสายน้ำ |
เปนแต่คร่ำตะไคร่ฝนข้างบนชะ |
กลับทางเดิมเดินออกมาถึงหน้าช่อง |
มีปากปล่องศิลาก้อนซ้อนเกะกะ |
สูงขึ้นไปเปนทางกว้างครุคระ |
ถ้ามานะปีนป่ายตะกายเดิน |
สักเส้นหนึ่งก็จะถึงที่ปากช่อง |
ปีนขึ้นปล่องโจนเปาะเหมือนเหาะเหิน |
เปนไหล่เขาทางฉะเพาะเลาะดำเนิน |
เห็นเพลิดเพลินภูมิฐานย่านลำเนา |
เห็นเวิ้งวุ้งทุ่งกว้างทางน้ำไหล |
พฤกษาใหญ่เปนหมู่ทั้งภูเขา |
ตลอดลิบแลเห็นจนเปนเงา |
แล้วไต่เต้าตามทางไปข้างซ้าย |
พระเจดีย์มีอยู่ไม่สู้ใหญ่ |
ถูกใครใครขุดยุบบุบฉลาย |
พวกเซอรเวไม่รู้หยุดเที่ยวขุดดาย |
พักสบายครู่หนึ่งจึงกลับลง |
ถึงเชิงชานภูผาที่อาวาส |
เสด็จยาตราสู่หมู่พระสงฆ์ |
ประทานเงินตำลึงหนึ่งทุกองค์ |
แล้วกลับคงคืนประทับที่พลับพลา |
ในวันนี้ได้ชนีหนึ่งมาใหม่ |
ตัวโตใหญ่น่ารักเปนหนักหนา |
แต่เปนชาวบางกอกพลอยออกมา |
เที่ยวชมป่าธารถ้ำลำนที |
เปนของหม่อมเจ้าสุบรรณพาผันผาย |
มาถวายตามทางหว่างวิถี |
คนเข้าใจว่าได้ใหม่ในคราวนี้ |
ชมว่าดีจริงแท้เซงแซ่ไป |
ชนีใหม่ไม่สู้ดีทีแง่งง่อง |
จึงได้ต้องพระประสงค์ตรงตัวใหญ่ |
แต่เพราะพามาแต่กรุงเปนนุ่งไป |
ทรงจับได้แย่งพามาอีกที |
ทรงนับได้ว่าอยู่ในนุ่งอิกครั้ง |
จึงได้ตังชื่ออ้างนางนุ่งหยี่ |
ดูคุ้นเคยคนครันขยันดี |
ผูกมาที่ข้างเรือไม่เบื่อแล |
แต่ตกใจเมื่อไปรับมาวันนี้ |
ยังทำทีดุบ้างอย่างหื้อแห้ |
ไม่ถ่ายมูลลงในเรือเหลือดีแท้ |
นั่งปากแคร่ปล่อยลงน้ำทำอย่างคน |
ลูกเสือปลาเขามาถวายใหม่ |
ช่างเหมือนแมวนี่กระไรแปลกแต่ขน |
แต่เวลากินต้องร้องคำรน |
ไม่ซุกซนเชื่องชิดสนิทดี |
เลี้ยงเหมือนแมวปล่อยได้ไม่ไปห่าง |
ชอบอยู่ข้างคนเบียดนอนเสียดสี |
ดูติดทั่วไปทั้งนั้นในวันนี้ |
มิได้มีใครรังเกียจคิดเกลียดชัง |
ยังมีไก่ดำอยู่อิกคู่หนึ่ง |
ผูกกรงขึงข้างเก๋งเรือที่นั่ง |
ว่าหายากยังไม่มีที่ในวัง |
เปนยาขลังกันอย่างไรไม่ทราบเลย |
ประทับอยู่บนพลับพลาจนห้าทุ่ม |
คนเฝ้ากลุ้มกลาดฝั่งทั้งเสวย |
ประทมในเรือที่นั่งเหมือนดังเคย |
ขอลงเอยจบกันในวันนี้ ฯ |