วัน ๖ ๑ฯ ๓ ค่ำ

วัน ๖ ๓ ค่ำ

๏ ยังไม่ทันเรื่อแรงแสงภานุมาศ ก็เสด็จยุรยาตรลงสู่ท่า
เป่าแตรสัญญาบอกออกนาวา ล่องลงมาตามทางกลางนที
พวกฝีพายออกสบายใจขึ้นมาก ขี้คร้านบากวาดคัดตัดวิถี
ไม่ตามทางเรือหน้าอวดกล้าดี เรือติดถี่ครือหาดคลืดคราดมา
เปนหลายครั้งก็ยังไม่รทดท้อ เพราะยังพอมาได้พาใจกล้า
ติดอิกครั้งจนกระทั่งถอยหลังคลา ขืนแจวผ่าขึ้นไปค้างกลางหาดดอน
สายน้ำปัดท้ายเรือย้ายยัก หางเสือหักแตกกระเด็นเปนสองท่อน
จนต้องเข็นตึงตังถอยหลังจร มาอิกตอนก็เกยเสยชายเฟือย
ต้องเอะอะวุ่นวายกันหลายครั้ง พอประทังลำไปได้เรื่อยเรื่อย
แจวต๋อมแต่มบ้างเปนอย่างเนือย ดูป่นเปื่อยไปทั้งนั้นในวันนี้
มาถึงแก่งหลวงพลันไม่ทันสาย มีคนรายเรียงสล้างข้างวิถี
ต้องกลับท้ายบ่ายหน้าทวนวารี ให้พวกฝีพายจับรับเชือกพวน
เลี้ยวลดล่องตามช่องศิลาแก่ง สายน้ำแรงปัดปั่นเรือหันป่วน
ต้องเหนี่ยวรั้งตั้งลำสู้น้ำทวน สองข้างล้วนแต่ศิลาหนากระไร
เมื่อขามายังไม่เห็นเหมือนเช่นนี้ ขึ้นผุดพ้นชลธีท่อนใหญ่ใหญ่
จนศิลาเต็มลำแม่น้ำไป เสียงชลไหลเลื่อนลั่นสนั่นดัง
ถึงท้ายแก่งตั้งลำจ้ำแจวใหม่ ฉันตั้งใจมุ่งมองทั้งสองฝั่ง
เปนทุ่งว่างห่างร่มไม้ใหญ่บัง ผิดตอนหลังแลกลคนละแดน
ข้างตอนล่างแลดูบางเหมือนเช่นนี้ ทางวิถีเนินป่าค่อยหนาแน่น
ตั้งแต่วังใหญ่ไปในแว่นแคว้น ถึงเปนแผ่นไม้ใหญ่ไปทั้งนั้น
แต่ไม่ถึงทึบเย็นเช่นเขาเล่า ว่าไปเข้าดงใหญ่ในไพรสัณฑ์
หนึ่งแถบนี้ไม่ใครมีเครือเถาวัล ขึ้นเกี่ยวพันไม้ใหญ่เหมือนในดง
ต้นพฤกษาถึงจะใหญ่ไม่นับเส้น ไม่เหมือนเช่นเล่าว่าป่าระหง
ผลไม้ก็ไม่มีเหมือนวงศ์วงศ์ แม้มาหลงแล้วก็หมดถึงอดตาย
ในแถบนี้มีนกตะกรุมฝูง จับไม้สูงบ้างก็แผ่บินแหล่หลาย
บางเหล่าลงบินกลาดตามหาดทราย คอยปลาว่ายมาจะจับกระหงับกิน
ขุนแผนพาวันทองเที่ยวท่องป่า ชมปักษาพวกนี้มีจริงสิ้น
นกสำหรับถอนคนเปนมลทิน มันเปนสิ้นไปด้วยกันไม่ขันอะไร
แม้คนเปนเช่นนกเสียทั่วหน้า ถ้าใครขืนดกมาได้ฮาใหญ่
ขันแต่คนนกไปขันมันทำไม ถ้าเหมือนขุนแผนใช้แลเข้าที
นาฬิกาฉันช้าประดาเสีย ดูเดินเปลี้ยไปทุกวันผันแผกหนี
คลาศเปนกองกับที่ฆ้องเขาเคยตี จะลองทิ้งไว้ดูทีช้าเท่าใด
ห้าโมงกว่ามาถึงเขาตกน้ำ หน้าปะรำมีหาดดาดยาวใหญ่
ต้องล่องลงข้างล่างก่อนย้อนขึ้นไป ตามร่องในถึงทอดจอดสบาย
ยายคนหนึ่งวิ่งทลึ่งลงมานั่ง ดูก็เปนอนิจจังน่าใจหาย
เหมือนนางสำมนักขาน่าเกลียดอาย เช่นนี้ตายเสียดีกว่าน่ารำคาญ
ทั้งนิ้วมือนิ้วตีนเหมือนสินควั่น ล้วนด้วนสั้นขาดกุดสุดสงสาร
เนื้อตัวหน้าตาท่าพิการ ดูผอมปานประหนึ่งเปรตสังเวชตา
เฝ้าถามไต่ได้ความว่าคลอดลูก อยู่ไฟถูกเลือดทำคลั่งเปนบ้า
ดิ้นเข้าสู่กองไฟไหม้กายา แม้นมรณาสตั๊บไว้ได้จะดี
ให้พวกบูชาไฟได้เห็นอย่าง จะได้เข็ดกันเสียบ้างทางปิ้งจี่
เรืองเลือดทำเพราะเปนไข้ในไฟนี้ สิ้นชีวีเสียเท่าใดยังไม่รู้
ขออภัยเถิดที่ใครเห็นอย่างหนึ่ง อย่าโกรธขึ้งเพราะไม่ชอบประกอบหู
ฉันว่าไปตามวิสัยที่ไม่บู ใช้แกล้งขู่แช่งเปรียบเทียบเทียมใคร
แล้วเสด็จจรดลขึ้นบนฝั่ง ที่เบื้องหลังน่าชมร่มไม้ใหญ่
ล้วนมะม่วงแลมะขามออกหลามไป กำลังฝักแขวนไสวไปทั้งนั้น
เก้าอี้ปูนของเก่าเขาทำตั้ง เปนที่นั่งสามแห่งคิดแบ่งสรร
มีแคร่เติมหลายตำบลระคนกัน ดูเชิงชั้นนั้นลม้ายคล้ายบางปอิน
ถัดหมู่ไม้เข้าไปนี้มีลำลาบ เปนรอยคราบน้ำนองสองข้างสิ้น
ถนนถมข้ามล่วงห้วงวาริน ก็ลุถิ่นรั้วมีเปนที่จวน
ของสมเด็จเจ้าพระยามาสร่างไว้ ตั้งจดในไดรีมีถี่ถ้วน
แต่คราวนี้แปลกนิดผิดกระบวน จะต้องทวนทบกล่าวยาวออกไป
มีปั้นหย่าหลังคามุงกระเบื้อง ไม่สู้เขื่องห้าห้องล่องกว้างใหญ่
เพราะถูกยืมกระดานว่างทิ้งร้างไว้ มีรั้วไม้จริงตั้งพังระเนน
เสด็จลงมาสรงที่กรงกั้น น้ำสักคืบหนึ่งเท่านั้นอยู่ข้างเถน
เขากลัวลึกจะลงไปใกล้ทรายเลน สรงแล้วเบนที่นั่งบากจากพลับพลา
นาฬิกาฉันเมื่อมาเที่ยงกับเสี้ยว เรือกลับเลี้ยวตรงลานชานคูหา
เห็นหลวงญวนลงมานั่งฝั่งคงคา เห็นทีท่าจะไม่รู้ดูสบาย
ที่ริมฝั่งรอยพังลงใหม่ใหม่ ต้นไม้ใหญ่เห็นรากดูมากหลาย
ตะแกแฝงพุ่มหนาน่าเสียดาย เหมือนปลูกรายไว้คงลงวารี
เกือบออกจากปากลำแม่น้ำน้อย พระมาคอยถวายไชยใกล้วิถี
เรือที่นั่งผ่านมาหน้าธานี ไปครู่หนึ่งถึงที่ไร่เคยมา
แต่นี้ไปใหม่แล้วทางแคล้วคลาศ แปลกประหลาดหาดทรายขาวยาวหนักหนา
ล้วนภูเขาแลสล้างข้างมรรคา บ้างไกลบ้างใกล้ท่าริมวารี
ฉลากทางห่างเรือเหลือจะอ่าน ไม่ทราบบ้านตำบลบางข้างวิถี
ดูลำดับนับสอบในบาญชี หลงเสียทีหนึ่งก็เปรอะเลอะทั้งมวญ
จะว่าไว้พอให้รู้ระยะบ้าน เผื่อต้องการได้ประกอบคิดสอบสวน
ตั้งแต่เมืองกาญจน์บุรีมีจำนวน ตามกระบวนเบ็ดเสร็จเจ็ดตำบล
วัดใต้เมืองเบื้องที่หนึ่งแล้วถึงย่าน ถึงหมู่บ้านชุกกระโดนตะโกนบ่น
ร้องถามใครไม่มีบอกเลยสักคน ตลอดจนบ้านบ่อต่อลงมา
ถัดลงไปบ้านไร่แลท่าล้อ ไปได้อ้อบ้านถ้ำเรือคล่ำท่า
ตรงวัดถ้ำฉลากเด่นเห็นอักขรา ถึงพลับพลากันเท่านั้นในวันนี้
เรือเข้าเทียบที่ปะรำแม่น้ำซึ้ง สองโมงครึ่งทินกรยังร้อนจี๋
ปรอทเก้าสิบเศษสามดิครี เขาทำดีเหมือนทุกแห่งที่แบ่งปัน
ที่บนฝั่งตั้งพลับพลามีท่าลาด มีเรือกดาดไม้ขวางวางเปนคั่น
ปลูกทั้งราวน้าวคลาผ้าขาวพัน ตลิ่งนั้นปราบเตียนเลี่ยนหญ้าบอน
มีพลับพลาห้าห้องไม่ข้องขัด ด้านสกัดกั้นฝาด้วยผ้าผ่อน
เปนข้างหน้าห้องหนึ่งชัดสกัดตอน ถึงที่ท่อนกลางโถงเปิดโปร่งไว้
ถึงสามห้องช่องกลางวางเกยต่อ เปนที่พอสำหรับประทับได้
ที่ห้องท้ายพลับพลามาข้างใน ฝาแผงใช้ที่ตรงนี้ที่ประทม
มีปะรำเฉลียงรอบขอบข้างล่าง ยกพื้นอย่างอาสน์สงฆ์ตรงใต้ร่ม
ดูทีท่าน้านั่งเทพพนม อิกชั้นสมครุฑอัดจะหยัดยืน
อันพลับพลาหลังนี้ท่วงทีหลาก ดูแปลกมากกันกับมีที่อื่นอื่น
ใช้มุงจากฟากเกลาเข้าเปนพื้น ดูครึกครื้นงามงดหมดจดดี
ที่วงรอบขอบพลับพลากั้นผ้าเขียว ไม่ลดเลี้ยวเหลี่ยมตรงยืนคงที่
ต้นพฤกษาหลายหลากมากมี ปันเปนที่ร่มแจ้งรอบแหล่งล้อม
มะม่วงใหญ่ไม่เคยเห็นเลยเช่นนี้ ตั้งอยู่ที่หมู่พลับพลาสาขาห้อม
ว่ามะม่วงฉันยังไม่ใคร่ยอม สามสี่อ้อมสูงลม้ายคล้ายต้นยาง
ชาวภาราพากันมาเฝ้ามาก ถวายของหลากหลากหลายสิบอย่าง
แต่แรกถึงพักหนึ่งยังไม่บาง นั่งคอบค้างจนเวลาห้าทุ่มปลาย
ที่บ้านนี้มีราษฎรหนา ทำไร่ยาเปนกำลังสิ้นทั้งหลาย
ทั้งไร่นาเล่าก็ดีมีมากมาย เพราะซื้อขายมิได้ขาดราชบุรี
ยังพวกคนที่ตำบลอยู่ไกลใกล้ เว้นไม่ได้ต่างพากันมานี่
จนหนองขาวนั้นก็ไกลใช่พอดี ได้เฝ้าที่หนึ่งไม่พอตามต่อมา
เวลามีที่พอจะเสด็จประพาส ชมอาวาสตั้งอยู่ทั้งคูหา
บ่ายห้าโมงเสด็จลงทรงนาวา เปนกระบวนข้างหน้าคลาครรไล
เสด็จกลับคืนมาเวลาพลบ ดวงพระลบลับบังหลังไศล
ถ้าวันนี้ที่เสด็จดำเนินไป คือเขาใหญ่เห็นอยู่ข้างหนทางมา
แถวเทือกยาวมากมายหลายร้อยเส้น มิได้เว้นว่างหมู่พื้นภูผา
เปนหลายยอดเกลื่อนกลาดดาษดา แต่ดูท่าท่วงทีไม่มีงาม
ตั้งแต่เขาตกน้ำในลำน้อย ที่ยื่นย้อยเยื้องเหล่าเขาปูนข้าม
จนถึงถ้ำตำบลนี้ที่กล่าวความ เขาเดียวตามตาที่ยลคนละแคว
ตรงหน้าถ้ำต่ำลงมามีอาวาส กุฎีกลาดเกลื่อนสร้างข้างกระแส
ฝากระดานหลายหลังตั้งเปนแพ เสียงเซงแซผู้คนกล่นเกลื่อนทาง
ตั้งแต่หน้าท่ารายจนท้ายกุฏิ์ ธูปเทียนจุดของถวายรายสองข้าง
ที่มาช้าล้าหลังยังวิ่งวาง มาแซกหว่างยัดเยียดเบียดเสียดแซง
เสด็จทางหว่างหม่กุฎีสงฆ์ เปนทางตรงถึงวิหารเปนลานแจ้ง
ทำใหม่เรี่ยมเอี่ยมตาหลังคาแดง มีกำแพงแก้วล้อมพร้อมสีมา
ส่วนพระสงฆ์ลงมานั่งศาลาใหญ่ ที่ใช้เปนการเปรียญอยู่ข้างขวา
เสด็จแวะครู่หนึ่งจึงไคลคลา โดยทางหน้าอุโบสถลดเลี้ยวไป
ถึงทางขึ้นคิรีมีอิฐก่อ เหลืออยู่พอแลเห็นเปนเค้าได้
ดูสูงลิ่วแลชันคั่นบันได ล้วนไถลลื่นปรักหักพังซุด
เนินคิรีมีไม้ไผ่เปนพื้น ใบรวงลื่นจรลียากที่สุด
ต้นลั่นทมร่มทางอย่างถ้ำวุทธิ์ อิฐมักหลุดเลื่อนวิ่งกลิ้งลงมา
ตัดหนทางอย่างเก่าเอาตรงลิ่ว ขึ้นตึงติ้วเหน็ดเหนื่อยเมื่อยแข้งขา
สูงสักสามเส้นเศษสังเกตตา ถึงเพิงผาหน้าถ้ำลมฉ่ำเย็น
เปนห้องนอกออกมาตรงหน้ากว้าง ศิลาขวางก้อนใหญ่ใหญ่แลไปเห็น
ช่องเข้าถ้ำที่ข้างในเข้าไปเปน ประทุนเช่นฉนวนกว้างหนทางจร
กำแพงมีเปนที่ก่อฝากั้น แต่หักลันเหลือติดชิดศิงขร
ดูมืดมนท์พ้นแสงภาสกร มาถึงตอนใหญ่กว้างทางสิบวา
เปนเวิ้งว่างข้างบนนั้นมีปล่อง สว่างส่องทั่วได้ในคูหา
ผนังถ้ำทำพระปฏิมา ดูทีท่าเปนทำนองของโบราณ
หน้าตักใหญ่ได้สักห้าหกศอก ผิวถลอกยับไปไม่ร้าวฉาน
ด้วยใกล้ปล่องต้องฝนไม่ทนนาน เปนทำนองพระประธานในถ้ำนี้
องค์เล็กน้อยย่อยยับนับไม่ถ้วน มีแต่ล้วนหักกลิ้งทั้งป่นปี้
เปนฐานใหญ่ใกล้ทางมาก็มี ล้วนเปนที่ตั้งพระออกระไป
ว่าเดิมทีมีศาลาในกลางถ้ำ เปนที่ทำบุญกันพระฉันได้
พม่าพังยังเหลือแต่ตัวไม้ ทั้งอยู่ในถ้ำเห็นออกเปนกอง
พิเคราะห์ดูสีน้ำยาทายังสด จะเปนปดฤๅจะเดาเอาคล่องคล่อง
ดูจะพึ่งพังใหม่ในทำนอง มีผู้ปองตั้งจิตต์คิดจะทำ
แต่อย่างไรจึงไม่สำเร็จได้ ยังมาวางกองไว้ที่ในถ้ำ
ในคิรีนี้ไม่มีภูสายน้ำ เปนแต่คร่ำตะไคร่ฝนข้างบนชะ
กลับทางเดิมเดินออกมาถึงหน้าช่อง มีปากปล่องศิลาก้อนซ้อนเกะกะ
สูงขึ้นไปเปนทางกว้างครุคระ ถ้ามานะปีนป่ายตะกายเดิน
สักเส้นหนึ่งก็จะถึงที่ปากช่อง ปีนขึ้นปล่องโจนเปาะเหมือนเหาะเหิน
เปนไหล่เขาทางฉะเพาะเลาะดำเนิน เห็นเพลิดเพลินภูมิฐานย่านลำเนา
เห็นเวิ้งวุ้งทุ่งกว้างทางน้ำไหล พฤกษาใหญ่เปนหมู่ทั้งภูเขา
ตลอดลิบแลเห็นจนเปนเงา แล้วไต่เต้าตามทางไปข้างซ้าย
พระเจดีย์มีอยู่ไม่สู้ใหญ่ ถูกใครใครขุดยุบบุบฉลาย
พวกเซอรเวไม่รู้หยุดเที่ยวขุดดาย พักสบายครู่หนึ่งจึงกลับลง
ถึงเชิงชานภูผาที่อาวาส เสด็จยาตราสู่หมู่พระสงฆ์
ประทานเงินตำลึงหนึ่งทุกองค์ แล้วกลับคงคืนประทับที่พลับพลา
ในวันนี้ได้ชนีหนึ่งมาใหม่ ตัวโตใหญ่น่ารักเปนหนักหนา
แต่เปนชาวบางกอกพลอยออกมา เที่ยวชมป่าธารถ้ำลำนที
เปนของหม่อมเจ้าสุบรรณพาผันผาย มาถวายตามทางหว่างวิถี
คนเข้าใจว่าได้ใหม่ในคราวนี้ ชมว่าดีจริงแท้เซงแซ่ไป
ชนีใหม่ไม่สู้ดีทีแง่งง่อง จึงได้ต้องพระประสงค์ตรงตัวใหญ่
แต่เพราะพามาแต่กรุงเปนนุ่งไป ทรงจับได้แย่งพามาอีกที
ทรงนับได้ว่าอยู่ในนุ่งอิกครั้ง จึงได้ตังชื่ออ้างนางนุ่งหยี่
ดูคุ้นเคยคนครันขยันดี ผูกมาที่ข้างเรือไม่เบื่อแล
แต่ตกใจเมื่อไปรับมาวันนี้ ยังทำทีดุบ้างอย่างหื้อแห้
ไม่ถ่ายมูลลงในเรือเหลือดีแท้ นั่งปากแคร่ปล่อยลงน้ำทำอย่างคน
ลูกเสือปลาเขามาถวายใหม่ ช่างเหมือนแมวนี่กระไรแปลกแต่ขน
แต่เวลากินต้องร้องคำรน ไม่ซุกซนเชื่องชิดสนิทดี
เลี้ยงเหมือนแมวปล่อยได้ไม่ไปห่าง ชอบอยู่ข้างคนเบียดนอนเสียดสี
ดูติดทั่วไปทั้งนั้นในวันนี้ มิได้มีใครรังเกียจคิดเกลียดชัง
ยังมีไก่ดำอยู่อิกคู่หนึ่ง ผูกกรงขึงข้างเก๋งเรือที่นั่ง
ว่าหายากยังไม่มีที่ในวัง เปนยาขลังกันอย่างไรไม่ทราบเลย
ประทับอยู่บนพลับพลาจนห้าทุ่ม คนเฝ้ากลุ้มกลาดฝั่งทั้งเสวย
ประทมในเรือที่นั่งเหมือนดังเคย ขอลงเอยจบกันในวันนี้ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ