วัน ๔ ๑๕ฯ ๒ ค่ำ

วัน ๔ ๑๕ ๒ ค่ำ

๏ พอโมงครึ่งถึงเวลาที่กำหนด คนมาหมดนั่งล้อมอยู่พร้อมหน้า
สองโมงถ้วนถึงสมัยได้เวลา เสด็จลงนาวายาตรากระบวน
ตั้งลำลอยคอยกระบวนข้างฝ่ายหลัง ซึ่งยังคงอยู่ที่ท่าหน้าฉนวน
เห็นลำน้ำแน่สนัดชัดทั้งมวญ ตรงค่ายข้ามพระญวนมายืนราย
ตั้งโต๊ะเครื่องบูชาอุส่าห์จัด สวดมนต์ช่วยอวยสวัสดิมงคลถวาย
ถัดค่ายหลวงลงมาหลังคาราย หลังสุดท้ายท่วงทียี่ปุ่นชัด
เปนที่พักเจ้านายข้างฝ่ายหน้า อิกทั้งข้าทูลลอองที่ต้องจัด
รับแลตามเสด็จมาสารพัด จุจำกัดหน้าที่ที่มีการ
โรงครัวใหญ่ที่ในกาญจน์บุรีนี้ ปักหน้าที่เกณฑ์มาพระยาพิศาล
พระเจริญราชธนคนชำนาญ เลี้ยงพระแท่นเปนสถานที่เคยทำ
เรือลอยมาจนถึงหน้าท่าทำเนียบ พระนั่งเพียบแคร่บนสวดมนต์ร่ำ
ใกล้ตพานคชสารมาลงน้ำ ดูคลาคลำลูกน้อยต้อยติดตาม
เรือลูกค้ามาจอดตลอดหาด เห็นเกลื่อนกลาดคนผู้ดูแหล่หลาม
เรือบางกอกออกเสียข้างอย่างวู่วาม จะคอยตามกระบวนนั้นไม่ทันใจ
รับสั่งให้ไปตรวจเรือทั้งหลาย บาญชีรายที่สำรวจตรวจมาได้
ที่ต่างรูปชื่อมีตามที่ใช้ เขานับได้สิบเจ็ดอย่างวางจำนวน
คือเรือม่วงเรือมาดเรือพายม้า คอนโดลาเรือเป็ดเจ็ดสิบถ้วน
เรือสำปั้นสำปะนีมีจำนวน ทั้งเรือญวนเรือบดหมดทั้งนั้น
เรือปิกนิกนางแหละเสิมศีร์ษะ เรือแม่ปะเรือฉลอมแลสำปั้น
เช่นลำเลียงน้ำตาลหม้อต่อใหญ่ครัน ยังเรือพรรค์แคร่นอกปากหลากทำนอง
แต่เรือแหวดร้อยแปดสิบลำกว่า เปนเรือหาที่ไหนไหนก็ได้คล่อง
เรือยุคลทิฆัมพรซ้อนเรือรอง ด้วยกลัวท้องครูดครู่รู่ศิลา
แต่เรือในราชการด้านทางใช้ ประมาณไว้ว่าร้อยเก้าสิบห้า
ยังที่ตามสามร้อยรายนาวา เศษมีมาเก้าสิบสามตามกระบวน
รวมเรือลำเล็กใหญ่ไปครั้งนี้ ทำบาญชีแน่นหนาว่าถูกถ้วน
ห้าร้อยแปดสิบแปดลำเปนจำนวน นับสอบสวนแสนลำบากยากเต็มประดา
จำนวนกระบวนหลวงทั้งหลายนั้น คนสองพันเจ็ดร้อยสามสิบห้า
ส่วนเรือตามสามพันคณนา เศษอิกห้าสิบหกตกบาญชี
รวมห้าพันเจ็ดร้อยเก้าสิบเอ็จ ตรวจเบ็ดเสร็จเปนจำนวนได้ถ้วนถี่
นับแต่ไพร่ไม่ได้ว่าชั้นผู้ดี ที่เหลือบ้างจะยังมีก็น้อยลำ
ถึงปากแพรกแยกลำแม่น้ำน้อย มีแคร่พระลงมาคอยสวดพร้อมพร่ำ
ถวายพรอย่างพระแล้วประน้ำ ได้ลงมือแจวจ้ำกระหน่ำไป
หาดผุดตั้งบังปากแม่น้ำขวาง ชื่อลิ้นช้างแต่โบราณเรียกขานไข
เดินทางร่องช่องกว้างถึงข้างใน เห็นแพใหญ่หลายหลังฝั่งอุดร
ทวนกระแสแต่มิสู้จะเชี่ยวจัด เสียงแจวงัดจ้วงจ้ำน้ำกระฉ่อน
เห็นเขาปูนอยู่ข้างขวาใกล้สาคร ที่มาเมื่อวันก่อนเกิดขลึกนั้น
เปนเทือกเถาเขายืนขึ้นยาวเยิ่น ที่เพิงเผินท่วงทีดีขยัน
เรือนหลวงญวนปลูกอาศรัยอยู่ในนั้น เปนสองหลังต่อกันไปตามมี
เชิงภูผานั้นลงมามีหมู่บ้าน มีเรือนชานหลายหลังค่อนข้างถี่
ปลูกกล้วยอ้อยแลหลามตามนที ไปเลี้ยวนี้เห็นภูผาข้างหน้าบัง
ชื่อเขาเกวียนเขาตกน้ำจำถนัด เขาปูนลัดลงไปขวางอยู่ข้างหลัง
เปนนิราสแล้วจะว่าได้น่าฟัง ต้องคิดพังภูผาไปหาเมีย
อิกคุ้งหนึ่งถึงตัวเขาตกน้ำ รูปเปนจอมปลวกทำอยู่ข้างเตี้ย
จวนสมเด็จเจ้าพระยาว่าไฟเลีย ไหม้หมดเสียกว่าสิบปีมีศาลา
เปนท่าน้ำหลังคามุงกระเบื้อง ไม่ขึงเขื่องทรงเห็นเปนปั้นหย่า
เดี๋ยวนี้เปนสเตชั่นตรวจมรรคา รักษาสายโทรเลขทางทวาย
ในหมู่นี้มีดงมะม่วงใหญ่ เห็นโทรเลขตัดไปเสาพาดสาย
เดิมจะสร้างบ้านนี้มีนิยาย เกี่ยวกับรายราชการในบ้านเมือง
ด้วยสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านเกลียดกลัวเจ้าของบ้านพานจะเขื่อง
จึงคิดว่าถ้าแม้ท่านได้บ้านเมือง จะยักเยื้องมาอยู่นี่ให้ลี้ลับ
ครั้นสวรรคตไปไม่ต้องอยู่ จึงไม่สู้ห่วงใยใจกลายกลับ
ทอดทิ้งไว้ไฟฟ่อยพลอยไหม้ยับ แล้วยังมีที่ควรนับอนิจจัง
ถัดนั้นไปในวิถีนั้นมีบ้าน เปนหย่อมย่านเคหาออกมาตั้ง
เปนสวนไร่อุส่าห์ทำตามกำลัง ตำบลวังยางหนึ่งซึ่งจะนับ
ยังส่วนหมู่ที่สองนั้นหนองหญ้า แล้วถัดมาชุกอ้ายบ้านย่านลำดับ
เกาะสำโรงก็เปนหย่อมกระท่อมทับ ถัดถึงพลับพลาตั้งที่บางลาน
พอเที่ยงครึ่งถึงหน้าพลับพลาใหญ่ มีปะรำทำไว้ยาวไพศาล
หัวปะรำทำพลับพลาน่าสำราญ หลังเดียวด้านรีตรงลงฝั่งชล
กั้นสามตอนผ่อนริมฝั่งเปนข้างหน้า ถัดเข้ามาที่ประทับไม่สับสน
ห้องริมเรือเผื่อประทมที่ข้างบน ดูน่ายลอย่างยี่ปุ่นนั้นเปนนิจ
จมื่นทิพเสนามากำกับ บังคับเมืองศรีสวัสดิ์ไม่ขัดติด
ทำตลอดกลอนโดด้วยใกล้ชิด เร็วดังนฤมิตทุกตำบล
เขาจัดของมาถวายเปนหลายอย่าง มีกวางคู่หนึ่งแลเปนต้น
กับอีเก้งเขี้ยวขาวยาวชอบกล บุหรี่คนกาญจน์บุรีที่เขาใช้
มวนด้วยใบหมันสีสันเขียว ถ้าเหลือบเหลียวไปว่าพลูดูก็ได้
วันนี้อ้าวอับร้อนดูอ่อนใจ แต่ปรอทไม่ขึ้นไปกว่าก่อนมา
เวลาบ่ายชายแสงสุริย์ศรี บ่ายสี่โมงพลันตวันจ้า
เสด็จขึ้นสู่ฝั่งหลังพลับพลา เขาฉายทางลงมาจนไม่ทัน
แล้วถากถางทุบปราบจนราบรื่น มีฝายื่นตอนข้างในใช้ผ้ากั้น
แต่บันดาต้นไม้ใหญ่มีในนั้น ยกเปนชั้นเก้าอี้ที่ฉายา
ทอดพระเนตรทั่วเสร็จเสด็จออก ทางปากช่องฉนวนนอกเปนข้างหน้า
พระดำเนินเดินกระบวนล้วนอาชา ข้างในวอต่อมาจึงเปนรถ
พ้นพลับพลาฝ่าพงไปลงช่อง เรียกว่าคลองบางลานชื่อจานจด
ตลิ่งสูงสี่วาน่าท้อทด น้ำยังมีอยู่ไม่หมดต้องทอดตะพาน
ต่อนั้นไปในป่าพฤกษาหย่อม บ้างต้นใหญ่หลายอ้อมน้อมกิ่งก้าน
บ้างป่าไผ่ไม้รวกรุ่นตระการ รดูแล้งลมพานกระพือใบ
บ้างลมหวนป่วนปลิวลิ่วลิ่วหมุน เจือกับฝุ่นฟุ้งเปนควันผันมาใกล้
หล่นอยู่ตามใต้ต้นคนจ่อไฟ เลยลามไหม้หญ้าแห้งจนแรงร้อน
ตัดทางใหม่ไปแต่พอบรรจบถึง หนทางซึ่งเดินเกวียนมาแต่ก่อน
เกลี่ยฉายทางที่เปนรางล่มแลดอน ให้ม้ารถบทจรสดวกใจ
อันแผ่นดินในถิ่นสถานนี้ แม้จวนถึงมีที่สังเกตได้
ค่อยแดงเจือเรื่อจัดชัดเข้าไป จนถึงในบริเวณเปนสีแดง
ส่วนต้นไม้ในจังหวัดพนัสนั้น ก็เล็กกรันลงไปได้ทุกแห่ง
กอไม้รวกไม่มีใบในหน้าแล้ง ล้วนแขนงน้อยน้อยน่าเอนดู
บ้างกระจ่างห่างกันหลั่นลำดับ บ้างซ้อนสับแซกเสียดเบียดเปนหมู่
ต้นไม้ยืนดื่นตาน่าชมชู เรียงรายอยู่เปนจังหวะดังกะปัน
ล้วนใบเข้มเขียวขจีสีสอาด พื้นเช่นชาดสดชัดตัดสีสัน
ดูงามหลากฉากรบายลายน้ำมัน แผ่นดินนั้นแขงกระด้างอย่างดินดาล
เข้าข้างหลังถึงกระทั่งที่ขอบเขิบ พลับพลาเติบตั้งไว้ใหญ่สองด้าน
เปนที่ทอดทัศนาน่าสำราญ ทั่วสถานจนกระทั่งถึงรวบเรียง
ส่วนพลับพลาข้างหน้าตั้งหันด้านใต้ หลังข้างในตวันตกตั้งตามเฉียง
ตั้งห่างไปไว้ระหว่างรุ่นรวกเรียง ชักปะรำรอบเฉลียงแล่นถึงกัน
อันท้องทุ่งนาคราชปลาดเหลือ ใช่แดงเรื่อเลยไม่แกล้งแสร้งเศกสรร
แดงจนทาอะไรได้ดูคล้ายกัน กับดินจันทบุรีที่เนินวง
แต่ที่นี่เข้มขำดำกว่าหน่อย จะใช้สอยก็คงได้ดังประสงค์
เปนเช่นสีสนิมเหล็กแลใกล้ตรง ด้วยแร่เหล็กนั้นมาลงในที่นี้
เคยทดลองถลุงไล่ได้ตัวอย่าง แต่อยู่ห่างกระแสสินธุ์ไกลถิ่นที่
ถึงทำได้ก็กำไรคงไม่ดี จึงไม่มีผู้คิดติดใจทำ
หนึ่งชาวบ้านกาญจน์บุรีนี้เขาว่า นาคขึ้นมาพ่นพิษติดแคงคร่ำ
เม็ดแร่กลาดปัฐพีสีดำดำ ว่าฝูงนาคมาจากถ้ำถ่ายมูลไว้
เขาเก็บมาเจียรไนใช้เหมือนพลอย ประดับสร้อยคาดสเอวแลแหวนใส่
หนึ่งท่วงทีจะกันกันฤๅฉันใด ฉันก็ไม่ทราบถนัดชัดตำรา
ในเชิงชมที่นิยมโดยตาเห็น ก็ควรเปนที่สนุกสุขหรรษา
พื้นเลี่ยนลาดเหมือนดังดาดด้วยศิลา ที่เรียกว่าราชบุรีที่สีแดง
มีเขามอเหมือนอย่างก่อเปนหย่อมหย่อม ล้วนย่อมย่อมเรียงรายหลายสิบแห่ง
ที่ต่างต่างอย่างประดิษฐคิดพลิกแพลง เหมือนตกแต่งตั้งไว้ให้คนชม
ประดับด้วยรุกขชาติขนาดย่อม ต้นเกดค่อมเคียงรวกพวกประสม
ไม้สองอย่างข้างมอมีอุดม ไม่ใคร่ร่มใบโหรงโปร่งไนยนา
ต้นไม้อื่นดื่นไปไม่ประจักษ์ ล้วนน่ารักรายสล้างข้างมอผา
รอบเปนร่องท้องธารผ่านลงมา เหมือนสวนขวาก่อทำลำวารี
เปนโกรกกรอกซอกเชิงแผ่นพระพัก บางแห่งหักแลเห็นเปนหลากสี
แต่เที่ยวทอดทัศนาจวนราตรี จึงมาที่พลับพลาหาตะพด
แต่คุ้ยขุดไม่ใคร่หลุดขึ้นมาได้ จนอ่อนใจเลยเลิกกันไปหมด
แต่เรื่องมูลนาคราชไม่ขาดงด ไม่ละลดเล็กใหญ่ได้ทั้งนั้น
พระศรีสวัสดิ์จัดมพร้าวอ่อนถวาย เลี้ยงไพร่นายแต่บันดาที่มานั้น
ประทับทำแซ่ม้าอยู่ช้าครัน คอยพระจันทร์ให้สว่างตามทางจร
จนทุ่มหนึ่งจึงได้กลับนับสังเกต คืนประเวศทางลีลามาแต่ก่อน
แลสว่างพร่างแสงศศิธร ทิพากรเยื้องพยับก็กลับเย็น
ยิ่งตกค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย หนาวน้อยน้อยค่อยสบายคลายขัดเข็ญ
เสียแต่ฝุ่นยังไม่วายส่ายกระเซน จนเกือบเปนกวนอูดูหน้าแดง
กระบอกไฟไว้วางข้างวิถี ดูก็ดีพอสว่างกระจ่างแสง
เรืองประทีปโคมไฟได้แสดง มาเห็นแจ้งจริงจังในครั้งนี้
คือกระบอกปอกเปลือกเทือกเข้าหลาม ถ้ารั่วรำทำลามแล้วป่นปี้
ต้องเลือกสรรกันแต่ปล้องดีดี น้ำมันข้นปนขี้มีเปลือกไม้
ไม่มีไส้จุดลงไปเล่นดื้อดื้อ ถ้าจุดถือเดินเล่นเหมือนเช่นไต้
น่ากลัวหกตกติดเปนเปลวไฟ จะเขี่ยไค้ดูลำบากอยากจะวาง
ดูก็ขันชั้นพระอรรถกถา ยังมีมาให้ได้เห็นเปนตัวอย่าง
แถบที่นี่เขายังใช้ไม่จืดจาง ค่อนข้างหัวเห็ดแท้ไม่แปรปรวน
ถึงพลับพลาพอเวลาสองทุ่มแล้ว ต่างผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมสรวล
แต่หิวเข้าเต็มทนจนเกือบครวญ ต้องรีบด่วนลงไปเรือด้วยเหลือทน
เขาเล่ากันว่าวันนี้มีคนไป เดินเวียนวงหลงใหลในไพรสณฑ์
ล้วนผู้หญิงพากันไปเปนหลายคน เที่ยวเดินวนอยู่ในป่าหาหนทาง
พบขี้เสือเหลือรำพึงถึงร้องไห้ ต้องบุกป่าฝ่าใฝ่ใจเต้นหยาง
หนามเหนี่ยวเกี่ยวยับเกือบอับปาง ต้องเลยวางวนกลับมาพลับพลา
ตำบลนี้เขาว่ามีสัตว์อยู่มาก เมื่อแรกถากทุบที่มีนักหนา
รอยออกก่ายกันไปในวนา อยู่นานมาหายไปไม่มากวน
ทำไดรีถี่ถ้วนไปไม่ไหว ค้างไม่ได้เลยสักวารเปนการด่วน
ฉันลืมย่านบ้านชื่อชุกยายญวน มีไร่สวนสองฟากมากประมาณ
เปนทางไปได้ถึงทุ่งนาคราช เสด็จประพาสครั้งแรกแปลกสถาน
อยู่คุ้งหนึ่งนับลงไปใต้บางลาน ขอหยุดจานจดไดรีวันนี้ไว้ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ