๏ พอโมงครึ่งถึงเวลาที่กำหนด |
คนมาหมดนั่งล้อมอยู่พร้อมหน้า |
สองโมงถ้วนถึงสมัยได้เวลา |
เสด็จลงนาวายาตรากระบวน |
ตั้งลำลอยคอยกระบวนข้างฝ่ายหลัง |
ซึ่งยังคงอยู่ที่ท่าหน้าฉนวน |
เห็นลำน้ำแน่สนัดชัดทั้งมวญ |
ตรงค่ายข้ามพระญวนมายืนราย |
ตั้งโต๊ะเครื่องบูชาอุส่าห์จัด |
สวดมนต์ช่วยอวยสวัสดิมงคลถวาย |
ถัดค่ายหลวงลงมาหลังคาราย |
หลังสุดท้ายท่วงทียี่ปุ่นชัด |
เปนที่พักเจ้านายข้างฝ่ายหน้า |
อิกทั้งข้าทูลลอองที่ต้องจัด |
รับแลตามเสด็จมาสารพัด |
จุจำกัดหน้าที่ที่มีการ |
โรงครัวใหญ่ที่ในกาญจน์บุรีนี้ |
ปักหน้าที่เกณฑ์มาพระยาพิศาล |
พระเจริญราชธนคนชำนาญ |
เลี้ยงพระแท่นเปนสถานที่เคยทำ |
เรือลอยมาจนถึงหน้าท่าทำเนียบ |
พระนั่งเพียบแคร่บนสวดมนต์ร่ำ |
ใกล้ตพานคชสารมาลงน้ำ |
ดูคลาคลำลูกน้อยต้อยติดตาม |
เรือลูกค้ามาจอดตลอดหาด |
เห็นเกลื่อนกลาดคนผู้ดูแหล่หลาม |
เรือบางกอกออกเสียข้างอย่างวู่วาม |
จะคอยตามกระบวนนั้นไม่ทันใจ |
รับสั่งให้ไปตรวจเรือทั้งหลาย |
บาญชีรายที่สำรวจตรวจมาได้ |
ที่ต่างรูปชื่อมีตามที่ใช้ |
เขานับได้สิบเจ็ดอย่างวางจำนวน |
คือเรือม่วงเรือมาดเรือพายม้า |
คอนโดลาเรือเป็ดเจ็ดสิบถ้วน |
เรือสำปั้นสำปะนีมีจำนวน |
ทั้งเรือญวนเรือบดหมดทั้งนั้น |
เรือปิกนิกนางแหละเสิมศีร์ษะ |
เรือแม่ปะเรือฉลอมแลสำปั้น |
เช่นลำเลียงน้ำตาลหม้อต่อใหญ่ครัน |
ยังเรือพรรค์แคร่นอกปากหลากทำนอง |
แต่เรือแหวดร้อยแปดสิบลำกว่า |
เปนเรือหาที่ไหนไหนก็ได้คล่อง |
เรือยุคลทิฆัมพรซ้อนเรือรอง |
ด้วยกลัวท้องครูดครู่รู่ศิลา |
แต่เรือในราชการด้านทางใช้ |
ประมาณไว้ว่าร้อยเก้าสิบห้า |
ยังที่ตามสามร้อยรายนาวา |
เศษมีมาเก้าสิบสามตามกระบวน |
รวมเรือลำเล็กใหญ่ไปครั้งนี้ |
ทำบาญชีแน่นหนาว่าถูกถ้วน |
ห้าร้อยแปดสิบแปดลำเปนจำนวน |
นับสอบสวนแสนลำบากยากเต็มประดา |
จำนวนกระบวนหลวงทั้งหลายนั้น |
คนสองพันเจ็ดร้อยสามสิบห้า |
ส่วนเรือตามสามพันคณนา |
เศษอิกห้าสิบหกตกบาญชี |
รวมห้าพันเจ็ดร้อยเก้าสิบเอ็จ |
ตรวจเบ็ดเสร็จเปนจำนวนได้ถ้วนถี่ |
นับแต่ไพร่ไม่ได้ว่าชั้นผู้ดี |
ที่เหลือบ้างจะยังมีก็น้อยลำ |
ถึงปากแพรกแยกลำแม่น้ำน้อย |
มีแคร่พระลงมาคอยสวดพร้อมพร่ำ |
ถวายพรอย่างพระแล้วประน้ำ |
ได้ลงมือแจวจ้ำกระหน่ำไป |
หาดผุดตั้งบังปากแม่น้ำขวาง |
ชื่อลิ้นช้างแต่โบราณเรียกขานไข |
เดินทางร่องช่องกว้างถึงข้างใน |
เห็นแพใหญ่หลายหลังฝั่งอุดร |
ทวนกระแสแต่มิสู้จะเชี่ยวจัด |
เสียงแจวงัดจ้วงจ้ำน้ำกระฉ่อน |
เห็นเขาปูนอยู่ข้างขวาใกล้สาคร |
ที่มาเมื่อวันก่อนเกิดขลึกนั้น |
เปนเทือกเถาเขายืนขึ้นยาวเยิ่น |
ที่เพิงเผินท่วงทีดีขยัน |
เรือนหลวงญวนปลูกอาศรัยอยู่ในนั้น |
เปนสองหลังต่อกันไปตามมี |
เชิงภูผานั้นลงมามีหมู่บ้าน |
มีเรือนชานหลายหลังค่อนข้างถี่ |
ปลูกกล้วยอ้อยแลหลามตามนที |
ไปเลี้ยวนี้เห็นภูผาข้างหน้าบัง |
ชื่อเขาเกวียนเขาตกน้ำจำถนัด |
เขาปูนลัดลงไปขวางอยู่ข้างหลัง |
เปนนิราสแล้วจะว่าได้น่าฟัง |
ต้องคิดพังภูผาไปหาเมีย |
อิกคุ้งหนึ่งถึงตัวเขาตกน้ำ |
รูปเปนจอมปลวกทำอยู่ข้างเตี้ย |
จวนสมเด็จเจ้าพระยาว่าไฟเลีย |
ไหม้หมดเสียกว่าสิบปีมีศาลา |
เปนท่าน้ำหลังคามุงกระเบื้อง |
ไม่ขึงเขื่องทรงเห็นเปนปั้นหย่า |
เดี๋ยวนี้เปนสเตชั่นตรวจมรรคา |
รักษาสายโทรเลขทางทวาย |
ในหมู่นี้มีดงมะม่วงใหญ่ |
เห็นโทรเลขตัดไปเสาพาดสาย |
เดิมจะสร้างบ้านนี้มีนิยาย |
เกี่ยวกับรายราชการในบ้านเมือง |
ด้วยสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ท่านเกลียดกลัวเจ้าของบ้านพานจะเขื่อง |
จึงคิดว่าถ้าแม้ท่านได้บ้านเมือง |
จะยักเยื้องมาอยู่นี่ให้ลี้ลับ |
ครั้นสวรรคตไปไม่ต้องอยู่ |
จึงไม่สู้ห่วงใยใจกลายกลับ |
ทอดทิ้งไว้ไฟฟ่อยพลอยไหม้ยับ |
แล้วยังมีที่ควรนับอนิจจัง |
ถัดนั้นไปในวิถีนั้นมีบ้าน |
เปนหย่อมย่านเคหาออกมาตั้ง |
เปนสวนไร่อุส่าห์ทำตามกำลัง |
ตำบลวังยางหนึ่งซึ่งจะนับ |
ยังส่วนหมู่ที่สองนั้นหนองหญ้า |
แล้วถัดมาชุกอ้ายบ้านย่านลำดับ |
เกาะสำโรงก็เปนหย่อมกระท่อมทับ |
ถัดถึงพลับพลาตั้งที่บางลาน |
พอเที่ยงครึ่งถึงหน้าพลับพลาใหญ่ |
มีปะรำทำไว้ยาวไพศาล |
หัวปะรำทำพลับพลาน่าสำราญ |
หลังเดียวด้านรีตรงลงฝั่งชล |
กั้นสามตอนผ่อนริมฝั่งเปนข้างหน้า |
ถัดเข้ามาที่ประทับไม่สับสน |
ห้องริมเรือเผื่อประทมที่ข้างบน |
ดูน่ายลอย่างยี่ปุ่นนั้นเปนนิจ |
จมื่นทิพเสนามากำกับ |
บังคับเมืองศรีสวัสดิ์ไม่ขัดติด |
ทำตลอดกลอนโดด้วยใกล้ชิด |
เร็วดังนฤมิตทุกตำบล |
เขาจัดของมาถวายเปนหลายอย่าง |
มีกวางคู่หนึ่งแลเปนต้น |
กับอีเก้งเขี้ยวขาวยาวชอบกล |
บุหรี่คนกาญจน์บุรีที่เขาใช้ |
มวนด้วยใบหมันสีสันเขียว |
ถ้าเหลือบเหลียวไปว่าพลูดูก็ได้ |
วันนี้อ้าวอับร้อนดูอ่อนใจ |
แต่ปรอทไม่ขึ้นไปกว่าก่อนมา |
เวลาบ่ายชายแสงสุริย์ศรี |
บ่ายสี่โมงพลันตวันจ้า |
เสด็จขึ้นสู่ฝั่งหลังพลับพลา |
เขาฉายทางลงมาจนไม่ทัน |
แล้วถากถางทุบปราบจนราบรื่น |
มีฝายื่นตอนข้างในใช้ผ้ากั้น |
แต่บันดาต้นไม้ใหญ่มีในนั้น |
ยกเปนชั้นเก้าอี้ที่ฉายา |
ทอดพระเนตรทั่วเสร็จเสด็จออก |
ทางปากช่องฉนวนนอกเปนข้างหน้า |
พระดำเนินเดินกระบวนล้วนอาชา |
ข้างในวอต่อมาจึงเปนรถ |
พ้นพลับพลาฝ่าพงไปลงช่อง |
เรียกว่าคลองบางลานชื่อจานจด |
ตลิ่งสูงสี่วาน่าท้อทด |
น้ำยังมีอยู่ไม่หมดต้องทอดตะพาน |
ต่อนั้นไปในป่าพฤกษาหย่อม |
บ้างต้นใหญ่หลายอ้อมน้อมกิ่งก้าน |
บ้างป่าไผ่ไม้รวกรุ่นตระการ |
รดูแล้งลมพานกระพือใบ |
บ้างลมหวนป่วนปลิวลิ่วลิ่วหมุน |
เจือกับฝุ่นฟุ้งเปนควันผันมาใกล้ |
หล่นอยู่ตามใต้ต้นคนจ่อไฟ |
เลยลามไหม้หญ้าแห้งจนแรงร้อน |
ตัดทางใหม่ไปแต่พอบรรจบถึง |
หนทางซึ่งเดินเกวียนมาแต่ก่อน |
เกลี่ยฉายทางที่เปนรางล่มแลดอน |
ให้ม้ารถบทจรสดวกใจ |
อันแผ่นดินในถิ่นสถานนี้ |
แม้จวนถึงมีที่สังเกตได้ |
ค่อยแดงเจือเรื่อจัดชัดเข้าไป |
จนถึงในบริเวณเปนสีแดง |
ส่วนต้นไม้ในจังหวัดพนัสนั้น |
ก็เล็กกรันลงไปได้ทุกแห่ง |
กอไม้รวกไม่มีใบในหน้าแล้ง |
ล้วนแขนงน้อยน้อยน่าเอนดู |
บ้างกระจ่างห่างกันหลั่นลำดับ |
บ้างซ้อนสับแซกเสียดเบียดเปนหมู่ |
ต้นไม้ยืนดื่นตาน่าชมชู |
เรียงรายอยู่เปนจังหวะดังกะปัน |
ล้วนใบเข้มเขียวขจีสีสอาด |
พื้นเช่นชาดสดชัดตัดสีสัน |
ดูงามหลากฉากรบายลายน้ำมัน |
แผ่นดินนั้นแขงกระด้างอย่างดินดาล |
เข้าข้างหลังถึงกระทั่งที่ขอบเขิบ |
พลับพลาเติบตั้งไว้ใหญ่สองด้าน |
เปนที่ทอดทัศนาน่าสำราญ |
ทั่วสถานจนกระทั่งถึงรวบเรียง |
ส่วนพลับพลาข้างหน้าตั้งหันด้านใต้ |
หลังข้างในตวันตกตั้งตามเฉียง |
ตั้งห่างไปไว้ระหว่างรุ่นรวกเรียง |
ชักปะรำรอบเฉลียงแล่นถึงกัน |
อันท้องทุ่งนาคราชปลาดเหลือ |
ใช่แดงเรื่อเลยไม่แกล้งแสร้งเศกสรร |
แดงจนทาอะไรได้ดูคล้ายกัน |
กับดินจันทบุรีที่เนินวง |
แต่ที่นี่เข้มขำดำกว่าหน่อย |
จะใช้สอยก็คงได้ดังประสงค์ |
เปนเช่นสีสนิมเหล็กแลใกล้ตรง |
ด้วยแร่เหล็กนั้นมาลงในที่นี้ |
เคยทดลองถลุงไล่ได้ตัวอย่าง |
แต่อยู่ห่างกระแสสินธุ์ไกลถิ่นที่ |
ถึงทำได้ก็กำไรคงไม่ดี |
จึงไม่มีผู้คิดติดใจทำ |
หนึ่งชาวบ้านกาญจน์บุรีนี้เขาว่า |
นาคขึ้นมาพ่นพิษติดแคงคร่ำ |
เม็ดแร่กลาดปัฐพีสีดำดำ |
ว่าฝูงนาคมาจากถ้ำถ่ายมูลไว้ |
เขาเก็บมาเจียรไนใช้เหมือนพลอย |
ประดับสร้อยคาดสเอวแลแหวนใส่ |
หนึ่งท่วงทีจะกันกันฤๅฉันใด |
ฉันก็ไม่ทราบถนัดชัดตำรา |
ในเชิงชมที่นิยมโดยตาเห็น |
ก็ควรเปนที่สนุกสุขหรรษา |
พื้นเลี่ยนลาดเหมือนดังดาดด้วยศิลา |
ที่เรียกว่าราชบุรีที่สีแดง |
มีเขามอเหมือนอย่างก่อเปนหย่อมหย่อม |
ล้วนย่อมย่อมเรียงรายหลายสิบแห่ง |
ที่ต่างต่างอย่างประดิษฐคิดพลิกแพลง |
เหมือนตกแต่งตั้งไว้ให้คนชม |
ประดับด้วยรุกขชาติขนาดย่อม |
ต้นเกดค่อมเคียงรวกพวกประสม |
ไม้สองอย่างข้างมอมีอุดม |
ไม่ใคร่ร่มใบโหรงโปร่งไนยนา |
ต้นไม้อื่นดื่นไปไม่ประจักษ์ |
ล้วนน่ารักรายสล้างข้างมอผา |
รอบเปนร่องท้องธารผ่านลงมา |
เหมือนสวนขวาก่อทำลำวารี |
เปนโกรกกรอกซอกเชิงแผ่นพระพัก |
บางแห่งหักแลเห็นเปนหลากสี |
แต่เที่ยวทอดทัศนาจวนราตรี |
จึงมาที่พลับพลาหาตะพด |
แต่คุ้ยขุดไม่ใคร่หลุดขึ้นมาได้ |
จนอ่อนใจเลยเลิกกันไปหมด |
แต่เรื่องมูลนาคราชไม่ขาดงด |
ไม่ละลดเล็กใหญ่ได้ทั้งนั้น |
พระศรีสวัสดิ์จัดมพร้าวอ่อนถวาย |
เลี้ยงไพร่นายแต่บันดาที่มานั้น |
ประทับทำแซ่ม้าอยู่ช้าครัน |
คอยพระจันทร์ให้สว่างตามทางจร |
จนทุ่มหนึ่งจึงได้กลับนับสังเกต |
คืนประเวศทางลีลามาแต่ก่อน |
แลสว่างพร่างแสงศศิธร |
ทิพากรเยื้องพยับก็กลับเย็น |
ยิ่งตกค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย |
หนาวน้อยน้อยค่อยสบายคลายขัดเข็ญ |
เสียแต่ฝุ่นยังไม่วายส่ายกระเซน |
จนเกือบเปนกวนอูดูหน้าแดง |
กระบอกไฟไว้วางข้างวิถี |
ดูก็ดีพอสว่างกระจ่างแสง |
เรืองประทีปโคมไฟได้แสดง |
มาเห็นแจ้งจริงจังในครั้งนี้ |
คือกระบอกปอกเปลือกเทือกเข้าหลาม |
ถ้ารั่วรำทำลามแล้วป่นปี้ |
ต้องเลือกสรรกันแต่ปล้องดีดี |
น้ำมันข้นปนขี้มีเปลือกไม้ |
ไม่มีไส้จุดลงไปเล่นดื้อดื้อ |
ถ้าจุดถือเดินเล่นเหมือนเช่นไต้ |
น่ากลัวหกตกติดเปนเปลวไฟ |
จะเขี่ยไค้ดูลำบากอยากจะวาง |
ดูก็ขันชั้นพระอรรถกถา |
ยังมีมาให้ได้เห็นเปนตัวอย่าง |
แถบที่นี่เขายังใช้ไม่จืดจาง |
ค่อนข้างหัวเห็ดแท้ไม่แปรปรวน |
ถึงพลับพลาพอเวลาสองทุ่มแล้ว |
ต่างผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมสรวล |
แต่หิวเข้าเต็มทนจนเกือบครวญ |
ต้องรีบด่วนลงไปเรือด้วยเหลือทน |
เขาเล่ากันว่าวันนี้มีคนไป |
เดินเวียนวงหลงใหลในไพรสณฑ์ |
ล้วนผู้หญิงพากันไปเปนหลายคน |
เที่ยวเดินวนอยู่ในป่าหาหนทาง |
พบขี้เสือเหลือรำพึงถึงร้องไห้ |
ต้องบุกป่าฝ่าใฝ่ใจเต้นหยาง |
หนามเหนี่ยวเกี่ยวยับเกือบอับปาง |
ต้องเลยวางวนกลับมาพลับพลา |
ตำบลนี้เขาว่ามีสัตว์อยู่มาก |
เมื่อแรกถากทุบที่มีนักหนา |
รอยออกก่ายกันไปในวนา |
อยู่นานมาหายไปไม่มากวน |
ทำไดรีถี่ถ้วนไปไม่ไหว |
ค้างไม่ได้เลยสักวารเปนการด่วน |
ฉันลืมย่านบ้านชื่อชุกยายญวน |
มีไร่สวนสองฟากมากประมาณ |
เปนทางไปได้ถึงทุ่งนาคราช |
เสด็จประพาสครั้งแรกแปลกสถาน |
อยู่คุ้งหนึ่งนับลงไปใต้บางลาน |
ขอหยุดจานจดไดรีวันนี้ไว้ ฯ |