๏ ปรอทหนาวคราวนี้เจ็ดสิบเจ็ด |
ไม่เสด็จเที่ยวเช้าจะเข้าที่ |
ถูกอารมณ์ฉันกระไรจะได้มี |
เวลาดีพอได้ดูหมู่พลับพลา |
ต้องย้อนทางไปข้างล่างตรงเรือจอด |
จะได้เห็นให้ตลอดถึงหน้าท่า |
ปะรำเรือครั้งนี้แยกแปลกตำรา |
เปนซ้ายขวาสองข้างกลางว่างเว้น |
ทอดแต่แพเปนตพานพอผ่านหน้า |
น้ำโจนใครไปมาก็ให้เห็น |
แต่กันไว้ส่วนข้างในจะได้เปน |
ที่ลงเล่นน้ำได้ไม่เว้นวาย |
ที่ตอนเหนือเรือที่นั่งทั้งอื่นบ้าง |
ปะรำกว้างดาดเพดานม่านสอดสาย |
ปะรำใต้ใช้แต่เรือกปูบวบราย |
พอผันผายได้ตลอดจอดนาวา |
ตลิ่งฟันคั่นบันไดไปบนฝั่ง |
หลายทบทั้งหลักยันราวพันผ้า |
ขึ้นเหนือใต้คนละฝ่ายฟากพลับพลา |
ที่เรียงมาสองฝ่ายสายวารี |
ตัวลำธารผ่านวงไม่ตรงทิศ |
พลับพลาชิดชั่วแต่เว้นเปนวิถี |
สมมตเปนเหนือใต้ใช้วิธี |
พอเปนที่สังเกตรู้ของผู้ฟัง |
ฟากข้างใต้ใกล้ลำแม่น้ำน้อย |
พื้นต่ำหน่อยเหมือนหนึ่งเกลื่อนพอเรือนตั้ง |
สิบสองห้องทั้งเฉลียงไม่เบียงบัง |
เสาลอยทั้งสามด้านชานฟากปู |
พระประเทียบท้าวนางข้างแพใต้ |
ตรงขึ้นไปถึงตำหนักที่พักอยู่ |
ฝั่งข้างเหนือสูงเปนเนินเกินพื้นภู |
ปันปลูกหมู่ที่ประทับเปนพลับพลา |
ยสิบสองห้องตั้งทั้งหลังขวาง |
ด้านเหนือกางฉากกั้นปันข้างหน้า |
ฉนวนเปนปากชนางกางขึ้นมา |
ถึงชายป่าเปนที่อยู่ของผู้ชาย |
ส่วนเฉลียงเคียงหลังพระโรงนั้น |
คิดแบ่งปันเปนข้างในเหมือนใจหมาย |
ได้เปนที่ประทับเล่นเย็นสบาย |
ใกล้กับสายน้ำตกที่วกลง |
ต่อตอนนี้สิบสี่ห้องต้องเลี้ยวหัก |
มีห้องแซกแยกยักเปนที่สรง |
แล้วห้องที่ปัจฐรณ์อยู่ตอนตรง |
ใช้ฉากวงเวียนกั้นประจันใน |
ห้องส่วนนอกออกไปเปนที่เสวย |
เปิดโล่งเลยเฉลียงข้างให้กว้างใหญ่ |
เก้าอี้หวายรายวางห่างห่างไป |
เขากวางใช้ติดแน่นแขวนมาลา |
ต่อนี้ไปที่ข้างในเสด็จอยู่ |
ร่วมในหมู่เดียวกันปันด้วยฝา |
ยังไม่พอต่อยักหักตัวมา |
ท้ายพลับพลาหกห้องข้องเกี่ยวกัน |
ใช้ไม้บงทั้งลำทำฝาห้อง |
ใบหวายกรองแทนจากหลากตาฉัน |
มุงหลังคาดูละม้ายคล้ายจากครัน |
ด้วยสีสันผิดแฝกแปลกกันไป |
เฉลี่ยงหลังบังให้ข้าหลวงพัก |
ไม่คึกคักด้านหน้าอัชฌาไสย |
ระยะห้องช่องเว้นเปนทางไว้ |
สำหรับได้เดินคลานไม่ผ่านกราย |
เฉลี่ยงหน้าท่าดีที่เปิดโปรง |
เห็นธารโล่งลิ่วลอดตลอดสาย |
ม่านประจำเสามีมุลิราย |
บันไดจ่ายเปนระยะจังหวะวาง |
เสาพนักยักที่มิให้ซ้ำ |
เขาช่างทำยักใช้ไม้ต่างต่าง |
ที่ข้างเหนือบันไดใหญ่ไว้ตรงกลาง |
หน้าหลังขวางด้านสกัดจัดไม้โพรง |
เลือกต้นใหญ่ใช้เปนเสาเกลาเปลือกปอก |
กิ่งก้านงอกคดคู้ดูเก้งโก้ง |
ราวพนักคั่นบันไดล้วนไม้โค้ง |
ช่องปรุโปร่งกิ่วคอดตลอดลำ |
ปลูกกล้วยไม้ใบกระจายบนปลายเสา |
ดูเข้าเค้าน่าชมเห็นคมขำ |
ที่เกาะกิ่งไม้ตัดมาจัดทำ |
เชือกประจำสอดร้อยห้อยรายราว |
ห้องเฉลียงเคียงหลังฉากข้างหน้า |
เขาช่างหากาบปลอกออกสีขาว |
ติดตามตอต่อระยะเปนระนาว |
ไม่ก่ายก้าวเกะกะจังหวะดี |
เหมือนหอยกาบทาบไว้ใส่ขนม |
เห็นน่าชมจริงมิใช่จะใส่สี |
ที่ตรงช่องห้องประทับกลับวิธี |
ล้วนแต่มีเถาพันบันไดลิง |
อิกช่องหนึ่งกึ่งกลางหว่างห้องใหญ่ |
ล้วนไม้ไผ่น่าดูสมผู้หญิง |
ลำน้อยน้อยทอยตอกเตาปูยิง |
รอบไม้จริงต่อใหญ่เปนไม้เฟือง |
บันไดปลายย้ายไปเปนไม้ปล้อง |
โตสักสองกำถ้วนกระบวนเขื่อง |
ไม้ไทรโยกที่ออกชื่อฦๅทั่วเมือง |
เปนจบเรื่องราวบันไดใช้เช่นนี้ |
แขวนกล้วยไม้ชายคาหาตอตัด |
คาดเชือกรัดโยงทำประจำที่ |
คูครึกครื้นรื่นดาดสอาดดี |
สมเปนที่ประทับยั้งอยู่ตั้งเดือน |
ตามพื้นภูมิสถานสอ้านสอาด |
ล้วนแผ้วกวาดแต่งตกไม่รกเปื้อน |
ต้นไม้จัดตัดแต่งแปลงเปนเรือน |
เห็นงามเงื่อนไม้ดัดจัดประจำ |
พฤกษาสูงเสียดสอดทอดกิ่งชิด |
ดวงอาทิตย์ดังจะบังได้ยังค่ำ |
รั้วไม้รวกเรียงรายกันชายน้ำ |
เดินเพลี่ยงพล้ำพลาดพลั้งได้ยั้งยัน |
อันลำธารผ่านมาหน้าตำหนัก |
ท้นทบหักโอนเอี้ยวเลี้ยวบิดผัน |
ถึงสี่ทอดตลอดตั้งแต่ข่ายกัน |
ตรงผ้ากั้นฉนวนบังหลังพลับพลา |
ลำธารทางกว้างประมาณหกศอกถ้วน |
ภาคพื้นล้วนทรายอ่อนกับก้อนผา |
บ้างเปนปูนจับกรังดังศิลา |
บางแห่งมาดินปนระคนทราย |
ที่แหล่งลึกหลั่งล้นจนชาณุ |
ไหลดั้นดุปรึงปราดไม่ขาดสาย |
ที่ตอนตื้นยืนเพียงข้อพอสบาย |
ตวันชายทูลหม่อมลงสรงวารี |
ด้วยต้นไม้ใกล้ธารก้านใบชิด |
ร่มสนิทบังแสงสุริย์ศรี |
จัดแพไม้น้อยน้อยลอยวารี |
บนหลังมีประทุนตั้งจังกูดคัด |
ทรงลากลุยชลสวนทวนกระแส |
แล้วปล่อยแพลอยล่องไม่ข้องขัด |
มาพล่องแพล่งอยู่ที่แก่งสารวัด |
เสียงอึดอัดอื่ออึงดึงเชือกชัก |
พอหลุดแก่งแข่งขานสท้านก้อง |
แพลงช่องเลื่อนหลุดสดุดกัก |
สายน้ำปัดฟัดตลิ่งนิ่งชงัก |
เสียงคึกคักถ่อเขนเปนอลเวง |
พอพ้นวังเวียนคว้างลงกลางเรี่ยว |
สายน้ำเชี่ยวกระทบผาปาดังเผง |
เกิดแพล่มติดตื้นเสียงครื้นเครง |
เลยเท้งเต้งประทุนลอยถอยอึงคนึง |
กลายเปนแข่งแพใครจะไปคล่อง |
ช้าก็ต้องส่งไสไปให้ถึง |
ทั้งสามองค์ทรงเชือกกระชากทึ้ง |
แพทลึ่งขึ้นบนดอนต้องช้อนลง |
สองชั่วโมงก็ยังไม่ใคร่ทรงเลิก |
เอิกเกริกเริงจิตต์พิศวง |
เสด็จขึ้นถึงบนฝั่งยังพะวง |
จนต้องทรงอุ้มแพไม้ไปตามกัน |
มีแคร่นั่งริมน้ำเปนสามเหลี่ยม |
สายชลเปี่ยมปริ่มเปรมเกษมสันต์ |
แสนสนุกสุขสบายไม่วายวัน |
เสียงน้ำลั่นอยู่เปนนิจติดใจตรึง |
ทางผ่านธารมีตะพานถึงสองแห่ง |
ตรงตำแหน่งหน้าตำหนักชักข้ามขึง |
เปนพื้นตรงต่อไปลงที่ต่ำจึง |
มีขาหนึ่งเขาลาดดาดลงไป |
อีกอยู่ตะพานปลายท้ายที่พัก |
ดูน่ารักทำเปนโค้งโก่งไถล |
ปูเรือกขัดลายสี่งามวิไล |
พนักใช้ไม้ลำทำเกลี้ยงเกลา |
เบื้องบนฝั่งไปข้างหลังเรือนที่พัก |
สนุกนักดูเปนเนินเหมือนเทินเขา |
ต้นไม้ใหญ่ยืนสล้างอย่างบังเงา |
ไม่ร่วงเฉาใบชิดสนิทงาม |
หลังพลับพลามาข้างนี้มีก่อไผ่ |
ลำไม่ใหญ่เปลาดีไม่มีหนาม |
เรียกไผ่ผากฤๅไผ่บงไม่ตรงความ |
ขึ้นเต็มตามพื้นราบเหมือนปราบเตียน |
ต้นเรียงรายปลายลำพอจดประ |
เปนระยะยิ่งอย่างมือช่างเขียน |
มีตอบักชักเปนแยบดูแนบเนียน |
ทำลายเลียนพัดด้ามจิ้วบรรจบวง |
เดินเข้าในได้ทางด้ามตามขอบพัด |
ไม้ลำตัดตีหลังตอพอประสงค์ |
สามลำเรียงเพียงขอบพัดจัดประจง |
ข้างล่างลงเฟินรายเปนชายเชิง |
ปูเสื่อทางวางแถวเปนแนวแฉก |
มิให้แยกเดินไปได้เหลิงเจิ้ง |
พอเปนที่เกษมสันต์จิตต์บรรเทิง |
สำราญเริงเล่นในร่มเมื่อลมตึง |
มีโต๊ะตอต่อตั้งหลังเปนแผง |
เขาคิดแผลงเก้าอี้นั่งทำขังขึง |
ไม้ไผ่เกลาเข้าคู่เตาปูตรึง |
อีกตัวหนึ่งนั้นเปนทีเก้าอี้ยาว |
ตอไม้คู้คู่ขาดูน่าขัน |
เบื้องบนนั้นเหมือนระนาดพาดไม้ขาว |
ตลอดตั้งหลังพนักพักพิงราว |
ถึงร้อนอ้าวนั่งนอนก็ผ่อนเย็น |
วงหลังค่ายรายกั้นฉนวนผ้า |
กว้างกว่าสามสิบวาฉันคิดเห็น |
แต่ตามยาวถึงราวป่าน่าจะเปน |
สักสามเส้นดอกกระมังยังเคลือบแคลง |
เดินจนเหนื่อยเมื่อยขากว่าจะหมด |
เที่ยวจำจดลำพังตัวทั่วตำแหน่ง |
ยามกลางวันปรอทหย่อนไม่ร้อนแรง |
เย็นกว่าแห่งอื่นสิ้นในถิ่นนี้ |
ยามกลางวันนั้นเพียงแปดสิบห้า |
บางวันหย่อนผ่อนลงมาแปดสิบสี่ |
เปนที่แสนสุขเกษมโปร่งเปรมปรีดิ์ |
ยามราตรีหนาวเย็นไม่เว้นวัน |
แต่เพียงนี้เกือบไม่มีเวลาเที่ยว |
ต้องลดเลี้ยวเร่ร้ายผาดผายผัน |
น้อยเวลาหายากลำบากครัน |
จะรำพันต่อไปไม่มีเวลา |
ภาสกรอ่อนสีสี่โมงส่วน |
เสด็จกระบวรเรือน้อยคล้อยจากท่า |
ทางสักห้าเส้นเศษสังเกตตา |
เลยผ่านหน้าน้ำโจนน้อยคล้อยครรไล |
ไปนิดหนึ่งก็พอถึงพุประดู่ |
เสียงน้ำซู่สืบมาหาช้าไม่ |
ตามริมฝั่งคราบกรังเนื่องกันไป |
แต่พุใหญ่จนถึงนี้มีมากมาย |
พิรุณร้างว่างเว้นไม่เห็นพุ |
ยังดันดุแต่ฉเพาะที่เหมาะสาย |
ถ้าหน้าฝนท้นกระเด็นไม้เว้นวาย |
จะพร่างพรายไปทั้งฝั่งดังพุเดียว |
วังประดู่ดูตรงหน้าสักวาหนึ่ง |
สายน้ำปรึงปราดกล้าน่าหวาดเสียว |
เพราะธารใหญ่ไหลหักมาเปนเกลียว |
ฉะเพาะเลี้ยวมาลงร่องช่องไม่โต |
ต่อขึ้นไปนั้นเปนอ่างกว้างถนัด |
ซ้อนถัดถัดกันขึ้นไปไกลอักโข |
ปีนขึ้นตามปากอ่างอย่างสะโล |
แต่ดูโสโครกนักมักเปนตม |
ไต่ขึ้นไปเส้นหนึ่งจึงพ้นอ่าง |
ถึงธารกว้างใบพฤกษามาสะสม |
น้ำรินรินเรื่อยมาไม่น่าชม |
มีไม้ล้มทับทอดตลอดทาง |
ทอดพระเนตรพุประดู่สักครู่ใหญ่ |
ล่องครรไลกลับหลังยังพุล่าง |
น้ำโจนน้อยลอยแลชะแง้พลาง |
ดูคล้ายอย่างพุใหญ่ไม่ไกลกัน |
บริเวณวารีที่ตกกว้าง |
ดูอยู่ข้างจะยาวใหญ่ไปกว่านั่น |
แต่น้ำไปไม่แรงทั่วทั้งนั้น |
ฉะเพาะลั่นหลั่งลงอยู่ตรงกลาง |
เปนห้าสายฝ่ายเหนืออยู่ข้างน้อย |
ตกเปนฝอยไหลหลากตามปากอ่าง |
ตะพานทอดจอดตรงนี้ไม่มีทาง |
ต้องไต่ข้างขอบคั่นหลั่นขึ้นไป |
น้ำในห้วงริมทางอยู่ข้างลึก |
ออกปึกปึกกลัวพลาดปราดไถล |
แต่รอดตัวเต็มทีมีต้นไม้ |
พอเหนี่ยวไว้แทนราวก้าวลิลา |
ขึ้นจากไหล่เหนือนี้ถึงที่อ่าง |
เปนชั้นกลางน้ำลงตรงหน้าผา |
จากแอ่งนี้สี่ทางวางลงมา |
ตกคงคาทุ่มโถมเสียงโครมครืน |
อาบวารีแล้วตรงนี้เปนที่หนึ่ง |
ไม่ลึกซึ้งเกินไปแลไม่ตื้น |
ล้วนทรายอ่อนขาวสอาดดาดเปนพื้น |
เหยียบไม่ลื่นแลไม่คมเห็นสมควร |
หน้าผาในที่ตรงนี้มีคูหา |
กว้างสักวาโดยรอบคิดสอบสวน |
คล้ายถ้ำน้ำพุใหญ่ในกระบวน |
แต่ลดส่วนย่อมกว่าทั้งท่าที |
ตรงหน้าถ้ำสายน้ำไม่เอิบอาบ |
เปนแต่ซาบลงมาย้อยพร้อยพร่างถี่ |
เปนตะไคร่ไคลคร่ำขำขะจี |
ไม่เปนที่หยุดยั้งนั่งสำราญ |
ที่หน้ามอต่อไปข้างเหนือถ้ำ |
ทางสายน้ำบ่าตรงลงละหาน |
เปนเกลียวใหญ่ไหลหลั่งดังสท้าน |
เหมือนเดือดพล่านพลั่งพลุ่งฟุ้งเปนฟอง |
ที่ข้างเหนือใต้ไปอิกทีมีสายใหญ่ |
จำไม่ได้ไม่สู้งามสามหรือสอง |
มีดั้นขึ้นไปต้นธารน้ำน่านนอง |
เปนห้องห้องต่างต่างบ้างยาวรี |
ลำธารตรงลงแพร่แผ่กว่าเส้น |
ศิลาเปนคันอย่างทางวิถี |
เดินเที่ยวไปได้ง่ายสบายดี |
ตามพื้นมีก้อนหินดินปนทราย |
พุน้อยนี้นับว่าดีกว่าพุใหญ่ |
ที่ในเรื่องต้นไม้มีมากหลาย |
ที่เบื้องบนต้นแว่แผ่บังราย |
ที่เชิงชายวารีมีตะไคร้ |
ต้นเฟินแฝงแซงงอกตามซอกผา |
พ้นธาราเปนกระบวรล้วนไม้ใหญ่ |
เดียรดาษกลาดกล่นด้วยต้นไม้ |
งามเหมือนเขาไกรลาสสอาดตา |
เสด็จลงสรงสนานสำราญรื่น |
ต่างแช่มชื่นชูใจไปทั่วหน้า |
สุริยงลงลับบรรพตา |
ข้างในมาคอยค้างอยู่กลางเรือ |
ด้วยเสด็จครรไลทางในป่า |
ผู้ที่กำกับมาเขาไม่เชื่อ |
คอยอยู่จนเกือบทุ่มหนาวครุมเครือ |
นั่งจนเบื่อเต็มทีไม่มีอะไร |
เห็นแต่มาเรียกเทียนเวียนไปจุด |
อุตลุดรายทางสว่างไสว |
เสียงเอะอะเวยวายแล้วหายไป |
อย่างเต็มใบแบบจะบอกออกเห็นจริง |
นั่งครางร่นบ่นหารือกันตุบตับ |
เรือม่วงพายฉับฉับเฉียดตลิ่ง |
มาบอกให้กลับไปใจประวิง |
นึกเกรงกริ่งกระไรอยู่ดูไม่ดี |
เห็นตำรวจถือไฟไปตามฝั่ง |
นึกว่ายังทรงดำเนินอยู่ที่นี่ |
ต่อขึ้นไปบนพลับพลาพนาลี |
เห็นเสด็จสถิตที่สำราญนาน |
รับสั่งว่าเสด็จมาทอดพระเนตร |
ตามประเทศทางน้ำลำละหาน |
จากโจนผันผายในท้องธาร |
ศิลาดาลสีดำตำบาทคม |
ทรงเสลี่ยงพระเก้าอี้มีคานหาม |
เสด็จตามทางไพรในไผ่ร่ม |
ต้องคดเคี้ยวเลี้ยวเดินเนินพนม |
คราวประถมที่ต้องผ่านธารชลธี |
เห็นมีมอเหมือนดังก่อขึ้นฉะเพาะ |
แล้วแขวะเจาะเปนปล่องช่องวิถี |
น้ำเลี้ยวลั่นถั่นลงที่ตรงนี้ |
เสียงวารีโกรกก้องทั้งท้องธาร |
ดูท่วงทีเหมือนที่ทำในสวนขวา |
ท่อธาราสาหรับล้นเมื่อชลฉาน |
แต่สายนี้ทีจะไปใต้ดินดาล |
แล้วผุดพล่านขึ้นสักแห่งไม่แจ้งใจ |
ผ่านวารีที่สองล้วนกองผา |
มีศิลาเปนตพานผ่านน้ำไหล |
ช่องคูหากลมกว้างใช่อย่างไทย |
ทีจะไปข้างโค้งโปร่งเปนทาง |
ศิลาก้อนซ้อนกันดูเกะกะ |
บ้างเรอะระรุงรังอยู่ข้างล่าง |
ข้ามข้อศอกลำธารลอดผ่านกลาง |
ดำเนินขวางแหลมตัดลัดลงธาร |
ที่ตรงนี้วารีอยู่ข้างลึก |
ไหลคึกคึกลุยละลอกกระฉอกฉาน |
สนธยามืดมนท์อนธการ |
พวกทวยหาญจุดคบครบมือกัน |
ขึ้นบกไปไม่ถึงไหนต้องลงน้ำ |
เดินตามลำธารน้อยค่อยผายผัน |
ถึงปากปล่องช่องพุน้ำโจนพลัน |
สลิลลั่นจากกรอกซอกศิลา |
ตัวคิรีก็มิใช่จะใหญ่กว้าง |
อยู่เหมือนอย่างเนินที่มีก้อนผา |
ไม่ควรเห็นเปนที่เกิดธารา |
ชรอยมาแต่คิรีที่ข้างใน |
เดินใต้ดินหินผากลบหน้าอยู่ |
มาส้าสู้ขึ้นที่นี้มีช่องใหญ่ |
พุขึ้นมามิใช่ว่าสูงเมื่อไร |
อยู่ใกล้ใกล้ปัฐพีมีผาบัง |
ไหลแผ่แตกแยกกันเปนสองสาย |
บรรจบปลายไม่สู้ไกลร่วมไหลหลั่ง |
มีละเมาะเกาะกลางข้างขวาพัง |
น้ำตกดังลึกมากเดินยากเย็น |
ลำธารนี้ที่เปนต้นน้ำโจนใหญ่ |
ถ้าตรงไปจากพลับพลาทางห้าเส้น |
แยกอิกสายย้ายทางห่างกระเด็น |
ไม่แลเห็นสายน้ำเพราะค่ำคืน |
เขาว่าไพล่ไปบรรจบน้ำโจนน้อย |
ที่มีรอยธารามาทางอื่น |
จึงคิดการกันบรรจบทำนบยืน |
แก้ไขขืนธารทวนให้หวนมา |
ร่วมทางนี้ที่จะลงน้ำโจนใหญ่ |
ชลาไหลจึงได้หลากมากขึ้นกว่า |
เมื่อคราวหลังครั้งเสด็จมาทัศนา |
ตามแนวป่าไม่มีผู้รู้ตำบล |
พึ่งมาทราบกันขึ้นใหม่ในครั้งนี้ |
เพราะผู้ที่ตัดไม้ในไพรสณฑ์ |
ทั้งนายด้านนายงานพาลจะซน |
เทียวเดินด้นค้นคว้าในป่าดอน |
ยังที่อื่นอีกก็มีที่เขาพบ |
เวลาพลบมืดค่ำจำหยุดหย่อน |
เสด็จกลับทางธารที่ผ่านจร |
เปนทางย้อนหน่อยหนึ่งจึงตัดมา |
ในไผ่หมู่ครู่หนึ่งก็ถึงค่าย |
ข้ามลำธารท่อนปลายข้างฝาผ้า |
แล้วดำเนินเลียบรอบขอบพลับพลา |
มาเข้าทางข้างหน้าท้องพระโรง |
พลับพลานี้มีผ้ากั้นสามด้าน |
ที่ข้างธารน้ำตกยกเปิดโถง |
พอสิ้นแสงสุริย์ศรีอัคคีโพลง |
สว่างโล่งแลปลอดตลอดธาร |
ต้นไม้ใช้โคมกระดาษสอาดหนอ |
แลข้างไหนนอรอรอไปทุกด้าน |
จนลืมหลังตั้งแต่จะเบิกบาน |
ขอจบสารเสร็จกลอนในตอนนี้ ฯ |