วัน ๗ ฯ๑๐ ๒ ค่ำ

วัน ๗ ๑๐ ๒ ค่ำ

๏ ปรอทหนาวคราวนี้เจ็ดสิบเจ็ด ไม่เสด็จเที่ยวเช้าจะเข้าที่
ถูกอารมณ์ฉันกระไรจะได้มี เวลาดีพอได้ดูหมู่พลับพลา
ต้องย้อนทางไปข้างล่างตรงเรือจอด จะได้เห็นให้ตลอดถึงหน้าท่า
ปะรำเรือครั้งนี้แยกแปลกตำรา เปนซ้ายขวาสองข้างกลางว่างเว้น
ทอดแต่แพเปนตพานพอผ่านหน้า น้ำโจนใครไปมาก็ให้เห็น
แต่กันไว้ส่วนข้างในจะได้เปน ที่ลงเล่นน้ำได้ไม่เว้นวาย
ที่ตอนเหนือเรือที่นั่งทั้งอื่นบ้าง ปะรำกว้างดาดเพดานม่านสอดสาย
ปะรำใต้ใช้แต่เรือกปูบวบราย พอผันผายได้ตลอดจอดนาวา
ตลิ่งฟันคั่นบันไดไปบนฝั่ง หลายทบทั้งหลักยันราวพันผ้า
ขึ้นเหนือใต้คนละฝ่ายฟากพลับพลา ที่เรียงมาสองฝ่ายสายวารี
ตัวลำธารผ่านวงไม่ตรงทิศ พลับพลาชิดชั่วแต่เว้นเปนวิถี
สมมตเปนเหนือใต้ใช้วิธี พอเปนที่สังเกตรู้ของผู้ฟัง
ฟากข้างใต้ใกล้ลำแม่น้ำน้อย พื้นต่ำหน่อยเหมือนหนึ่งเกลื่อนพอเรือนตั้ง
สิบสองห้องทั้งเฉลียงไม่เบียงบัง เสาลอยทั้งสามด้านชานฟากปู
พระประเทียบท้าวนางข้างแพใต้ ตรงขึ้นไปถึงตำหนักที่พักอยู่
ฝั่งข้างเหนือสูงเปนเนินเกินพื้นภู ปันปลูกหมู่ที่ประทับเปนพลับพลา
ยสิบสองห้องตั้งทั้งหลังขวาง ด้านเหนือกางฉากกั้นปันข้างหน้า
ฉนวนเปนปากชนางกางขึ้นมา ถึงชายป่าเปนที่อยู่ของผู้ชาย
ส่วนเฉลียงเคียงหลังพระโรงนั้น คิดแบ่งปันเปนข้างในเหมือนใจหมาย
ได้เปนที่ประทับเล่นเย็นสบาย ใกล้กับสายน้ำตกที่วกลง
ต่อตอนนี้สิบสี่ห้องต้องเลี้ยวหัก มีห้องแซกแยกยักเปนที่สรง
แล้วห้องที่ปัจฐรณ์อยู่ตอนตรง ใช้ฉากวงเวียนกั้นประจันใน
ห้องส่วนนอกออกไปเปนที่เสวย เปิดโล่งเลยเฉลียงข้างให้กว้างใหญ่
เก้าอี้หวายรายวางห่างห่างไป เขากวางใช้ติดแน่นแขวนมาลา
ต่อนี้ไปที่ข้างในเสด็จอยู่ ร่วมในหมู่เดียวกันปันด้วยฝา
ยังไม่พอต่อยักหักตัวมา ท้ายพลับพลาหกห้องข้องเกี่ยวกัน
ใช้ไม้บงทั้งลำทำฝาห้อง ใบหวายกรองแทนจากหลากตาฉัน
มุงหลังคาดูละม้ายคล้ายจากครัน ด้วยสีสันผิดแฝกแปลกกันไป
เฉลี่ยงหลังบังให้ข้าหลวงพัก ไม่คึกคักด้านหน้าอัชฌาไสย
ระยะห้องช่องเว้นเปนทางไว้ สำหรับได้เดินคลานไม่ผ่านกราย
เฉลี่ยงหน้าท่าดีที่เปิดโปรง เห็นธารโล่งลิ่วลอดตลอดสาย
ม่านประจำเสามีมุลิราย บันไดจ่ายเปนระยะจังหวะวาง
เสาพนักยักที่มิให้ซ้ำ เขาช่างทำยักใช้ไม้ต่างต่าง
ที่ข้างเหนือบันไดใหญ่ไว้ตรงกลาง หน้าหลังขวางด้านสกัดจัดไม้โพรง
เลือกต้นใหญ่ใช้เปนเสาเกลาเปลือกปอก กิ่งก้านงอกคดคู้ดูเก้งโก้ง
ราวพนักคั่นบันไดล้วนไม้โค้ง ช่องปรุโปร่งกิ่วคอดตลอดลำ
ปลูกกล้วยไม้ใบกระจายบนปลายเสา ดูเข้าเค้าน่าชมเห็นคมขำ
ที่เกาะกิ่งไม้ตัดมาจัดทำ เชือกประจำสอดร้อยห้อยรายราว
ห้องเฉลียงเคียงหลังฉากข้างหน้า เขาช่างหากาบปลอกออกสีขาว
ติดตามตอต่อระยะเปนระนาว ไม่ก่ายก้าวเกะกะจังหวะดี
เหมือนหอยกาบทาบไว้ใส่ขนม เห็นน่าชมจริงมิใช่จะใส่สี
ที่ตรงช่องห้องประทับกลับวิธี ล้วนแต่มีเถาพันบันไดลิง
อิกช่องหนึ่งกึ่งกลางหว่างห้องใหญ่ ล้วนไม้ไผ่น่าดูสมผู้หญิง
ลำน้อยน้อยทอยตอกเตาปูยิง รอบไม้จริงต่อใหญ่เปนไม้เฟือง
บันไดปลายย้ายไปเปนไม้ปล้อง โตสักสองกำถ้วนกระบวนเขื่อง
ไม้ไทรโยกที่ออกชื่อฦๅทั่วเมือง เปนจบเรื่องราวบันไดใช้เช่นนี้
แขวนกล้วยไม้ชายคาหาตอตัด คาดเชือกรัดโยงทำประจำที่
คูครึกครื้นรื่นดาดสอาดดี สมเปนที่ประทับยั้งอยู่ตั้งเดือน
ตามพื้นภูมิสถานสอ้านสอาด ล้วนแผ้วกวาดแต่งตกไม่รกเปื้อน
ต้นไม้จัดตัดแต่งแปลงเปนเรือน เห็นงามเงื่อนไม้ดัดจัดประจำ
พฤกษาสูงเสียดสอดทอดกิ่งชิด ดวงอาทิตย์ดังจะบังได้ยังค่ำ
รั้วไม้รวกเรียงรายกันชายน้ำ เดินเพลี่ยงพล้ำพลาดพลั้งได้ยั้งยัน
อันลำธารผ่านมาหน้าตำหนัก ท้นทบหักโอนเอี้ยวเลี้ยวบิดผัน
ถึงสี่ทอดตลอดตั้งแต่ข่ายกัน ตรงผ้ากั้นฉนวนบังหลังพลับพลา
ลำธารทางกว้างประมาณหกศอกถ้วน ภาคพื้นล้วนทรายอ่อนกับก้อนผา
บ้างเปนปูนจับกรังดังศิลา บางแห่งมาดินปนระคนทราย
ที่แหล่งลึกหลั่งล้นจนชาณุ ไหลดั้นดุปรึงปราดไม่ขาดสาย
ที่ตอนตื้นยืนเพียงข้อพอสบาย ตวันชายทูลหม่อมลงสรงวารี
ด้วยต้นไม้ใกล้ธารก้านใบชิด ร่มสนิทบังแสงสุริย์ศรี
จัดแพไม้น้อยน้อยลอยวารี บนหลังมีประทุนตั้งจังกูดคัด
ทรงลากลุยชลสวนทวนกระแส แล้วปล่อยแพลอยล่องไม่ข้องขัด
มาพล่องแพล่งอยู่ที่แก่งสารวัด เสียงอึดอัดอื่ออึงดึงเชือกชัก
พอหลุดแก่งแข่งขานสท้านก้อง แพลงช่องเลื่อนหลุดสดุดกัก
สายน้ำปัดฟัดตลิ่งนิ่งชงัก เสียงคึกคักถ่อเขนเปนอลเวง
พอพ้นวังเวียนคว้างลงกลางเรี่ยว สายน้ำเชี่ยวกระทบผาปาดังเผง
เกิดแพล่มติดตื้นเสียงครื้นเครง เลยเท้งเต้งประทุนลอยถอยอึงคนึง
กลายเปนแข่งแพใครจะไปคล่อง ช้าก็ต้องส่งไสไปให้ถึง
ทั้งสามองค์ทรงเชือกกระชากทึ้ง แพทลึ่งขึ้นบนดอนต้องช้อนลง
สองชั่วโมงก็ยังไม่ใคร่ทรงเลิก เอิกเกริกเริงจิตต์พิศวง
เสด็จขึ้นถึงบนฝั่งยังพะวง จนต้องทรงอุ้มแพไม้ไปตามกัน
มีแคร่นั่งริมน้ำเปนสามเหลี่ยม สายชลเปี่ยมปริ่มเปรมเกษมสันต์
แสนสนุกสุขสบายไม่วายวัน เสียงน้ำลั่นอยู่เปนนิจติดใจตรึง
ทางผ่านธารมีตะพานถึงสองแห่ง ตรงตำแหน่งหน้าตำหนักชักข้ามขึง
เปนพื้นตรงต่อไปลงที่ต่ำจึง มีขาหนึ่งเขาลาดดาดลงไป
อีกอยู่ตะพานปลายท้ายที่พัก ดูน่ารักทำเปนโค้งโก่งไถล
ปูเรือกขัดลายสี่งามวิไล พนักใช้ไม้ลำทำเกลี้ยงเกลา
เบื้องบนฝั่งไปข้างหลังเรือนที่พัก สนุกนักดูเปนเนินเหมือนเทินเขา
ต้นไม้ใหญ่ยืนสล้างอย่างบังเงา ไม่ร่วงเฉาใบชิดสนิทงาม
หลังพลับพลามาข้างนี้มีก่อไผ่ ลำไม่ใหญ่เปลาดีไม่มีหนาม
เรียกไผ่ผากฤๅไผ่บงไม่ตรงความ ขึ้นเต็มตามพื้นราบเหมือนปราบเตียน
ต้นเรียงรายปลายลำพอจดประ เปนระยะยิ่งอย่างมือช่างเขียน
มีตอบักชักเปนแยบดูแนบเนียน ทำลายเลียนพัดด้ามจิ้วบรรจบวง
เดินเข้าในได้ทางด้ามตามขอบพัด ไม้ลำตัดตีหลังตอพอประสงค์
สามลำเรียงเพียงขอบพัดจัดประจง ข้างล่างลงเฟินรายเปนชายเชิง
ปูเสื่อทางวางแถวเปนแนวแฉก มิให้แยกเดินไปได้เหลิงเจิ้ง
พอเปนที่เกษมสันต์จิตต์บรรเทิง สำราญเริงเล่นในร่มเมื่อลมตึง
มีโต๊ะตอต่อตั้งหลังเปนแผง เขาคิดแผลงเก้าอี้นั่งทำขังขึง
ไม้ไผ่เกลาเข้าคู่เตาปูตรึง อีกตัวหนึ่งนั้นเปนทีเก้าอี้ยาว
ตอไม้คู้คู่ขาดูน่าขัน เบื้องบนนั้นเหมือนระนาดพาดไม้ขาว
ตลอดตั้งหลังพนักพักพิงราว ถึงร้อนอ้าวนั่งนอนก็ผ่อนเย็น
วงหลังค่ายรายกั้นฉนวนผ้า กว้างกว่าสามสิบวาฉันคิดเห็น
แต่ตามยาวถึงราวป่าน่าจะเปน สักสามเส้นดอกกระมังยังเคลือบแคลง
เดินจนเหนื่อยเมื่อยขากว่าจะหมด เที่ยวจำจดลำพังตัวทั่วตำแหน่ง
ยามกลางวันปรอทหย่อนไม่ร้อนแรง เย็นกว่าแห่งอื่นสิ้นในถิ่นนี้
ยามกลางวันนั้นเพียงแปดสิบห้า บางวันหย่อนผ่อนลงมาแปดสิบสี่
เปนที่แสนสุขเกษมโปร่งเปรมปรีดิ์ ยามราตรีหนาวเย็นไม่เว้นวัน
แต่เพียงนี้เกือบไม่มีเวลาเที่ยว ต้องลดเลี้ยวเร่ร้ายผาดผายผัน
น้อยเวลาหายากลำบากครัน จะรำพันต่อไปไม่มีเวลา
ภาสกรอ่อนสีสี่โมงส่วน เสด็จกระบวรเรือน้อยคล้อยจากท่า
ทางสักห้าเส้นเศษสังเกตตา เลยผ่านหน้าน้ำโจนน้อยคล้อยครรไล
ไปนิดหนึ่งก็พอถึงพุประดู่ เสียงน้ำซู่สืบมาหาช้าไม่
ตามริมฝั่งคราบกรังเนื่องกันไป แต่พุใหญ่จนถึงนี้มีมากมาย
พิรุณร้างว่างเว้นไม่เห็นพุ ยังดันดุแต่ฉเพาะที่เหมาะสาย
ถ้าหน้าฝนท้นกระเด็นไม้เว้นวาย จะพร่างพรายไปทั้งฝั่งดังพุเดียว
วังประดู่ดูตรงหน้าสักวาหนึ่ง สายน้ำปรึงปราดกล้าน่าหวาดเสียว
เพราะธารใหญ่ไหลหักมาเปนเกลียว ฉะเพาะเลี้ยวมาลงร่องช่องไม่โต
ต่อขึ้นไปนั้นเปนอ่างกว้างถนัด ซ้อนถัดถัดกันขึ้นไปไกลอักโข
ปีนขึ้นตามปากอ่างอย่างสะโล แต่ดูโสโครกนักมักเปนตม
ไต่ขึ้นไปเส้นหนึ่งจึงพ้นอ่าง ถึงธารกว้างใบพฤกษามาสะสม
น้ำรินรินเรื่อยมาไม่น่าชม มีไม้ล้มทับทอดตลอดทาง
ทอดพระเนตรพุประดู่สักครู่ใหญ่ ล่องครรไลกลับหลังยังพุล่าง
น้ำโจนน้อยลอยแลชะแง้พลาง ดูคล้ายอย่างพุใหญ่ไม่ไกลกัน
บริเวณวารีที่ตกกว้าง ดูอยู่ข้างจะยาวใหญ่ไปกว่านั่น
แต่น้ำไปไม่แรงทั่วทั้งนั้น ฉะเพาะลั่นหลั่งลงอยู่ตรงกลาง
เปนห้าสายฝ่ายเหนืออยู่ข้างน้อย ตกเปนฝอยไหลหลากตามปากอ่าง
ตะพานทอดจอดตรงนี้ไม่มีทาง ต้องไต่ข้างขอบคั่นหลั่นขึ้นไป
น้ำในห้วงริมทางอยู่ข้างลึก ออกปึกปึกกลัวพลาดปราดไถล
แต่รอดตัวเต็มทีมีต้นไม้ พอเหนี่ยวไว้แทนราวก้าวลิลา
ขึ้นจากไหล่เหนือนี้ถึงที่อ่าง เปนชั้นกลางน้ำลงตรงหน้าผา
จากแอ่งนี้สี่ทางวางลงมา ตกคงคาทุ่มโถมเสียงโครมครืน
อาบวารีแล้วตรงนี้เปนที่หนึ่ง ไม่ลึกซึ้งเกินไปแลไม่ตื้น
ล้วนทรายอ่อนขาวสอาดดาดเปนพื้น เหยียบไม่ลื่นแลไม่คมเห็นสมควร
หน้าผาในที่ตรงนี้มีคูหา กว้างสักวาโดยรอบคิดสอบสวน
คล้ายถ้ำน้ำพุใหญ่ในกระบวน แต่ลดส่วนย่อมกว่าทั้งท่าที
ตรงหน้าถ้ำสายน้ำไม่เอิบอาบ เปนแต่ซาบลงมาย้อยพร้อยพร่างถี่
เปนตะไคร่ไคลคร่ำขำขะจี ไม่เปนที่หยุดยั้งนั่งสำราญ
ที่หน้ามอต่อไปข้างเหนือถ้ำ ทางสายน้ำบ่าตรงลงละหาน
เปนเกลียวใหญ่ไหลหลั่งดังสท้าน เหมือนเดือดพล่านพลั่งพลุ่งฟุ้งเปนฟอง
ที่ข้างเหนือใต้ไปอิกทีมีสายใหญ่ จำไม่ได้ไม่สู้งามสามหรือสอง
มีดั้นขึ้นไปต้นธารน้ำน่านนอง เปนห้องห้องต่างต่างบ้างยาวรี
ลำธารตรงลงแพร่แผ่กว่าเส้น ศิลาเปนคันอย่างทางวิถี
เดินเที่ยวไปได้ง่ายสบายดี ตามพื้นมีก้อนหินดินปนทราย
พุน้อยนี้นับว่าดีกว่าพุใหญ่ ที่ในเรื่องต้นไม้มีมากหลาย
ที่เบื้องบนต้นแว่แผ่บังราย ที่เชิงชายวารีมีตะไคร้
ต้นเฟินแฝงแซงงอกตามซอกผา พ้นธาราเปนกระบวรล้วนไม้ใหญ่
เดียรดาษกลาดกล่นด้วยต้นไม้ งามเหมือนเขาไกรลาสสอาดตา
เสด็จลงสรงสนานสำราญรื่น ต่างแช่มชื่นชูใจไปทั่วหน้า
สุริยงลงลับบรรพตา ข้างในมาคอยค้างอยู่กลางเรือ
ด้วยเสด็จครรไลทางในป่า ผู้ที่กำกับมาเขาไม่เชื่อ
คอยอยู่จนเกือบทุ่มหนาวครุมเครือ นั่งจนเบื่อเต็มทีไม่มีอะไร
เห็นแต่มาเรียกเทียนเวียนไปจุด อุตลุดรายทางสว่างไสว
เสียงเอะอะเวยวายแล้วหายไป อย่างเต็มใบแบบจะบอกออกเห็นจริง
นั่งครางร่นบ่นหารือกันตุบตับ เรือม่วงพายฉับฉับเฉียดตลิ่ง
มาบอกให้กลับไปใจประวิง นึกเกรงกริ่งกระไรอยู่ดูไม่ดี
เห็นตำรวจถือไฟไปตามฝั่ง นึกว่ายังทรงดำเนินอยู่ที่นี่
ต่อขึ้นไปบนพลับพลาพนาลี เห็นเสด็จสถิตที่สำราญนาน
รับสั่งว่าเสด็จมาทอดพระเนตร ตามประเทศทางน้ำลำละหาน
จากโจนผันผายในท้องธาร ศิลาดาลสีดำตำบาทคม
ทรงเสลี่ยงพระเก้าอี้มีคานหาม เสด็จตามทางไพรในไผ่ร่ม
ต้องคดเคี้ยวเลี้ยวเดินเนินพนม คราวประถมที่ต้องผ่านธารชลธี
เห็นมีมอเหมือนดังก่อขึ้นฉะเพาะ แล้วแขวะเจาะเปนปล่องช่องวิถี
น้ำเลี้ยวลั่นถั่นลงที่ตรงนี้ เสียงวารีโกรกก้องทั้งท้องธาร
ดูท่วงทีเหมือนที่ทำในสวนขวา ท่อธาราสาหรับล้นเมื่อชลฉาน
แต่สายนี้ทีจะไปใต้ดินดาล แล้วผุดพล่านขึ้นสักแห่งไม่แจ้งใจ
ผ่านวารีที่สองล้วนกองผา มีศิลาเปนตพานผ่านน้ำไหล
ช่องคูหากลมกว้างใช่อย่างไทย ทีจะไปข้างโค้งโปร่งเปนทาง
ศิลาก้อนซ้อนกันดูเกะกะ บ้างเรอะระรุงรังอยู่ข้างล่าง
ข้ามข้อศอกลำธารลอดผ่านกลาง ดำเนินขวางแหลมตัดลัดลงธาร
ที่ตรงนี้วารีอยู่ข้างลึก ไหลคึกคึกลุยละลอกกระฉอกฉาน
สนธยามืดมนท์อนธการ พวกทวยหาญจุดคบครบมือกัน
ขึ้นบกไปไม่ถึงไหนต้องลงน้ำ เดินตามลำธารน้อยค่อยผายผัน
ถึงปากปล่องช่องพุน้ำโจนพลัน สลิลลั่นจากกรอกซอกศิลา
ตัวคิรีก็มิใช่จะใหญ่กว้าง อยู่เหมือนอย่างเนินที่มีก้อนผา
ไม่ควรเห็นเปนที่เกิดธารา ชรอยมาแต่คิรีที่ข้างใน
เดินใต้ดินหินผากลบหน้าอยู่ มาส้าสู้ขึ้นที่นี้มีช่องใหญ่
พุขึ้นมามิใช่ว่าสูงเมื่อไร อยู่ใกล้ใกล้ปัฐพีมีผาบัง
ไหลแผ่แตกแยกกันเปนสองสาย บรรจบปลายไม่สู้ไกลร่วมไหลหลั่ง
มีละเมาะเกาะกลางข้างขวาพัง น้ำตกดังลึกมากเดินยากเย็น
ลำธารนี้ที่เปนต้นน้ำโจนใหญ่ ถ้าตรงไปจากพลับพลาทางห้าเส้น
แยกอิกสายย้ายทางห่างกระเด็น ไม่แลเห็นสายน้ำเพราะค่ำคืน
เขาว่าไพล่ไปบรรจบน้ำโจนน้อย ที่มีรอยธารามาทางอื่น
จึงคิดการกันบรรจบทำนบยืน แก้ไขขืนธารทวนให้หวนมา
ร่วมทางนี้ที่จะลงน้ำโจนใหญ่ ชลาไหลจึงได้หลากมากขึ้นกว่า
เมื่อคราวหลังครั้งเสด็จมาทัศนา ตามแนวป่าไม่มีผู้รู้ตำบล
พึ่งมาทราบกันขึ้นใหม่ในครั้งนี้ เพราะผู้ที่ตัดไม้ในไพรสณฑ์
ทั้งนายด้านนายงานพาลจะซน เทียวเดินด้นค้นคว้าในป่าดอน
ยังที่อื่นอีกก็มีที่เขาพบ เวลาพลบมืดค่ำจำหยุดหย่อน
เสด็จกลับทางธารที่ผ่านจร เปนทางย้อนหน่อยหนึ่งจึงตัดมา
ในไผ่หมู่ครู่หนึ่งก็ถึงค่าย ข้ามลำธารท่อนปลายข้างฝาผ้า
แล้วดำเนินเลียบรอบขอบพลับพลา มาเข้าทางข้างหน้าท้องพระโรง
พลับพลานี้มีผ้ากั้นสามด้าน ที่ข้างธารน้ำตกยกเปิดโถง
พอสิ้นแสงสุริย์ศรีอัคคีโพลง สว่างโล่งแลปลอดตลอดธาร
ต้นไม้ใช้โคมกระดาษสอาดหนอ แลข้างไหนนอรอรอไปทุกด้าน
จนลืมหลังตั้งแต่จะเบิกบาน ขอจบสารเสร็จกลอนในตอนนี้ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ