๓๘. รบพม่าทางแหลมมลายู

ฝ่ายกองทัพพม่าซึ่งพระเจ้าอังวะให้ยกลงไปตีหัวเมืองไทยฝ่ายตะวันตกตามชายทะเลนั้น ก็ยกกองทัพบกเรือลงไปพร้อมกันอยู่ ณ เมืองมะริด แต่เดือนอ้ายปีมะเส็ง[๔๗] สัปตศก แกงวุ่นแมงยี่ แม่ทัพใหญ่จึงให้ยี่วุ่นเป็นนายทัพถือพล ๓,๐๐๐ กับนายทัพนายกองทั้งปวงยกทัพเรือลงไปทางทะเลไปตีเมืองถลาง แล้วให้เนมโยคุงนรัดเป็นทัพหน้า กับนายทัพนายกองทั้งปวงถือพล ๒,๕๐๐ ยกทัพบกมาทางเมืองกระบุรี เมืองระนอง เข้าตีเมืองชุมพร ตัวแกงวุ่นแมงยี่แม่ทัพใหญ่ถือพล ๔,๕๐๐ ยกหนุนมาทั้ง ๒ ทัพ เป็นคน ๗,๐๐๐ และทัพหน้ายกเข้ามาถึงเมืองชุมพร เจ้าเมืองกรมการมีไพร่พลสำหรับเมืองน้อยนัก เห็นจะต่อรบมิได้ ก็อพยพพาครอบครัวหนีเข้าป่า ทัพพม่าก็เผาเมืองชุมพรเสีย แล้วกองหน้าก็ยกล่วงออกไปตีเมืองไชยา แม่ทัพตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองชุมพร และครั้งนั้นทัพกรุงยังหาทันออกไปถึงไม่ ด้วยราชการศึกยังติดพันกันอยู่ทางเมืองกาญจนบุรี และเจ้าเมืองกรมการเมืองไชยาได้แจ้งข่าวว่าเมืองชุมพรเสียแล้ว ก็มิได้อยู่สู้รบ อพยพยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น ทัพพม่าเข้าเผาเมืองไชยาแล้วก็ยกออกไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ขณะเมื่อทัพพม่ายกออกไปนั้น เจ้าพระยานครพัดได้แจ้งข่าวว่าเมืองชุมพร เมืองไชยาเสียแล้ว จึงแต่งกรมการกับไพร่ ๑,๐๐๐ เศษ ยกมาตั้งค่ายขัดตาทัพอยู่ ณ ท่าข้ามแม่น้ำหลวงต่อแดนเมืองไชยา ทัพพม่าจับไทยชาวเมืองไชยาได้ ให้ไทยร้องบอกลวงพวกกองทัพเมืองนครว่า “เมืองบางกอกเสียแล้วพวกเองจะมาตั้งสู้รบเห็นจะสู้ได้แล้วหรือ ให้เร่งไปบอกเจ้านายให้มาอ่อนน้อมยอมเข้าโดยดีจึงจะรอดชีวิต แม้นขัดแข็งอยู่จะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งเมืองแต่ทารกก็มิให้เหลือ” พวกกองทัพเมืองนครนำเอาเนื้อความไปแจ้งแก่เจาพระยานครๆ พิจารณาดูก็เห็นสมคำพม่า ด้วยมิได้เห็นกองทัพกรุงยกออกไปช่วย เห็นว่ากรุงจะเสียแก่พม่าแล้วหาที่พึ่งมิได้ จึงพาบุตรภรรยาญาติวงศ์สมัครพรรคพวกทั้งปวง หนีออกจากเมืองไปอยู่ ณ ป่านอกเขาข้างตะวันตก บรรดากรมการและไพร่บ้านพลเมืองทั้งปวง ก็ยกครอบครัวหนีไปอยู่ตำบลต่าง ๆ ทัพพม่ายกไปถึงเมือง เข้าเมืองนครศรีธรรมราชได้ ให้เที่ยวจับผู้คนและครอบครัวได้เป็นอันมาก และให้ไทยชาวเมืองนครนำพม่าไปเที่ยวเกลี้ยกล่อมผู้คนและครอบครัวซึ่งหนีไปอยู่ทุกตำบลนั้นที่เข้าเกลี้ยกล่อม พม่าออกหาก็ได้ตัวมาบ้าง ที่ไม่เข้าเกลี้ยกล่อมหนีเข้าป่าดงไปก็มาก และพวกไทยซึ่งได้ตัวมานั้นบรรดาชายพม่าฆ่าเสียเป็นอันมาก เอาไว้แต่หญิงกับทารกและเก็บเอาเงินทองทรัพย์สิ่งของทั้งปวงไว้ หาผู้ใดจะคิดอ่านสู้รบพม่ามิได้ กลัวอำนาจพม่าเสียสิ้นทั้งนั้น พม่าก็ตั้งอยู่ในเมืองคิดจะยกออกไปตีเมืองพัทลุง เมืองสงขลา ต่อไป

ฝ่ายยี่วุ่นแม่ทัพเรือพม่าก็ยกทัพเรือลงไปตีเมืองตะกั่วป่าตะกั่วทุ่งแตกแล้ว ยกไปถึงเกาะถลางให้พลทหารขึ้นบกเข้าตั้งค่ายล้อมเมืองถลางไว้เป็นหลายค่าย และเมื่อกองทัพพม่าไปถึงเมืองนั้น พระยาถลางถึงแก่กรรมเสียก่อนแล้ว ยังหาได้ตั้งเจ้าเมืองใหม่ไม่ และจันท์ภรรยาพระยาถลางกับน้องหญิงคนหนึ่งชื่อมุก คิดอ่านกับกรมการทั้งปวงเกณฑ์ไพร่พลตั้งค่ายใหญ่สองค่าย ป้องกันรักษาเมืองเป็นสามารถ และตัวภรรยาพระยาถลางกับน้องผู้หญิงนั้น องอาจกล้าหาญมิได้เกรงกลัวย่อท้อต่อข้าศึก เกณฑ์กรมการกับพลทหารทั้งชายหญิงออกระดมยิงปืนใหญ่น้อยนอกค่ายสู้รบกับพม่าทุกวัน ทัพพม่าจะหักเอาเมืองมิได้ แต่สู้รบกันอยู่ประมาณเดือนเศษ พม่าขัดเสบียงอาหารลง จะหักเอาเมืองมิได้ ก็เลิกทัพลงเรือกลับไป

ฝ่ายข้างเมืองพัทลุงได้แจ้งข่าวว่า เมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราช เสียแก่พม่าแล้ว เจ้าเมืองกรมการทั้งปวงปรึกษากันจะยกครอบครัวหนีเข้าป่า ขณะนั้นพระสงฆ์องค์หนึ่งชื่อมหาช่วย เป็นเจ้าอธิการอยู่ในอารามแขวงเมืองพัทลุง มีความรู้วิชาการดี ชาวเมืองนับถือมาก จึงลงตะกรุด ประเจียดมงคลแจกคนทั้งปวงเป็นอันมาก พวกกรมการนายแขวงนายบ้านทั้งหลาย ชักชวนไพร่พลเมืองมาขอเครื่องมหาช่วยแล้วคิดกันจะยกเข้ารบพม่า ผู้คนเข้าด้วยประมาณ ๑,๐๐๐ เศษ ตระเตรียมเครื่องศาสตราวุธพร้อมแล้ว ก็เชิญพระมหาช่วยอาจารย์ขึ้นคานหามมาด้วยในกองทัพ ยกมาจากเมืองพัทลุงมาพักพลตั้งค่ายอยู่กลางทาง คอยจะรบทัพพม่าซึ่งจะยกออกไปแต่เมืองนครศรีธรรมราชนั้น

ฝ่ายกองทัพหลวงสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จยาตรานาวาทัพไปทางท้องทะเลใหญ่ถึงเมืองชุมพร จึงให้ตั้งค่ายหลวงและตำหนักที่ประทับ เสด็จขึ้นไปประทับอยู่ ณ ที่นั้นแล้ว ดำรัสให้พระยากลาโหมราชเสนา พระยาจ่าแสนยากร กองหน้ายกทัพบกล่วงออกไปตั้งอยู่เมืองไชยาเป็นหลายค่าย

ฝ่ายกองทัพพม่าได้แจ้งข่าวว่าทัพกรุงเทพฯ ยกออกมาและแกงวุ่นแมงยี่แม่ทัพจึงให้เนมโยคุงนะรัก นายทัพนายกอง ๆ หน้ายกกองทัพเข้ามาต่อรบทัพกรุงเทพมหานคร แล้วแม่ทัพก็ยกทัพใหญ่หนุนมา และกองหน้าพม่ามาปะทะทัพไทย ณ เมืองไชยา ยังมิทันจะตั้งค่าย ทัพไทยก็เข้าล้อมไว้รอบ ขุดสนามเพลาะรบกันกลางแปลงตั้งแต่เช้าจนค่ำ พอฝนห่าใหญ่ตกยิงปืนไม่ออกทัพพม่าก็แหกหนีไปได้ แต่ตองพยุงโบนายทัพคนหนึ่งต้องปืนตายในที่รบ พลทหารไทยไล่ติดตามพม่าไปในเวลากลางคืนฆ่าฟันพม่าเสียเป็นอันมาก พม่ามิได้รั้งรอต่อรบแตกกระจัดพลัดพรายกันไปสิ้น ที่จับเป็นได้ก็มาก และแม่ทัพซึ่งยกหนุนมารู้ว่าทัพหน้าแตกแล้ว ก็มิได้ยกมาสู้รบเร่งรีบบากทางหนีไปข้างตะวันตก กองทัพไทยได้ชัยชำนะแล้วก็บอกมากราบทูลยังค่ายหลวง ณ เมืองชุมพร แล้วส่งพม่าเชลยทั้งปวงมาถวาย ฝ่ายเจ้าเมืองกรมการหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงซึ่งหนีพม่าไปนั้นก็กลับมาเฝ้าทั้งสิ้น จึงมีพระราชบัณฑูรตรัสสั่งให้รวบรวมราษฎรหัวเมืองและครอบครัวเดิม ซึ่งแตกฉานซ่านเซ็นหนีพม่าไปให้กลับมาอยู่บ้านเมืองตามภูมิลำเนาเดิมดุจก่อน และให้เจ้าเมืองกรมการทั้งปวงอยู่รักษาบ้านเมืองตามตำแหน่งทุกๆ เมือง แล้วดำรัสให้เอาพม่าเชลยจำลงเรือรบไปด้วย จึงเสด็จยาตรานาวาทัพหลวงจากเมืองชุมพรไปประทับเมืองไชยา ให้ทัพหน้าเดินพลไป ณ เมืองนครศรีธรรมราชโดยทางบก แล้วเสด็จยกทัพหลวงไปโดยทางชลมารค ถึงเมืองนครศรีธรรมราช เสด็จขึ้นประทับอยู่ในเมือง ให้ชาวเมืองพาข้าหลวงไปสืบเสาะตามหาเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ได้ตัวมาจะให้ลงพระราชอาชญา แล้วทรงพระราชดำริเห็นว่าศึกเหลือกำลังจะสู้รบ จึงภาคทัณฑ์ไว้ รับสั่งให้อยู่รวบรวมราษฎรรักษาบ้านเมืองดังเก่า แล้วเสด็จพระราชดำเนินทัพหลวงทั้งทางชลมารคสถลมารคไปประทับ ณ เมืองสงขลา

ฝ่ายพระยาแก้วเการพพี่ชายพระยาพัทลุง หลวงสุวรรณคีรีเจ้าเมืองสงขลา และกรมการทั้ง ๒ เมือง มาเฝ้าพร้อมกัน จึงดำรัสถามว่าผู้ใดคิดสู้รบพม่าบ้าง พระยาพัทลุงกราบทูลว่ากองทัพเมืองพัทลุงได้ยกไปรบทัพพม่า เพราะได้พระมหาช่วยเป็นอาจารย์คุ้มครองไปในกองทัพยังหาทันได้สู้รบกันไม่ ด้วยพม่ามิได้ยกออกไปตีเมืองพัทลุง ยกถอยกลับไปเมืองนครศรีธรรมราชเสีย จึงดำรัสยกความชอบมหาช่วยว่าเป็นใจด้วยราชการมีความชอบมาก และพระมหาช่วยสมัครปริวัตรออกจากสมณะเพศ จึงทรงพระกรณาโปรดตั้ง ให้เป็นพระยาทุกขราษฎร์ช่วยราชการเมืองพัทลุง พระราชทานบำเหน็จรางวัลโดยควรแก่ความชอบ



[๔๗] พ.ศ. ๒๓๒๘

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ