๔๓

ในครั้งนั้นมีชายผู้หนึ่งชื่อไต้ซุ่น ๆ นั้นเป็นวงศ์ญาติของพระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้ต่อ ๆ มาได้ถึงแปดชั่วกษัตริย์ พระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้นั้นพระองค์มีพระราชบุตรชื่อเซี่ยงอี่ ๆ มีบุตรชื่อจวนยก ๆ มีบุตรชื่อย้องเซี่ยน ๆ มีบุตรชื่อเถงคัง ๆ มีบุตรชื่อเซี่ยงงิ้ว ๆ มีบุตรชื่อกู๋โซว ๆ มีบุตรชื่อไต้ซุ่น มารดาของไต้ซุ่นซึ่งเป็นภรรยากู๋โซวนั้นชื่อว่าอ๊อกเตง เมื่อนางอ๊อกเตงจะตั้งครรภ์ไต้ซุ่นนั้น นางแลเห็นสายรุ้งสีต่าง ๆ ลอยมาแต่บนอากาศตรงมาพันตัวนาง ๆ จึงตั้งครรภ์บุตร ครั้นครรภ์ถ้วนกำหนดจะคลอดแล้ว กู๋โซวผู้สามีพานางอ๊อกเตงไปเที่ยวเล่นตำบลเอี้ยวหือ นางอ๊อกเตงคลอดบุตรชายแล้วให้ชื่อว่าไต้ซุ่น ๆ นี้เดิมบิดาแซ่หงุย ครั้นไต้ซุ่นคลอดที่ตำบลเอี้ยวหือ จึงไม่ได้ให้แซ่หงุยให้แซ่ใหม่ว่าแซ่เอี้ยวตามตำบลที่คลอด เมื่อไต้ซุ่นยังเป็นเด็กอยู่ นางอ๊อกเตงมารดาก็ถึงแก่กรรม กู๋โซวบิดาไต้ซุ่นนั้นก็มีภรรยาใหม่ชื่อนางยิมหนึง ๆ นั้นเกิดบุตรด้วยกู๋โซวคนหนึ่งให้ชื่อว่าเสียง แต่เสียงเป็นคนเขลาเกียจคร้านไม่สู้จะจัดงานสิ่งใด ใจนั้นเป็นคนโลเล แต่บิดามารดาเสียงนั้นรักเสียงซึ่งเป็นบุตรเล็กนั้นมากกว่าไต้ซุ่น ๆ เป็นคนดีมีปัญญามิได้เกียจคร้าน แล้วก็มีกตัญญูต่อบิดามารดา รักมารดาเลี้ยงเหมือนหนึ่งมารดาของตัว ถึงมารดาตัวและมารดาเลี้ยงจะตีและด่าว่าประการใดก็มิได้โกรธและมิได้ทุ่มเถียง ด้วยเป็นคนกตัญญูต่อบิดามารดา เป็นคนสุภาพเรียบร้อยว่าง่ายสอนง่ายรู้จักยำเกรง ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ใหญ่สูงอายุชาวบ้านทั้งหลายรักใคร่ไต้ซุ่นมาก แต่มารดาเลี้ยงไต้ซุ่นนั้นคิดอยากจะแกล้งให้ไต้ซุ่นเป็นอันตรายไปต่าง ๆ คอยแสวงหาช่องก็ไม่ค่อยจะได้สมดังปรารถนา ครั้นอยู่มาวันหนึ่งไต้ซุ่นพาเสียงผู้น้องออกไปนา เสียงนั้นพลาดตกคันนาล้มลง ไต้ซุ่นจึงพยุงอุ้มน้องให้ลุกขึ้นแล้วก็พากันกลับมาบ้าน

ฝ่ายมารดาเลี้ยงของไต้ซุ่นแลเห็นเสียงบุตรของตนเสื้อกางเกงเปียกเปื้อนโคลนและตม ตัวเสียงก็มอมแมมทั่วไปทั้งตัว จึงถามว่าเป็นประการใดผ้าผ่อนจึงได้เปียกเปื้อนโคลนตมมาดังนี้ เสียงก็บอกมารดาว่า ข้าพเจ้าเดินไปพลาดตกคันนาล้มลง จึงได้มีผ้าเปียกเปื้อนมาดังนี้

ฝ่ายนางยิมหนึงมารดาเลี้ยงของไต้ซุ่นเป็นคนพาล คิดแต่จะประทุษร้ายไต้ซุ่นให้เป็นอันตราย เมื่อได้ฟังเสียงผู้บุตรบอกดังนั้นแล้วก็ได้ที จึงไปคอยท่ากู๋โซวผู้สามีอยู่ ครั้นกู๋โซวกลับมาจากนอกบ้านก็นำเอาความเท็จยุแก่กู๋โซวว่า วันนี้ไต้ซุ่นกับเสียงพากันออกไปนา ไต้ซุ่นแกล้งผลักเสียงให้ตกน้ำเจียนตาย ไต้ซุ่นทำดังนี้ก็เพราะหมายที่จะแย่งชิงเอาสมบัติของเราแต่ผู้เดียว จึงคิดแกล้งจะฆ่าเสียงผู้เป็นน้องให้ตายเสีย กู๋โซวบิดาได้ฟังดังนั้นก็โกรธ แล้วจึงเรียกไต้ซุ่นมาถามว่าเหตุใดจึงได้ผลักเสียงผู้น้องให้ตกน้ำเกือบตาย เอ็งทำทั้งนี้หาดีไม่ เอ็งคิดจะเอาสมบัติแต่ผู้เดียวหรือ เอ็งอย่าพึงนึกเลย ไต้ซุ่นได้ฟังบิดาว่าดังนั้นจึงบอกแก่บิดาว่า เสียงผู้น้องพลาดตกคันนาล้มลงเอง ข้าพเจ้าหาได้ผลักไม่ ข้าพเจ้ายังได้พยุงอุ้มให้เสียงลุกขึ้นอีกแล้วจึงได้พากลับมาบ้าน ถ้าบิดาไม่เชื่อจงถามดูเถิด ข้าพเจ้ามิได้มีความผิด กู๋โซวบิดาก็มิได้เชื่อฟังคำไต้ซุ่น แล้วก็มิได้ถามเสียงผู้น้อง ฉวยได้ไม้ก็ไล่ตีไต้ซุ่นแล้วด่าว่าด้วยคำหยาบช้าต่าง ๆ ไต้ซุ่นก็สู้อดทนมิได้มีความโกรธ และมิได้ว่ากล่าวถุ้งเถียงประการใดต่อไป และกู๋โซวบิดาไต้ซุ่นคนนี้เป็นคนไม่รู้จักผิดและชอบ หลงแต่ภรรยา ๆ จะพูดจาว่ากล่าวประการใดก็เชื่อถ้อยฟังคำ มิได้พิจารณาให้เห็นเท็จและจริงก่อน แล้วก็รักแต่เสียงผู้บุตรเล็ก ปรารถนาจะฆ่าไต้ซุ่นบุตรใหญ่ให้ตายเสีย อยู่มาวันหนึ่งกู๋โซวกับนางยิมหนึงมารดาเลี้ยงไต้ซุ่นจึงปรึกษากันผัวเมียว่า ถ้าเรานิ่งทิ้งไว้ให้ไต้ซุ่นมีชีวิตอยู่ดังนี้ก็จะมีความรำคาญมากไป ประการหนึ่งถ้าเราทั้งสองหาบุญไม่แล้ว ไต้ซุ่นเป็นลูกคนใหญ่ก็จะรวบรวมเอาสมบัติแต่ผู้เดียว ที่ไหนเสียงผู้น้องจะได้สมบัติเล่า เราจะต้องคิดอุบายฆ่าไต้ซุ่นให้ตายเสียจึงจะได้ แล้วนางยิมหนึงภรรยาจึงบอกแก่กู๋โซวว่า ข้าพเจ้าคิดว่าจะช่วยกันถมไต้ซุ่นเสียที่บ่อน้ำให้ตายเสีย กู๋โซวสามีก็เห็นชอบด้วยและการเมื่อกู๋โซวกับภรรยาปรึกษากันว่าจะฆ่าไต้ซุ่นที่บ่อนั้น ไต้ซุ่นจะได้รู้ความนั้นหามิได้ แต่ภูมิเทวดาซึ่งเป็นเจ้าที่ผู้รักษาบ่อนั้นรู้เหตุ คิดสงสารไต้ซุ่นว่าเป็นคนมีกตัญญูต่อบิดามารดา ถ้าเราจะไม่ช่วยไต้ซุ่นครั้งนี้ไต้ซุ่นก็คงจะตายเป็นแท้ คิดแล้วภูมิเทวดาจึงบันดาลใช้ให้เสือปลาไปขุดดินที่ล้นบ่อนั้นให้เป็นหนทางไปจนถึงชายเขาประมาณลี้เศษ เพราะมีความเมตตาจะช่วยไต้ซุ่นให้พ้นจากความตาย

ฝ่ายนางยิมหนึงมารดาเลี้ยงไต้ซุ่นนั้น ครั้นรุ่งเวลาเช้านางทำเป็นมีธุระเดินไปที่ปากบ่อใกล้บ้าน ครั้นลับคนแล้วก็ถอดเอาปิ่นที่ปักมวยผมทิ้งลงไปในบ่อ แล้วร้องเรียกไต้ซุ่นว่าเจ้าจงมาเร็ว ๆ เข้าเถิด ปิ่นของมารดาพลัดตกลงในบ่อ ๆ นั้นน้ำแห้งไม่มีสิ่งอันใด เจ้าจงลงไปไว ๆ เร็ว ๆ ช่วยไปเก็บมาให้มารดาหน่อยเถิด ไต้ซุ่นได้ฟังนางยิมหนึงมารดาเลี้ยงใช้ดังนั้น มีความกลัวเกรงเหมือนดุจมารดาของตน จะได้พูดจาบิดพลิ้วว่าจะไม่ลงไปนั้นหามิได้ แต่พอได้ยินเสียงว่าให้ลงไปเก็บปิ่นในบ่อ ไต้ซุ่นก็รีบลงไปโดยเร็ว ขณะเมื่อไต้ซุ่นลงไปในบ่อนั้นจะได้รู้ในกลอุบายว่าเขาคิดจะฆ่าหามิได้

ครั้นไต้ซุ่นลงไปถึงก้นบ่อแล้ว ฝ่ายบิดาและมารดาเลี้ยงกับเสียงน้องชายก็ช่วยกันเอาก้อนดินเอาก้อนอิฐก้อนศิลาทิ้งถมลงไปในบ่อเป็นอันมาก แล้วก็พากันกลับมาบ้าน และซึ่งไต้ซุ่นจะได้ทราบว่าคนทั้งสามทำการประทุษร้ายแก่ตัวนั้นหามิได้ โดยซื่อก็ไม่ทราบว่าจะเป็นเหตุอันใดก็ตกใจ ด้วยบ่อเต็มมืดมิดชิดไปจะขึ้นโดยเร็วก็ขึ้นไม่ได้ จะไปข้างไหนก็ไม่เห็นหนทางละลนละลาน ตกใจกลัวจนตัวสั่นเสียใจ เห็นแต่เสือปลาตัวหนึ่งเดินหนีหน้าไปข้างโน้น ไต้ซุ่นนั้นก็เดินตามเสือปลาไปไม่มีสติเหมือนหนึ่งนอนหลับฝัน เดินไปได้ทางประมาณลี้เศษถึงชายเขา จึงได้สติกลับขึ้นมาได้นึกแล้วก็เดินกลับมาบ้าน

ฝ่ายกู๋โซวกับมารดาเลี้ยงและเสียงผู้น้อง ครั้นกลับมาบ้านแล้วพูดกันว่า ทีนี้ไต้ซุ่นคงตายเป็นแท้แล้ว เมื่อพูดกันยังมิทันจะขาดคำ ไต้ซุ่นก็มาถึงแล้วคุกเข่าลงคำนับมีสีหน้าชื่นอยู่ กู๋โซวบิดาแลเห็นไต้ซุ่นเข้ามาคำนับก็ตกใจ จึงถามว่าเจ้าเป็นคนหรือปีศาจ ไต้ซุ่นจึงบอกว่าข้าพเจ้าเป็นคนมิใช่ปีศาจ บิดามารดาอย่าได้ตกใจกลัวข้าพเจ้าเลย กู๋โซวบิดาได้ฟังไต้ซุ่นบอกดังนั้นจึงกลับพูดว่า บิดารู้แล้วว่าเจ้ามีวิชาคุ้มตัวได้ ถึงจะทำอย่างไรก็คงจะไม่ตาย แต่มารดาเจ้ากับน้องของเจ้าเขาไม่เชื่ออยากจะให้ลองดู บิดามิได้บอกให้เจ้ารู้แกล้งทำลองให้เขาเห็นว่าเจ้าดีมีวิชา เจ้าก็ไม่ตายจริง ๆ เหมือนคำบิดาว่าเขาจึงได้เชื่อนี้ เจ้าหิวอาหารมาได้สองเวลาแล้ว หิวก็ไปหาข้าวปลากินเสียให้สบายเถิด ไต้ซุ่นก็มิได้พูดจาประการใด แล้วก็คำนับลาไปหาอาหารรับประทาน ครั้นไต้ซุ่นรับประทานอาหารอิ่มหนำสำเร็จแล้ว กู๋โซวจึงว่าแก่ไต้ซุ่นว่า ข้าวเปลือกในฉางของเรานั้นมอดกินจนเป็นรังเป็นข้าวลีบจะเสียหมดแล้ว พรุ่งนี้เจ้าจงไปดูจัดแจงขึ้นเอามาผึ่งแดดเสียให้หมดตัวมอด แล้วให้ขนกลับไปที่ฉางจะได้เก็บเอาไว้กินนาน ๆ ต่อไป ไต้ซุ่นก็รับคำบิดาสั่ง จะได้รู้ในกลอุบายบิดาหามิได้ แล้วก็หลีกไปจากที่นั้น

ฝ่ายกู๋โซวกับภรรยาและเสียงลูกชาย สามคนจึงปรึกษากันว่า เวลาพรุ่งนี้ถ้าไต้ซุ่นขึ้นไปอยู่บนฉางข้าวแล้ว เราช่วยกันขนเอาฟืนไปกองไว้ที่ริมฉางให้มากทั้งสี่ด้านแล้วเราเอาไฟจุดเผาขึ้นให้พร้อมกัน ทีนี้แลไต้ซุ่นคงจะตายเป็นแน่ มิใช่ไต้ซุ่นมีปีกมีหางเหมือนอย่างนกเมื่อไรจะได้บินหนีกองไฟไปได้ ถึงข้าวเปลือกในฉางของเราจะไหม้เสียสักฉางหนึ่งก็ตามทีเถิด แต่ขอให้มันตายก็แล้วกัน ครั้นสามคนปรึกษากันแล้ว รุ่งขึ้นเช้าไต้ซุ่นรับประทานอาหารแล้วก็ขึ้นไปจัดแจงบนฉางข้าว หมายว่าจะขนข้าวออกตากตามคำบิดาสั่ง ครั้นไต้ซุ่นขึ้นไปอยู่บนฉางข้าวแล้ว ฝ่ายกู๋โซวกับภรรยาและลูกชายก็พากันเอาฟืนและไฟไปเผาให้ไหม้ขึ้นที่ริมฉางเหมือนอย่างที่ปรึกษากันไว้นั้น ครั้นไฟติดขึ้นทั้งสี่ด้านแล้วก็พากันกลับมาบ้าน

ฝ่ายไต้ซุ่นอยู่บนฉางแลเห็นไฟไหม้ขึ้นที่ริมฉางทั้งสี่ด้านก็ตกใจ ครั้นจะกระโดดหนีไปข้างไหนก็ไม่ได้ไฟลุกลามมาก แลเห็นแต่ไฟไหม้อยู่ทั้งสี่ทิศ ความกลัวจนตัวสั่นสิ้นปัญญา ขณะนั้นเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นหมวกก้วยเล้ยขาดสองหมวกอยู่ที่นั่น หมวกก้วยเล้ยนั้นคือหมวกทำด้วยใบหญ้า เป็นหมวกชาวนา ไต้ซุ่นก็ถือหมวกนั้นข้างละหมวกแล้วกระโดดลงมาจากฉางข้าวปรารถนาจะหนีให้พ้นภัย

ขณะนั้นพอดีบังเกิดมีลมพายุใหญ่พัดหอบไต้ซุ่นไปพ้นจากกองไฟจึงได้รอดจากความตาย ฝ่ายกู๋โซวกับภรรยาและเสียง ครั้นกลับมาถึงบ้านแล้วก็พูดจากันว่า ครั้งนี้เราเอาไฟเข้าเผาทั้งสี่ด้าน ไต้ซุ่นคงจะตายเป็นแน่ ที่ไหนจะรอดกลับมาบ้านได้ พูดจากันแล้วก็มีความดีใจชวนกันเสพย์สุราเป็นที่สบาย พอประมาณยามเศษไต้ซุ่นก็มาถึงบ้านเห็นประตูปิด ร้องเรียกให้เปิดประตูรับ กู๋โซวได้ยินเสียงไต้ซุ่นมาร้องเรียกก็นึกว่าครั้งนี้เห็นจะยังไม่ตายอีก เสียงนั้นว่าถ้ากระนั้นก็ผิดไปทำไมจึงจะไม่ตาย ถ้าไม่ตายแล้วจะหนีไฟออกมาทางไหนได้ ข้าพเจ้าจะออกไปเปิดประตูดูเอง ว่าแล้วก็เดินออกไปเปิดประตูก็แลเห็นไต้ซุ่น ๆ ก็เข้ามาคำนับบิดามารดา แต่แลเห็นบิดามารดาและเสียงผู้น้องทำทีไม่สนิทดูเป็นทีกลัวไต้ซุ่น ๆ ก็มิได้พูดจาว่ากล่าวประการใด กู๋โซวผู้บิดาจึงถามไต้ซุ่นว่า ข้าใช้ให้เจ้าไปกระทำการขนข้าวที่ฉางขึ้นผึ่งแดดนั้นเจ้าไปทำหรือเปล่า ไต้ซุ่นก็บอกว่าบิดาสั่งแล้วข้าพเจ้าก็ขึ้นไปทำ กำลังเมื่อข้าพเจ้าจัดแจงจะขนข้าวขึ้นมานั้น ก็เผอิญมีไฟเกิดไหม้ที่ริมฉางขึ้นทั้งสี่ด้านจนข้าพเจ้าเกือบจะตาย หากว่าบุญของบิดามารดาทั้งสองคุ้มครองข้าพเจ้า ๆ จึงฉวยได้หมวกสองหมวกแล้วกระโดดลงมาได้พ้นจากความตาย กู๋โซวบิดาก็พาลโกรธแล้วด่าไต้ซุ่นว่า ดีแต่จะกินเท่านั้น ใช้ให้ไปทำการเล็กน้อยก็ไม่ได้ จนข้าวเปลือกไฟไหม้เสียหมด แล้วกลับมาพูดปดเราต่าง ๆ อีกเล่า ไต้ซุ่นก็นิ่งอยู่มิได้พูดจาว่ากล่าวประการใด แล้วก็คำนับลาไปยังที่อยู่ของตน กู๋โซวเห็นไต้ซุ่นไปแล้วจึงว่าแก่ภรรยาและเสียงผู้บุตรว่า เราแกล้งจะทำให้ตายเป็นสองครั้งแล้ว ไต้ซุ่นก็หาตายไม่ เราจะทำเป็นประการใดจึงจะตาย นางยิมหนึงจึงว่าถึงครั้งนี้ไม่ตายก็แล้วไป ข้าพเจ้าคงจะคิดหาอุบายให้ไต้ซุ่นตายให้จงได้ ถ้าละไว้อยู่นานไปมันแก่กล้ามีกำลังแข็งแรง มันก็จะแย่งชิงเอาสมบัติของเราแต่ผู้เดียว ที่ไหนเสียงผู้บุตรเล็กจะได้สมบัติบ้างเล่า เราจะต้องคิดฆ่าไต้ซุ่นเสียให้จงได้ ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นเทศกาลทำนา กู๋โซวจึงเรียกไต้ซุ่นมาแล้วพูดว่า ฤดูนี้เป็นฤดูทำนา ๆ ของเราก็มีอยู่มากถึงห้าสิบไร่ เจ้าจงออกไปทำนาแต่ผู้เดียวให้แล้วห้าสิบไร่ ถ้าไม่ทำให้แล้วก็อย่าได้กลับเข้ามาบ้าน ถ้าขืนกลับมาแล้วก็จะไล่เสียมิให้อยู่ ไต้ซุ่นได้ฟังบิดาว่าดังนั้นก็คำนับลาบิดาหาเสบียงไปทำนาตามบิดาสั่ง

ฝ่ายพวกเพื่อนชาวบ้านมีความเวทนา ก็พากันมาช่วยไต้ซุ่นทำนา และพวกแปะแซ่อยู่ที่เขาเล็กซัวนั้น ก็มาช่วยไต้ซุ่นไถนาทุกวัน และยังมีชายผู้หนึ่งเป็นนายบ้านคุมคนอยู่ประมาณแปดพันเศษ ตั้งบ้านเรือนอยู่ในป่าหาได้ขึ้นต่อเมืองใดไม่ ทราบความว่าบิดาไต้ซุ่นใช้ให้ไต้ซุ่นไปทำนาแต่ผู้เดียว ก็ใช้ให้ชายแก่ซึ่งเป็นคนใช้ของกู๋โซวอยู่ก่อนหนีไปอยู่ด้วยนั้นให้ไปสืบดู

ฝ่ายชายแก่นั้นก็คำนับลานายบ้านไปถึงที่ไต้ซุ่นทำนา พบไต้ซุ่นเข้าแล้วก็ร้องไห้ ไต้ซุ่นจึงถามว่าท่านจะไปแห่งใด ชายแก่จึงบอกว่าข้าพเจ้าเห็นบิดามารดาของท่านทำโทษท่านครั้งไรก็มีความเวทนา แล้วเห็นว่าบิดาและมารดาของท่านนั้นจะทำโทษท่านอีก ครั้นจะช่วยท่านก็ช่วยไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงหนีไปอยู่ด้วยนายบ้านที่ริมเขาเล็กซัว ได้ยินข่าวว่าบิดาท่านเกณฑ์ให้ท่านผู้เดียวทำนาให้ได้ห้าสิบไร่จึงได้มาเยี่ยมท่าน ๆ อย่าได้มีความโกรธข้าพเจ้าเลย ไต้ซุ่นฟังดังนั้นจึงเล่าความที่บิดากล่าวและเกณฑ์ให้ทำนานั้นให้ชายแก่ฟังทุกประการ แล้วชายแก่กลับไปแจ้งความแก่นายบ้าน ๆ กับชายแก่นั้นพาพวกบริวารของตนประมาณสองร้อยคนไปช่วยไต้ซุ่นทำนา

ขณะนั้นไต้ซุ่นมีอายุได้ยี่สิบปี ถ้าไต้ซุ่นออกไถนาเมื่อใด นกฝูงหนึ่งหลายร้อยตัวพากันมาบินวนเวียนบังแสงพระอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะไต้ซุ่นสูงประมาณสามวาเศษ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ