๔๑

ขณะนั้นศักราชพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้หกสิบสองปีเดือนแปดขึ้นสิบห้าค่ำเวลากลางคืน ครั้นรุ่งขึ้นเช้าพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ พวกขุนนางก็นำความที่เพ่งหงีกับภรรยาพากันลอยขึ้นไปบนอากาศนั้นขึ้นกราบทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ๆ ได้ทรงฟังดังนั้นก็คิดเสียดายเพ่งหงีว่าได้กระทำความชอบไว้ในแผ่นดินถึงสามครั้ง แล้วตรัสว่านิสัยเจ็บไข้นั้นจะให้หมอรักษาก็ต้องดูคนที่ไว้ใจกันได้จึงให้รักษา เพ่งหงีเป็นคนใจเบา ให้ภรรยากินยาของคนไม่รู้จักคุ้นเคยกันนั้นไม่ควร ถ้ายานั้นเป็นยาพิษจะมิตายเสียหรือ และยาอายุวัฒนะนั้นเราได้ยินแต่เขาพูดจากันอยู่เนือง ๆ แต่ยานั้นเราก็ไม่ได้พบไม่ได้เห็น ครั้นอยู่มา ณ ปีมะแมเดือนเก้า ที่เมืองฮัวซูเมืองกิซุยกับเมืองขึ้นหลายเมืองนั้น บังเกิดน้ำมากท่วมต้นข้าวในนา ครั้นสิ้นเทศกาลน้ำนั้นก็ไม่ลด พวกราษฎรพากันขึ้นไปตั้งโรงตั้งเรือนอยู่ตามเขา จูเฮ้าผู้รักษาเมืองจึงบอกหนังสือข้อราชการซึ่งน้ำท่วมนั้น ให้คนใช้ถือเข้าไปให้ขุนนางเจ้าพนักงานทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ๆ ทรงทราบแล้ว ตรัสว่าน้ำท่วมดังนี้ด้วยปีนี้ฝนตกมาก ผู้ใดมีสติปัญญาจะรับอาสาไปกระทำให้น้ำนั้นลดแห้งไปได้บ้าง

ขณะนั้นซีงักขุนนางผู้หนึ่งจึงทูลว่าข้าพเจ้าเห็นอยู่แต่ชองเปกโหเป็นคนมีสติปัญญา ถ้าพระองค์ใช้ให้ชองเปกโหไปแล้ว ชองเปกโหคงจะกระทำการอันนี้ให้สำเร็จได้ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า ชองเปกโหคนนี้มีสติปัญญาก็จริงแต่เป็นคนโลภ ครั้นเราใช้ให้ไปแล้วก็จะเบียดเบียนราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน ซีงักจึงทูลว่าชองเปกโหนี้พระองค์ไม่ได้ใช้มานานแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าชองเปกโหจะมีความละอายกลับใจที่ชั่วนั้นเสียได้บ้าง ถ้าโปรดให้ชองเปกโหออกไปแล้ว ขอให้เรียกทานบนชองเปกโหไว้ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้ไปหาตัวชองเปกโหเข้ามาเฝ้าแล้วตรัสแก่ชองเปกโหว่า บัดนี้จูเฮ้าผู้รักษาเมืองฮัวซูเมืองกิซุยและเมืองขึ้นอยู่ในแขวงเมืองฮัวซูแขวงเมืองกิซุย บอกหนังสือเข้ามาว่าน้ำท่วมไร่นาของราษฎร ถ้าท่านไปกำจัดทำให้น้ำนั้นแห้งได้แล้ว เราจะปูนบำเหน็จรางวัลให้ ถ้าไปแล้วอย่าได้เบียดเบียนราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนเป็นอันขาด ชองเปกโหจึงทูลว่า พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าจะรับอาสาออกไปกระทำฉลองพระเดชพระคุณให้สำเร็จโดยสุจริต แล้วข้าพเจ้าจะทำทานบนถวายไว้ว่า ถ้าออกไปเบียดเบียนจูเฮ้าและราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนแล้วก็ให้ประหารชีวิตข้าพเจ้าเสีย พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสถามชองเปกโหว่า ท่านจะคิดทำประการใดจึงจะให้น้ำลดแห้งไปได้ ชองเปกโหจึงว่าซึ่งจะกราบทูลล่วงหน้าไปก่อนนั้นยังไม่ได้ ด้วยข้าพเจ้ายังไม่ได้เห็นการ ถ้าข้าพเจ้าได้เห็นการแล้วจึงจะได้คิดทำไปตามการให้สำเร็จโดยปัญญาข้าพเจ้า พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงพระโสมนัส จึงพระราชทานสุราให้ชองเปกโหสามถ้วย แล้วประทานดอกไม้ทองคำปักหมวกสองกิ่ง ชองเปกโหจึงทำทานบนถวายไว้ฉบับหนึ่ง แล้วถวายคำนับลาไปจัดทหารห้าพันออกจากพระราชวังไปถึงบ้าน จึงแจ้งความแก่ภรรยาแล้วพาทหารไปเมืองฮัวซูเมืองกิซุย เมื่อชองเปกโหจะยกไปเมืองฮัวซูเมืองกิซุยนั้น พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เสด็จไปส่งจนออกประตูเมืองหลวง

ฝ่ายจูเฮ้าเจ้าเมืองฮัวซูและเมืองกิซุย แจ้งความว่าพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้โปรดให้ชองเปกโหเป็นข้าหลวงออกไปปิดน้ำ ครั้นชองเปกโหมาใกล้จะถึงเมืองก็ออกมาต้อนรับเชิญให้เข้าไปพักอยู่ที่กงก๊วน คือที่สำหรับพักรับแขก แล้วให้จัดโต๊ะเลี้ยงชองเปกโห ๆ คนนี้เป็นบิดาอู๋ ๆ นั้นจะได้เป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติแทนพระเจ้าซุ่นเต้ฮ่องเต้ต่อไป

ฝ่ายชองเปกโหเข้าไปพักอยู่ที่กงก๊วนแล้ว ถามจูเฮ้าเจ้าเมืองฮัวซูและจูเฮ้าเจ้าเมืองกิซุยว่า ท่านทั้งสองนี้ได้เป็นจูเฮ้ามาแต่ครั้งแผ่นดินไหน จูเฮ้าเจ้าเมืองฮัวซูจึงบอกว่า บิดาข้าพเจ้าเป็นเชื้อวงศ์อิมคังสี ๆ ได้เป็นขุนนางแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าไท้เฮาฮ่องเต้ ตัวข้าพเจ้าชื่อเจียงเจงได้ทำราชการสืบกันมา ชองเปกโหจึงถามว่าในแผ่นดินพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้นี้ท่านได้ทำความชอบสิ่งใดไว้บ้าง จูเฮ้าเจ้าเมืองฮัวซูจึงบอกว่า เมื่อครั้งยกจี่อ๋องออกจากราชสมบัติ แล้วเชิญพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮองเต้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าได้เป็นจูเฮ้าเจ้าเมืองเข้าไปช่วยในการอันนั้นด้วย แล้วพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้เพิ่มยศบรรดาศักดิ์ให้ข้าพเจ้าเป็มที่แชบุนโห

ฝ่ายจูเฮ้าเจ้าเมืองกิซุยนั้นบอกชองเปกโหว่า ข้าพเจ้านี้แซ่ยงซีชื่อจงเหียบ ปู่และบิดาข้าพเจ้าได้เป็นขุนนางในแผ่นดินพระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้ ข้าพเจ้านี้ก็ได้เข้าไปช่วยในการยกพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้เพิ่มยศศักดิ์ให้ข้าพเจ้าเป็นเตงซูโห ชองเปกโหได้ฟังดังนั้นจึงว่าท่านทั้งสองมีความชอบอยู่ในแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินก็ได้ให้ยศถาบรรดาศักดิ์ตามสมควร บัดนี้น้ำท่วมบ้านเมืองท่าน ๆ บอกหนังสือเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ๆ ใช้ให้เราออกมาได้ความลำบากดังนี้หาควรไม่ ควรแต่ท่านจะแก้ไขให้ราษฎรได้ความสุขจึงจะชอบ ท่านมานิ่งเฉยเสียดังนี้เหมือนหนึ่งบ้านเมืองไม่มีเจ้าของ จูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสองได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่าน้ำท่วมบ้านท่วมเมืองราษฎรได้ความลำบากนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการใหญ่ควรจะต้องบอก จึงได้ทำหนังสือบอกเข้าไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทราบ ถ้าทรงทราบแล้วสุดแต่จะโปรดมาประการใด พระเจ้าแผ่นดินเห็นว่าท่านมีสติปัญญาจึงรับสั่งใช้ให้ออกมาดับทุกข์ของราษฎร ข้าพเจ้ากับราษฎรพากันมีความยินดีเป็นอันมาก ชองเปกโหจึงว่าเวลาพรุ่งนี้เราจะลงมือทำการปิดน้ำ ท่านทั้งสองจงเกณฑ์ไพร่มาให้เราเมืองละห้าพันคน แล้วให้ถือจอบเสียมมาด้วยจะได้ช่วยทำการ ครั้นพูดจากันแล้วจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสองก็ลาชองเปกโหกลับไปเมือง แล้วจูเฮ้าเจ้าเมืองฮัวซูไปปรึกษาด้วยเจ้าเมืองกิซุยพูดว่า พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้นั้นพระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้วว่าชองเปกโหคนนี้เป็นคนโลภมักได้ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม เหตุใดจึงได้ให้ออกมากระทำการใหญ่ถึงเช่นนี้ นิสัยผู้ที่จะทำการดับทุกข์ของราษฎรนั้น ต้องหาผู้ที่มีความเมตตาจิตตั้งอยู่ในสัตย์ในธรรมจึงจะจัดทำการได้ ซึ่งรับสั่งให้ชองเปกโหออกมาทำการอันนี้เราเห็นว่าการจะไม่สำเร็จ แล้วชองเปกโหพูดจานั้นก็มีแต่คิดหาผลหาประโยชน์ บัดนี้ชองเปกโหให้เราจัดคนไปช่วยทำการปิดน้ำ เราไม่รู้ที่จะไปเก็บผู้ใดให้ไป ด้วยราษฎรพากันได้ความทุกข์แตกกระจัดกระจายไปอยู่ป่าและเขาที่ดอนเสียสิ้น ราษฎรในคราวนี้อดอยากได้ความลำบาก เราจะต้องเอาเงินหลวงซึ่งมีอยู่สำหรับเมืองนั้น จ้างราษฎรซึ่งจะไปทำการปิดน้ำให้ครบเมืองละห้าพันตามที่เขาเกณฑ์ แล้วเครื่องมือจอบเสียมนั้นเราก็จะส่งไปให้พร้อมทันกำหนด สุดแท้แต่ชองเปกโหข้าหลวงใหญ่เขาจะทำประการใด เราทั้งสองจึงคอยดูการที่เขาทำต่อภายหลัง จูเฮ้าเจ้าเมืองกิซุยจึงตอบว่า การซึ่งท่านพูดทั้งนี้ถูกต้องแล้วเราเห็นชอบด้วย แต่ข้อซึ่งจะให้เอาเงินหลวงสำหรับเมืองออกจ่ายราษฎรนั้น ข้าพเจ้ากลัวว่าถ้าชองเปกโหรู้ความแล้วก็จะติเตียนยกโทษเรา ว่าเราทั้งสองหาเห็นแก่การแผ่นดินไม่ พากันจับจ่ายใช้สอยเงินหลวงเอาแต่ตามลำพังใจหาความสบายฝ่ายเดียว ข้าพเจ้ากลัวจะมีความผิดขึ้นภายหลัง ประการหนึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเราทั้งสองนี้ก็พอจะมีเงินจับจ่ายใช้สอยจ้างราษฎรได้ อย่าให้ต้องออกเงินหลวงให้มีมลทินเลย เอาเงินนี้ที่เราได้เบี้ยหวัดใช้เถิด ครั้นปรึกษากันแล้วเจ้าเมืองทั้งสองเห็นชอบพร้อมใจกัน แล้วต่างคนก็ให้คนใช้เข้าไปในเมืองหลวง สืบถามตามขุนนางได้ความว่าซีงักขุนนางผู้ใหญ่ทูลขอให้ชองเปกโหออกไปปิดน้ำ แล้วชองเปกโหได้ทำทานบนถวายไว้ว่า ถ้าออกไปเบียดเบียนทำให้ราษฎรได้ความเดือดร้อนแล้วให้ประหารชีวิตเสีย คนใช้ก็มาแจ้งความแก่จูเฮ้าทั้งสอง จูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสองก็จัดเงินทองของตัวออกจ้างราษฎรตามที่ปรึกษากันไว้ ได้คนครบจำนวนแล้วก็นำไปส่งให้ชองเปกโหกับทั้งจอบเสียมแต่ไปยังหาถึงไม่ ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าชองเปกโหเห็นว่าจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสองจัดหาผู้คนไม่ได้ ก็ให้ทหารของตัวลงมือทำการปิดน้ำ ปรารถนาจะพาลเอาผิดเจ้าเมืองทั้งสอง ครั้นจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสองได้คนไปส่งได้ครบตามจำนวนทันวันกำหนด ชองเปกโหเห็นคนและเครื่องจอบเสียมแล้ว จึงว่าแก่จูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสองว่า เดิมเราคิดว่าว่าจะลงมือทำการปิดน้ำวันนี้ก็เป็นวันฤกษ์ไม่ดี จะต้องเลื่อนไปทำวันพรุ่งนี้เช้า จูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสองจึงตอบว่าน้ำนั้นก็บากขึ้นทุกวัน ๆ แล้วคนที่ข้าพเจ้าส่งมานั้น ข้าพเจ้าต้องเสียโสหุ้ยค่าจ้างวันหนึ่งกว่าพันตำลึง ประการหนึ่งราษฎรทั้งปวงทราบว่าพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้ท่านออกมาทำการปิดน้ำก็พากันมีความยินดี ขอท่านอย่าได้เคลื่อนวันให้เนิ่นช้าไปเลย จงได้มีความเวทนาแก่ราษฎรและทำการฉลองพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินในเวลาวันนี้เถิด ชองเปกโหได้ฟังดังนั้นจึงว่าท่านเสียเงินค่าโสหุ้ยวันเดียวก็มาร้องแก่เรา ก็เรานี้เสียโสหุ้ยมากกว่าครึ่งเดือนแล้ว ท่านจะให้เราไปร้องแก่ผู้ใด ความยากความลำบากของเรานั้นท่านไม่เห็นด้วยเลย ครั้นพูดกันแล้วจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสองก็ลาชองเปกโหกลับไป แล้วจูเฮ้าเจ้าเมืองกิซุยจึงว่าแก่เจ้าเมืองฮัวซูว่า ชองเปกโหพูดจาเลียบชายดังนี้ คิดแต่จะเอาผลประโยชน์ที่เรา ๆ จะต้องให้เงินเสียบ้างจึงจะได้รีบกระทำการ จูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสองปรึกษาเห็นพร้อมกันแล้วต่างคนก็รีบกลับไปเมือง แล้วเขียนหนังสือไปถึงชองเปกโหคนละฉบับมีความว่า ท่านออกมาทำการครั้งนี้หนทางก็กันดารต้องลงทุนเสบียงอาหารมาใช้สอย ฝ่ายข้าพเจ้านี้ก็มีความทุกข์จึงจัดได้แต่เงินสองพันตำลึงมาคำนับท่าน ขอท่านได้รับไว้จะได้ใช้การ ประการหนึ่งถ้าข้าพเจ้าผิดพลั้งประการใด ขอท่านได้เมตตาแก่ข้าพเจ้าด้วย ครั้นเขียนหนังสือแล้วก็คุมเงินสองพันตำลึงไปที่กงก๊วน แล้วส่งหนังสือให้นายประตูเข้าไปให้ชองเปกโห ๆ แจ้งความแล้วมีความยินดี ให้รับจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสองเข้าไปข้างในให้กินโต๊ะ แล้วว่าการครั้งนี้เป็นการแผ่นดิน บัดนี้ท่านให้เงินแก่เรานั้นเราขอบใจท่านหนักนัก แต่จนใจด้วยเราออกจากบ้านเรือนมาไม่มีสิ่งอันใดจะตอบแทนแก่ท่าน ๆ จงผูกรักเป็นไมตรีไว้แก่เราเถิด ว่าแล้วก็ให้คนใช้รับเงินของเจ้าเมืองทั้งสองไว้ แล้วเจ้าเมืองทั้งสองถามชองเปกโหว่า ท่านจะทำการปิดน้ำนั้นท่านจะต้องการเครื่องพลีกรรมบวงสรวงสิ่งใดบ้างจะได้หามาให้ ชองเปกโหจึงว่าน้ำนี้ไม่มีเทพยดา ถ้าน้ำมีเทพยดาแล้วก็ไม่ทำให้มนุษย์และสัตว์ได้ความเดือดร้อน ซึ่งการเป็นดังนี้เห็นจะเป็นปีศาจ ๆ นั้นไม่ควรเราจะบวงสรวง ถ้าจะบวงสรวงแล้วก็ให้ส่งมาให้พวกทหารเรากินเสียดีกว่า ครั้นพูดจากันแล้วเจ้าเมืองทั้งสองก็ลาชองเปกโหต่างคนต่างกลับไปเมือง ฝ่ายชองเปกโหครั้นเจ้าเมืองทั้งสองลากลับไปแล้ว ก็ใช้ไพร่ที่เกณฑ์มาเมืองละห้าพันนั้นกับทหารของตัวให้ขุดเอาดินที่ดอนมาอุดปิดน้ำที่ลุ่ม มิได้กำหนดว่าแห่งใดน้ำไหลเชี่ยวไหลแรง เห็นว่าที่แห่งใดน้ำท่วมไหลมามากแล้ว ก็ให้เอาดินไปถมปิดน้ำที่นั้นเสียทุกแห่ง ครั้นใช้ให้ไปปิดทางข้างโน้น ทางข้างนี้น้ำไหลแรงมามากก็พัดพาเอาดินที่ปิดนั้นพังทลายไป น้ำนั้นก็คงมาท่วมมากอยู่ดังเก่า ชองเปกโหเห็นว่าน้ำที่แห่งใดไหลมาก ก็ให้เอาแต่ดินไปทิ้งถมอุดปิดน้ำที่แห่งนั้นเสีย มิได้ทำเป็นทำนบและยกเป็นคันขึ้นให้สูงปิดน้ำให้แข็งแรงหยุดอยู่ได้ แต่ใช้ไพร่ของตัวและราษฎรไปทำการปิดน้ำดังนี้เป็นหลายปี น้ำนั้นก็มิได้ลดแห้งไปได้ จนไพร่และราษฎรเหนื่อยยากลำบากนัก ราษฎรก็คิดระอิดระอา ด้วยเห็นว่าการนั้นจะมิได้สำเร็จไปได้โดยเร็ว ชองเปกโหเห็นว่าราษฎรชาวเมืองมีใจระอาแล้วก็ว่ากล่าวคุกคามว่า ท่านทั้งหลายนี้ไม่เห็นแก่การแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินทรงพระเมตตาแก่ราษฎรทั้งปวง จึงได้รับสั่งใช้ให้เรามากระทำปิดน้ำอันนี้ ถ้าผู้ใดมิได้เห็นแก่การแผ่นดิน มีใจเกียจคร้านก็ให้จ้างคนมาแทนตัว ถ้าจ้างคนแทนตัวไม่ได้แล้ว ก็ให้คิดเป็นเงินค่าจ้างมาให้สมควรแก่การ เราจะได้คิดหาผู้ที่จะรับจ้างกระทำการต่อไป

ขณะนั้นพวกไพร่และราษฎรทั้งหลายได้โอกาสแล้วก็พากันดีใจ ให้เงินค่าจ้างแทนตัวแก่ชองเปกโห ๆ ก็รับเอาเงินไว้แล้วก็มิได้จ้างผู้ใดต่อไป ใช้แต่ไพร่ที่ยังเหลืออยู่นั้นไปทำการปิดน้ำเหมือนแต่ก่อน น้ำนั้นก็ยิ่งท่วมทวีมากขึ้นทุกที ชองเปกโหเห็นว่าจะทำการปิดน้ำที่ตำบลเมืองฮัวซูมิได้แล้ว ก็เลื่อนไปเมืองกิซุยกระทำการเหมือนดังนั้น แต่ชองเปกโหกระทำการปิดน้ำถึงเก้าปี ก็ไม่อาจที่จะให้น้ำนั้นลดแห้งไปได้ แต่ว่ามีหนังสือบอกเข้าไปทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ทุกปีว่า ข้าพเจ้ารับอาสาพระองค์ออกมากระทำการปิดน้ำครั้งนี้มิได้เห็นแก่ความเหนื่อยความยาก อุตส่าห์ตั้งจิตฉลองพระเดชพระคุณโดยความสัตย์สุจริต มิได้คิดเบียดเบียนผู้ใดให้ได้ความเดือดร้อน แต่การที่ข้าพเจ้ากระทำนั้นแสนยากเหลือลำบากนักจึงได้ช้าอยู่ ขอพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย ชองเปกโหได้มีหนังสือไปกราบทูลดังนี้ทุกปีมิได้ขาด เมื่อชองเปกโหไปกระทำการปิดน้ำช้าอยู่ถึงเก้าปีการก็ไม่สำเร็จ ชองเปกโหก็พาทหารกลับมายังเมืองหลวง แต่ยังมิได้เข้าเฝ้าพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ครั้นเวลารุ่งเช้าพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เสด็จออกที่ว่าราชการ จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เราใช้ให้ชองเปกโหไปกระทำการปิดน้ำ ช้านานประมาณถึงเก้าปีแล้วก็ยังไม่เห็นชองเปกโหกลับมา ได้ยินข่าวแต่ในหนังสือบอกว่าไปกระทำการนั้นแสนยากลำบาก การนั้นถึงเก้าปีแล้วยังจะไม่สำเร็จบ้างหรือ ขันทีจึงกราบทูลว่าชองเปกโหไปทำการปิดน้ำนั้นกลับเข้ามาแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสจึงมิได้เข้ามาเฝ้า พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังขันทีทูลดังนั้น จึงรับสั่งให้หาชองเปกโหเข้ามาเฝ้า แล้วตรัสถามว่าเราให้ไปกระทำการปิดน้ำช้านานถึงเก้าปีแล้ว และน้ำไหลเชี่ยวแรงทำให้ราษฎรได้ความเดือดร้อนประการใดบ้าง อนึ่ง ท่านทำการนั้นท่านทำเป็นประการใด น้ำนั้นลดแห้งไปหมดสิ้นแล้วหรือ ยังท่านจงเล่าความที่ท่านไปกระทำนั้นให้เราฟัง ชองเปกโหจึงกราบทูลว่า ซึ่งพระองค์รับสั่งใช้ให้ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้ ข้าพเจ้าก็ตั้งจิตคิดจะฉลองพระเดชพระคุณโดยสุจริตมิได้คิดที่จะเหนื่อย แต่การครั้งนี้แสนลำบากเหลือสติปัญญา ด้วยน้ำนั้นมากไหลแรงเหลือกำลังที่ข้าพเจ้าจะปิดให้หยุดได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าที่แห่งใดน้ำไหลเชี่ยวไหลแรงข้าพเจ้าก็ให้เอาดินไปทิ้งถมที่นั้นให้ดอนขึ้นที่แห่งนั้นน้ำก็อ่อนไหลแห้งไป แล้วก็ไปไหลแรงในที่อื่น ข้าพเจ้าก็ให้คนตามไปปิดเอาทิ้งถมในที่นั้นให้ดอนขึ้นที่แห้งนั้นก็แห้งไป น้ำนั้นก็กลับไหลแรงพัดพาเอาดินที่ข้าพเจ้าถมไว้ให้แห้งแต่ที่ดอนนั้นพังทลายไป ครั้นข้าพเจ้าให้คนปิดทางนี้น้ำก็ไหลพังไปทางโน้น ครั้นข้าพเจ้าให้คนปิดทางโน้นทางนี้ก็พัง เป็นสุดกำลังปัญญาที่ข้าพเจ้าจะปิดให้หยุดแห้งไปได้ ข้าพเจ้าจึงได้พากันกลับมา ถ้ากระไรขอทุเลาพอปีหน้าข้าพเจ้าจึงจะคิดตามสติปัญญา ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณใหม่ให้น้ำนั้นเหือดแห้งไปให้จงได้ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า ท่านไปทำการปิดน้ำ ช้านานกาลถึงเก้าปีแล้วก็ยังไม่สำเร็จ บัดนี้จะมาขอผลัดทุเลาปีหน้าจึงจะไปกระทำการใหม่ให้สำเร็จนั้นเราไม่เห็นด้วย ประการหนึ่งเราทราบความว่าท่านไปทำการครั้งนี้ก็มิได้ทำโดยสุจริต มัวเมาแต่ในการเสพสุราและการสตรีและการเล่นต่าง ๆ แล้วก็เบียดเบียนไพร่บ้านพลเมือง เก็บเอาเงินเป็นอาณาประโยชน์ของตน มิได้คิดเห็นแก่การแผ่นดิน และมิได้มีเมตตาจิตแก่ราษฎร กระทำการนั้นก็โลเลเห็นแต่จะได้ลาภมิได้เป็นยุติธรรม การซึ่งท่านกระทำดังนี้เราทราบสิ้นทุกประการ ข้อซึ่งท่านได้ให้ปฏิญาณทานบนแก่เรานั้นท่านก็ลืมเสีย ท่านทำการอย่างนี้มิผิดด้วยทานบนหรือ แต่เดิมทีเราก็รู้อยู่ว่าท่านเป็นคนมักได้ไม่ตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตธรรมเป็นคนกังฉิน จะใช้ให้ไปกลัวจะทำการไม่สำเร็จสมดังเราคิด แต่เสียทีที่ได้เชื่อซีงักบอกแก่เราว่าเจ้าเห็นจะละพยศได้เราจึงได้ใช้ให้ไป เราใช้เจ้าไปทำการครั้งนี้เรามีความละอายแก่พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองและราษฎรทั้งปวง เหมือนหนึ่งเป็นกษัตริย์ไม่มีสติปัญญาที่จะพิจารณาให้รู้ว่าคนชั่วและคนดี เจ้าทำความผิดถึงเพียงนี้นี่เจ้าจะว่ากล่าวประการใด ชองเปกโหรู้ตัวว่าตัวกระทำผิดจากทานบนซึ่งถวายไว้ ก็หมอบฟุบนิ่งอยู่มิได้กราบทูลประการใด พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ทหารจับตัวชองเปกโหไปประหารชีวิตเสียที่ตำบลอู๋ซัน ที่ตำบลนั้นทุกวันนี้เรียกว่าเมืองห่วยอันกุ้ย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ