๕๒
อยู่มาพระเจ้าอู๋เต้เสด็จออกว่าราชการข้างหน้าพร้อมด้วยข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้าตามตำแหน่งเฝ้า
ขณะนั้นขุนนางผู้หนึ่งชื่องีเต๊กนำสุราเข้ามาถวายแล้วทูลว่าสุรานี้กลั่นด้วยสรรพคุณยาอันวิเศษ มีรสหวานหอมแล้วแก้เมื่อยมีกำลังแข็งแรง พระเจ้าอู๋เต้จึงรับสั่งให้ขันทีรินสุรานั้นออกหลายถ้วยเทียบทดลองดูก่อน แต่เมื่อทดลองนั้นเป็นแต่เล็กน้อยก็มิสู้เมานัก แล้วถวายเสวยหลายถ้วย เสวยแล้วก็เมาหนัก พวกขันทีก็เข้าพยุงพระเจ้าอู๋เต้เข้าไปในที่พระบรรทม งีเต๊กกับขุนนางพากันไปบ้านของงีเต๊ก ๆ ก็เลี้ยงสุราพวกขุนนาง ๆ รับประทานสุราแล้วสรรเสริญคุณสุรานั้นต่าง ๆ แล้วขอตำรางีเต๊ก ๆ ก็บอกตำราให้
ฝ่ายพระเจ้าอู๋เต้นั้นครั้นพระองค์สร่างเมาแล้วตื่นจากที่พระบรรทม เสด็จออกว่าราชการ รับสั่งให้หางีเต๊กเข้ามาเฝ้า
ฝ่ายงีเต๊กได้ฟังว่าพระเจ้าอู๋เต้รับสั่งให้หาแล้วก็มีความยินดี ด้วยคิดว่าคงจะมีความชอบก็รีบเข้ามาเฝ้าโดยเร็ว พระเจ้าอู๋เต้ทอดพระเนตรเห็นงีเต๊กเข้ามาเฝ้าแล้วจึงตรัสแก่งีเต๊กว่า สุราซึ่งท่านนำมาให้แก่เรานั้น มีคุณน้อยมีโทษมาก เหตุว่าถ้ากินแต่น้อยก็บำบัดโรคได้บ้างเล็กน้อย ถ้ากินมากแล้วก็พาให้สติฟั่นเฟือนหลงใหลไม่เป็นสมประดี ด้วยเวลาวานนี้เรากินสุราของท่านนั้นเมานักไม่รู้จักสมประดีเลย เรากลัวว่านานไปเบื้องหน้าข้าราชการและราษฎรทั้งปวงได้กินสุรานี้แล้ว ก็จะหลงไปด้วยรสสุรานี้ก็จะพากันกินมากเกินประมาณไป ครั้นมัวเมามากแล้วก็จะพากันละซึ่งสิ่งที่ดีอย่างอื่นเป็นสุจริตเสีย จะพากันประพฤติแต่การที่เป็นพาลไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว ไพร่บ้านพลเมืองก็หามีความสุขไม่ ตั้งแต่นี้ไปท่านอย่าได้ทำสุราขึ้นอีกเลย แล้วตำราทำสุรานั้นก็ให้ทิ้งเสียอย่าให้ผู้ใดต่อไป ตรัสแล้วรับสั่งให้ถอดงีเต๊กจากที่ขุนนางเป็นไพร่ ตั้งแต่นั้นงีเต๊กก็ลักลอบทำสุราขาย แล้วพวกขุนนางที่ได้ตำราของงีเต๊กนั้นก็กลั่นขึ้นซ่อนกินพระเจ้าอู๋เต้ก็ไม่ทรงทราบ อยู่มาพระเจ้าอู๋เต้เสด็จออกว่าราชการปรึกษาแก่พวกขุนนางว่า จูเฮ้าเจ้าเมืองฝ่ายเหนือฝ่ายใต้นั้นได้เข้ามาทำสัตย์สาบานแก่เราแล้ว ยังแต่จูเฮ้าเจ้าเมืองฝ่ายตะวันตกตะวันออกนั้นเราจะให้หาเข้ามาให้พร้อมกันที่ตำบลกวยกี ตรัสดังนั้นแล้วรับสั่งให้ขุนนางออกไปหาตัวพวกจูเฮ้าอยู่ในฝ่ายทิศตะวันตกตะวันออก ซึ่งเป็นวงศ์ญาติของพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้บ้าง เป็นวงศ์พระเจ้าสินลงสีฮ่องเต้บ้าง เป็นวงศ์พระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้บ้าง เป็นวงศ์ญาติพระเจ้าซุ่นเต้ฮ่องเต้บ้าง รวมยี่สิบเก้าหัวเมือง ขุนนางก็ถวายคำนับลาไปหาตัวจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งยี่สิบเก้าหัวเมือง คือจูเฮ้าชื่อหนึ่งฮองเฮาหนึ่ง ชื่อฮองเฮาหนึ่ง บู๊ฮองเอาหนึ่ง เฮาเฮงเฮาหนึ่ง ซีนฮองเฮาหนึ่ง อิมคังเฮ้าหนึ่ง กัวะเปกเฮ้าหนึ่ง เฮกซูเฮ้าหนึ่ง จุนโล่วเฮ้าหนึ่ง เลียดเลกเฮ้าหนึ่ง นิมเคยเฮ้าหนึ่ง ตีเซงเฮ้าหนึ่ง ตี่มีนเฮ้าหนึ่ง ตี่ไล่เฮ้าหนึ่ง ตี่ลี้เฮ้าหนึ่ง ตี่ชวนเฮ้าหนึ่ง เซงตีเฮ้าหนึ่ง ยู่บ๋วงเฮ้าหนึ่ง อิวอี้เฮ้าหนึ่ง ซาเฮียงเฮ้าหนึ่ง ย่องเซงเฮ้าหนึ่ง เจงหลีเฮ้าหนึ่ง ซ่ำงุยเฮ้าหนึ่ง เสียวเองเฮ้าหนึ่ง เจี้ยตีเฮ้าหนึ่ง ขีถองเฮ้าหนึ่ง เตงยิดเฮ้าหนึ่ง ฮ่องฮวงเฮ้าหนึ่ง เป็นยี่สิบเก้าหัวเมืองให้เข้ามาเฝ้าให้พร้อมกัน พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองนั้นทราบความแล้วก็เข้ามาเฝ้าแต่ยี่สิบแปดหัวเมือง แล้วพระเจ้าอู๋เต้เสด็จออกไปที่ตำบลกวยกีพร้อมด้วยขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยและข้าราชการทั้งปวง เสด็จไปประทับแรมอยู่เก๋งเม่งตัว พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองและขุนนางก็พากันเข้าเฝ้า เล่าเอียะขุนนางซึ่งออกไปหาตัวจูเฮ้าเจ้าเมืองนั้น กราบทูลพระเจ้าอู๋เต้ว่า จูเฮ้าเจ้าเมืองใด ๆ ก็เข้ามาเฝ้าพร้อมกันทั้งยี่สิบแปดหัวเมืองแล้ว แต่ฮ่องฮวงเฮ้าเจ้าเมืองหนึ่งนั้นไม่เข้ามา และฮ่องฮวงเฮ้าคนนี้เป็นคนนี้เป็นคนโลภหลงด้วยสตรี แล้วก็เสพย์สุราอยู่เป็นนิจ พระเจ้าอู๋เต้จึงตรัสว่า จูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งสี่ทิศก็พากันเข้ามาหาเรา บัดนี้ฮ่องฮวงเฮ้าถือตัวไม่มานั้นเหตุอย่างไร
ขณะนั้นพอฮ่องฮวงเฮ้าเข้ามาถึง เซ่งติดขุนนางจึงทูลพระเจ้าอู๋เต้ ๆ รับสั่งให้หาตัวฮ่องฮวงเฮ้าเข้ามาเฝ้าแล้วตรัสถามว่าเหตุอย่างไรจึงได้มาช้าไป ฮ่องฮวงเฮ้าจึงทูลว่าทางที่มานั้นน้ำท่วมจึงได้ช้าอยู่ พระเจ้าอู๋เต้จึงตรัสถามบรรดาจูเฮ้าทั้งปวงว่า ท่านทั้งปวงเข้ามานั้นน้ำท่วมทางหรือไม่ พวกจูเฮ้าทั้งนั้นจึงทูลว่า ตั้งแต่พระองค์เสด็จไปขุดคลองแล้ว น้ำก็หาได้ท่วมป่าท่วมทางไม่ พระเจ้าอู๋เต้จึงตรัสว่าฮ่องฮวงเฮ้ามาช้าไปนั้น เห็นจะเที่ยวแย่งชิงทรัพย์สิ่งของ ๆ ราษฎรเป็นแน่ ไม่มีสิ่งอันใดที่จะแก้ตัวจึงได้พูดดังนี้ ตรัสแล้วรับสั่งให้พวกขุนนางไปค้นดูที่ตำแหน่งพักฮ่องฮวงเฮ้า ก็ได้สิ่งของในสำนักฮ่องฮวงเฮ้าสิบแปดเล่มเกวียนกับหญิงรูปงามเก้าคน จึงรับสั่งให้ถามฮ่องฮวงเฮ้าว่า หญิงเก้าคนกับสิ่งของทั้งนี้ได้มาแต่ไหน ฮ่องฮวงเฮ้ารับว่าหญิงกับสิ่งของทั้งนี้แย่งชิงราษฎรมาตามทาง จึงรับสั่งให้เอาตัวฮ่องฮวงเฮ้าไปประหารชีวิตเสียแล้วจะตั้งบุตรฮ่องฮวงเฮ้าเป็นเจ้าเมืองต่อไป จึงรับสั่งถามพวกขุนนาง ๆ ทูลว่าบุตรชายฮ่องฮวงเฮ้าไม่มี พระเจ้าอู๋เต้จึงยกเขตแดนเมืองนั้นให้ขึ้นแก่เมืองใกล้เคียง แล้วหญิงเก้าคนนั้นก็รับสั่งให้กลับไปบ้านเรือนตามเดิม ทรัพย์สิ่งของสิบแปดเล่มเกวียนนั้นจะคืนให้แก่เจ้าของ ก็ไม่รู้ว่าแย่งชิงได้มาแต่แห่งใด จึงรับสั่งแก่ขุนนางและจูเฮ้าทั้งปวงว่าทรัพย์สิ่งของนั้นให้ขุนนางและจูเฮ้าไปสืบราษฎร ถ้าเป็นของผู้ใดก็ให้คืนให้แก่ผู้นั้น
ฝ่ายจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งปวงพร้อมกันทำสัตย์สาบานถวายแล้ว พระเจ้าอู๋เต้จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะเลี้ยงพวกจูเฮ้าเจ้าเมืองและพวกขุนนาง และให้ประโคมดุริยางค์ดนตรี ครั้นเสร็จในการเลี้ยงโต๊ะแล้วก็ทรงตรัสข้อความซึ่งให้ถอดงีเต๊กออกจากที่ขุนนางให้เป็นไพร่นั้นให้พวกจูเฮ้าฟัง แล้วรับสั่งว่าท่านทั้งหลายอย่าได้เสพย์สุราของงีเต๊กเป็นอันมาก แล้วจงเอาใจใส่ในราชการแผ่นดิน ทะนุบำรุงราษฎรให้ได้ความสุข การที่จะทะนุบำรุงราษฎรนั้นให้ตั้งจิตเหมือนบิดามารดาเมตตาแก่บุตร อย่าให้ประพฤติอย่างฮ่องฮวงเฮ้าเป็นคนพาล ธรรมดาว่าเจ้าบ้านเจ้าเมืองใดเป็นพาลแล้ว ราษฎรก็หาความสุขมิได้ ตรัสพระราชทานโอวาทดังนั้นแล้วเสด็จเข้าข้างใน พวกขุนนางและพวกจูเฮ้านั้นก็พากันไปที่อยู่ ครั้นรุ่งขึ้นเช้าพวกจูเฮ้าพากันเข้าเฝ้าทูลลากลับไปบ้านเมืองแล้ว พระเจ้าอู๋เต้เสด็จกลับเข้าพระนคร เป็นธรรมเนียมจีนที่เสด็จออกไปรับหัวเมืองถึงทางไกลพระนครนั้น ก็เพราะปรารถนาจะไม่ให้พวกหัวเมืองเข้ามาเห็นพระนครกลัวจะเป็นกบฏขึ้น ลางแผ่นดินก็สร้างเมืองขึ้นไว้สำหรับหัวเมืองเข้าเฝ้าตำบลหนึ่ง มีธรรมเนียมดังนี้มาแต่โบราณ และครั้งนั้นราษฎรมีความสุขเป็นอันมาก อยู่มาวันหนึ่งเวลาบ่ายบังเกิดเมฆขึ้นทิศตะวันออก ฝนตกเป็นเม็ดทองคำเม็ดเท่าเม็ดทรายตกลงในจังหวัดพระราชวังทั้งสามวันสามคืน พระเจ้าอู๋เต้จึงรับสั่งให้ขุนนางเจ้าพนักงานพระคลังทองเก็บเอาทองคำนั้นมารวบรวมไว้ นับแต่ที่เป็นเม็ดได้ทองคำร้อยแปดสิบเก้าหมื่นเม็ด ที่ละเอียดไม่ได้นับ แล้วรับสั่งให้แบ่งทองคำนั้นเป็นสิบส่วน แจกให้พวกขุนนางส่วนหนึ่ง แจกให้พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองและราษฎรแปดส่วน เอาไว้สำหรับแผ่นดินส่วนหนึ่ง พวกขุนนางและพวกจูเฮ้ากับราษฎรพากันสรรเสริญพระบารมีพระเจ้าอู๋เต้เป็นอันมาก ครั้นอยู่มาพระเจ้าอู๋เต้ทรงพระประชวร จึงรับสั่งให้หาพระราชโอรสกับขุนนางผู้ใหญ่เข้าไปเฝ้า แล้วพระราชโอรสกับขุนนางผู้ใหญ่ไปเฝ้าแล้วถวายพระโอสถ พระเจ้าอู๋เต้ก็ไม่เสวยพระโอสถแล้วตรัสว่า ความเกิดกับความตายนั้นคู่กัน ถ้าเกิดมาเป็นรูปเป็นกายแล้วก็คงตายเป็นเที่ยงแท้ ซึ่งเราป่วยครั้งนี้ถึงจะตายก็สมควรด้วยอายุของเราได้ร้อยปีแล้ว ท่านทั้งปวงอยู่ภายหลังจงช่วยกันทะนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุขเถิด พระราชโอรสและพวกขุนนางได้ฟังดังนั้นก็พากันร้องไห้ พระเจ้าอู๋เต้ก็ตรัสให้โอวาทสั่งสอนว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้ร้องไห้เลย ธรรมดาบุคคลมีความอาลัยแก่คนที่จะถึงแก่ความตาย และร้องไห้ร่ำไรรักนั้นหามีผลประโยชน์สิ่งใดไม่ ถึงจะร้องไห้สักเท่าใด ๆ ก็มิได้กลับมีชีวิตคืนมา ซ้ำจะพาตัวให้ทรุดโทรมซูบผอมเพราะความโศก ก็จะบังเกิดมีโรคขึ้นต่าง ๆ ถ้าท่านทั้งหลายมีความอาลัยในตัวเราแล้ว จงอุตส่าห์ช่วยกันทะนุบำรุงให้ราษฎรเป็นสุขเถิด นั่นแหละเราจึงเห็นว่าท่านทั้งหลายเป็นคนมีกตัญญูต่อเราและรักเราโดยแท้ แล้วก็จะเป็นผลเป็นประโยชน์มีคุณแก่ท่านทั้งหลายและราษฎรทั้งปวงด้วย หนึ่งเราเห็นว่าเล่าเอียะเป็นคนมีสติปัญญาซื่อสัตย์ตั้งอยู่ในยุติธรรม ถ้าเราสิ้นบุญแล้วจงยกเล่าเอียะขึ้นเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติแทนเราต่อไปเถิด พวกขุนนางได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งมีความโศกมาก สู้อุตส่าห์แข็งใจกลั้นความโศกนั้นไว้ แล้วพากันถวายคำนับพระเจ้าอู๋เต้ ๆ ก็สิ้นพระชนม์ และเมื่อพระเจ้าอู๋เต้ครองราชสมบัตินั้นราษฎรมีความสุขมากจนตลอดชั่วแผ่นดิน พระเจ้าอู๋เต้อยู่ในราชสมบัติยี่สิบแปดปี พระชนม์ได้ร้อยปีจึงสวรรคต พระเจ้าอู๋เต้นั้นพระองค์มีพระราชโอรสด้วยนางฮองเฮานั้นสามองค์ ๆ หนึ่งชื่อคี้เอี้ยน เป็นไถจู๊ใหญ่ องค์ที่สองชื่อไจ้เป็นอุ๋ยกู้สิอ๋อง องค์ที่สามชื่อหั้นเป็นที่อี้เคงอ๋อง ครั้นพระเจ้าอู๋เต้สิ้นพระชนม์แล้ว พระราชโอรสและพวกขุนนางพากันเชิญพระศพใส่ในหีบไม้หอม แล้วตั้งกระบวนแห่ไปที่ตำบลโลวซัว