๓๘
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีไฟบนอากาศมีแสงเป็นหย่อม ๆ ดวงโตกว่าดวงพระอาทิตย์ครึ่งหนึ่งอยู่ต่ำกว่าเมฆลงมา ราษฎรสมมุติกันว่าดวงพระอาทิตย์เกิดขึ้นอีกเก้าดวงเรียงกันไปประหลาดนัก พวกไพร่บ้านพลเมืองตกใจแตกตื่นเพราะด้วยไม่เคยพบเคยเห็น ก็พากันตกใจไม่รู้ว่าเหตุอันใดจะมีขึ้น แล้วก็ร้อนจนใบไม้หล่นต้นข้าวตาย พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เสด็จออกตรัสด้วยขุนนางว่า แต่ก่อน ๆ เราก็ไม่ได้เห็นดวงพระอาทิตย์โตใหญ่เกิดขึ้นหลายดวงดังนี้ บัดนี้ดวงพระอาทิตย์ใหม่โตใหญ่กว่าดวงพระอาทิตย์เดิม เกิดขึ้นอีกเก้าดวงนั้นเป็นการอัศจรรย์นัก ท่านทั้งปวงได้เคยพบเคยเห็นตำราอันนี้มีอยู่ที่ไหนบ้าง พวกขุนนางจึงทูลว่าข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า การเป็นดังนี้ก็เพราะบุญวาสนาของเราน้อย เราทุกวันนี้ตั้งใจจะทะนุบำรุงไพร่บ้านพลเมืองให้ได้ความสุข ควรหรือเทพยดาไม่ช่วยอุปถัมภ์แก่เรา ตรัสแล้วรับสั่งให้พระราชวงศานุวงศ์และขุนนางกับราษฎรทั้งปวงพากันตั้งเมตตาจิต และให้จัดเครื่องสักการบูชาพลีกรรม กระทำบวงสรวงเทพยดาเป็นการเอิกเกริกทั่วทั้งพระนคร กลางพระนครนั้นให้ขุนนางเจ้าพนักงานทำโรงพิธีมีเครื่องสักการบูชา และของพลีกรรมบวงสรวงต่าง ๆ เสร็จแล้ว พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ก็พาพระราชวงศานุวงศ์และขุนนางทั้งปวงเสด็จไปในโรงราชพิธี ทำบวงสรวงแล้วจึงประกาศแก่เทพยดาว่า ตัวข้าพเจ้านี้เป็นคนบุญน้อยวาสนาน้อย แต่หากว่าพวกขุนนางและพวกจูเฮ้าเจ้าเมืองพากันยกข้าพเจ้าขึ้นเป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าก็ได้ทะนุบำรุงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินมีความสุขเป็นอันมาก บัดนี้ดวงพระอาทิตย์ใหญ่เกิดขึ้นหลายดวงร้อนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน มนุษย์และสัตว์เดรฉานในแผ่นดินจะมิพากันตายเสียหมด หรือถ้าเทพยดาเห็นว่าข้าพเจ้านี้ไม่ควรจะครองราชสมบัติ ก็ขอเทพยดาทำโทษแก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเถิด อย่าให้ราษฎรเดือดร้อนทั่วไปทั้งแผ่นดินเลย ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปขอให้เทพยดาจงมีเมตตาแก่มนุษย์ทั้งหลาย ให้ดวงอาทิตย์ส่องโลกอยู่ดวงเดียวเป็นปกติเหมือนแต่ก่อนเถิด พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ทรงประกาศดังนี้ เหตุเพราะมีพระทัยทรงพระเมตตาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นอันมาก ครั้นประกาศแล้วพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้กับบรรดาพระราชวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็พากันทำคำนับเทพยดา แล้วพระองค์เสด็จกลับเข้าพระราชวัง ครั้นรุ่งขึ้นก็ยังเห็นดวงพระอาทิตย์ใหญ่ที่เกิดขึ้นใหม่นั้นยังปรากฏอยู่ ก็ทรงพระโทมนัสเสียพระทัย พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เสด็จออกที่ว่าราชการ พร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยอยู่ตามตำแหน่ง พระองค์จึงตรัสว่าการครั้งนี้ถ้าเป็นศึกมนุษย์เหมือนกันก็จะได้คิดต่อสู้ นี่เป็นศึกเทพยดาไม่รู้ที่จะคิดประการใด เราท่านทั้งหลายเห็นจะพากันตายเสียหมดในครั้งนี้ ตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงพระกรรแสง บรรดาพระญาติวงศานุวงศ์และขุนนางทั้งปวงก็พากันร้องไห้สิ้นทั้งนั้น
ฝ่ายเพ่งหงีขุนนางฝ่ายทหารรักษาพระองค์เป็นคนใจกล้าหาญ ได้ฟังพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ตรัสดังนั้นก็เข้าไปคำนับแล้วทูลว่า ตั้งแต่พระองค์ได้ครองราชสมบัติ พระองค์ประพฤติแต่ความสุจริตธรรม การสิ่งที่ชั่วนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงประพฤติสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไพร่บ้านพลเมืองพากันได้ความสุขมากกว่าแผ่นดินก่อน ๆ พระองค์จะทรงพระกรรแสงไปทำไม การครั้งนี้ถ้าเป็นโดยอำนาจเทวดาจริงแล้ว พระองค์ก็เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ได้กระทำคำนับเทพยดา ๆ ก็คงจะมีความเมตตาแก่มนุษย์ทั้งปวง บัดนี้ข้าพเจ้าได้พิเคราะห์ดูดวงพระอาทิตย์เก้าดวงที่เกิดขึ้นใหม่นั้นต่ำกว่าดวงพระอาทิตย์ซึ่งมีอยู่แต่เดิม ข้าพเจ้าเห็นว่าดวงพระอาทิตย์เก้าดวงซึ่งเกิดขึ้นใหม่นั้น จะเป็นไฟปีศาจขึ้นรับแสงพระอาทิตย์ ถ้าเป็นดวงพระอาทิตย์เหมือนกันแล้ว ก็จะอยู่เสมอกันไม่ต่ำไม่สูงกว่ากับข้าพเจ้าอยากจะยิงเกาทัณฑ์ลองดู ถ้าเป็นไฟปีศาจจริงแล้วก็จะอันตรธานหายไป
พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังเพ่งหงีทูลดังนั้น จึงตรัสว่าเราก็ไม่ได้พิเคราะห์ดูให้ถี่ถ้วน ซึ่งท่านว่าจะยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปนั้นกลัวจะไม่ถึง เพ่งหงีจึงทูลว่าคันเกาทัณฑ์ของข้าพเจ้านั้นแข็ง คอนของหนักได้ถึงพันชั่ง ลูกเกาทัณฑ์นั้นทำด้วยเหล็ก ข้าพเจ้าเห็นว่ากำลังเกาทัณฑ์ของข้าพเจ้านั้นคงจะยิงขึ้นไปถึง พระเจ้าเงียวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น ก็พาพระญาติวงศานุวงศ์และขุนนางไป ก็เห็นดวงพระอาทิตย์เก้าดวงนั้นไม่ถนัด จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานไปเอาถาดทองคำใส่น้ำตั้งไว้ที่กลางแจ้ง พากันดูจึงเห็นดวงพระอาทิตย์เก้าดวงนั้นอยู่ต่ำกว่าดวงพระอาทิตย์เดิมลงมามาก แล้วดวงนั้นก็ไม่กลมดวงโตบ้างเล็กบ้าง พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสถามเพ่งหงีว่าคันเกาทัณฑ์ของเจ้าอยู่ไหน เพ่งหงีทูลว่าเกาทัณฑ์นั้นอยู่ที่บ้านข้าพเจ้า ๆ จะไปเอาเกาทัณฑ์เข้ามา พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสแก่เพ่งหงีว่า เราจะไปคอยอยู่ที่สระบัวนอกเมือง เจ้าจงไปเอาเกาทัณฑ์มาเร็ว ๆ เถิด ตรัสแล้วก็พาพระญาติวงศานุวงศ์และขุนนางไปคอยเพ่งหงี อยู่ที่สระบัว เพ่งหงีนั้นไปถึงบ้านแล้วก็แต่งตัวสวมเกราะถือเกาทัณฑ์ขึ้นม้าสีขาวรีบไป เห็นพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เสด็จประทับคอยอยู่ที่สระบัวนอกพระนคร ก็ลงจากหลังม้าถวายคำนับหมอบอยู่แต่ไกล พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ขุนนางผู้หนึ่งไปถามเพ่งหงีว่า เหตุอันใดจึงไม่เข้าไปเฝ้า เพ่งหงีจึงบอกว่าข้าพเจ้าสวมเกราะถืออาวุธอยู่ดังนี้ ถ้าไม่มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าแล้ว จะเข้าไปเฝ้านั้นผิดด้วยกฎหมาย อีกประการหนึ่งจะยิงเกาทัณฑ์ก็ต้องขึ้นม้ายิงจึงจะยิงได้ ขุนนางผู้นั้นก็กลับมาทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ๆ จึงรับสั่งให้ขุนนางผู้นั้นไปบอกเพ่งหงีว่าโปรดให้อนุญาตแล้วให้เข้าไปเฝ้าเถิด เพ่งหงีได้รับสั่งดังนั้นแล้วก็ขึ้นม้าเข้าไปถึงหน้าพระที่นั่ง ถวายคำนับอยู่บนหลังม้า พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เพ่งหงียิงเกาทัณฑ์ เพ่งหงีก็ขับม้าวงวงเวียนไปได้สามรอบแล้วก็ร้องประกาศแก่เทพยดาว่า เดชะบารมีพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินตั้งอยู่ในยุติธรรม ทรงพระเมตตาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะให้อยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน ถ้าบ้านเมืองผู้คนจะไม่เป็นอันตรายแล้ว ขอให้ลูกเกาทัณฑ์ขึ้นไปถูกไฟปีศาจให้อันตรธานสูญหายไป ประกาศแล้วก็ยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปถูกไฟปีศาจหายไปดวงหนึ่ง พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้กับพระญาติวงศานุวงศ์และขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันมีความยินดี แล้วเพ่งหงีก็ยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปอีกแปดครั้ง ถูกไฟปีศาจนั้นหายไปทั้งเก้าดวง ไฟปีศาจไปตกลงที่กลางแม่น้ำแล้วก็สูญหายไป ขุนนางและราษฎรทั้งปวงจึงแจ้งว่าเป็นไฟปีศาจหาใช่พระอาทิตย์ไม่ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ดีพระทัย พาพระญาติวงศานุวงศ์และขุนนางพากันกลับเข้าพระราชวัง รับสั่งให้หาเพ่งหงีเข้ามาเฝ้า แล้วตรัสว่าบ้านเมืองเราไม่มีศึกสงคราม จึงมิได้รู้ว่าผู้ใดมีฝีมือ ตรัสแล้วรับสั่งให้เพ่งหงีเป็นที่ลอกเอียงโหนายทหารใหญ่ ได้พระราชทานเงินห้าพันตำลึงแพรต่วนสีต่าง ๆ สิบพับ แล้วตรัสถามเพ่งหงีว่า ทหารในเมืองเรานี้ผู้ใดมีกำลังเหมือนเจ้าบ้าง เพ่งหงีจึงทูลว่า ทหารที่มีกำลังใช้อาวุธได้หนักถึงพันชั่งมีอยู่แปดนาย แต่ใช้อาวุธต่าง ๆ กันที่กำลังต่ำลงมากกว่าพันชั่งจนถึงสี่ร้อยห้าร้อยชั่งนั้นมีอยู่มาก ข้าพเจ้าเห็นว่าบ้านเมืองเป็นปกติไม่มีทัพศึก จึงไม่ได้นำเข้ามารับราชการ ที่ได้เข้ามารับราชการเป็นเจ้าพนักงานรักษาพระองค์นั้นมีอยู่หลายนาย
ขณะนั้นฝ่ายขุนนางผู้หนึ่ง จึงทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ว่า ราษฎรพากันว่าสัตว์กิหลินเข้ามาเที่ยวอยู่ที่เขาซูเจ๊ก พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า กิหลินนี้เป็นสัตว์ดีมีมงคล ถ้าเข้ามาในเขตแดนบ้านเมืองแล้วบ้านเมืองก็เป็นสุข ตรัสดังนั้นแล้วก็รับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะเลี้ยงพระญาติ วงศานุวงศ์และขุนนางทั้งปวงแล้วตรัสว่า แต่โบราณมาไม่ได้ยินว่ามีไฟปีศาจเกิดขึ้นที่อากาศ ไฟปีศาจเกิดขึ้นครั้งนี้เราสำคัญว่าดวงพระอาทิตย์ก็มีความเสียใจ กลัวว่าไพร่บ้านพลเมืองจะพากันเป็นอันตรายไป แล้วนักปราชญ์แต่ก่อน ๆ ท่านก็กล่าวไว้ว่ามีความสุขแล้วต่อไปข้างหน้านั้นจะเป็นสุขหรือทุกข์ก็ไม่รู้ ความข้อนี้ก็เห็นจริงเหมือนคำปราชญ์กล่าวไว้ อีกข้อหนึ่งว่ามีสุขแล้วก็คงจะมีทุกข์ พวกขุนนางจึงพากันทูลว่า การครั้งนี้อย่าว่าแต่พระองค์ทรงพระวิตกเลย พวกข้าพเจ้าและราษฎรทั้งปวงนั้นก็พากันมีความกลัวทั่วไปทั้งแผ่นดิน เดชบารมีของพระองค์จึงเผอิญให้เพ่งหงีคิดเห็นว่าเป็นไฟปีศาจแล้วก็ทำให้หายสูญไปได้ ตั้งแต่นี้ไปขอให้พระองค์มีพระชันษายืนยาวไปชั่วฟ้าและดิน จะได้ทะนุบำรุงบ้านเมืองให้เป็นที่พึ่งแกราษฎร ขออย่าให้มีการอันนี้เกิดขึ้นดังนี้อีกเลย พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสประทานพรว่า บรรดาพระญาติวงศานุวงศ์และขุนนางกับราษฎรทั้งปวงนั้น ขอให้มีความสุขทั่วกันทุกคน พระราชวงศานุวงศ์และขุนนางก็พากันคำนับรับพระพรแล้วกินโต๊ะ ครั้นกินโต๊ะแล้วพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ก็เสด็จเข้าข้างใน บรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งปวงก็พากันกลับไปบ้าน แล้วพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสบอกแก่นางซัวหงีสีฮองเฮาว่า วันนี้พวกขุนนางบอกแก่เราว่าสัตว์กิหลินเข้ามาเที่ยวอยู่ที่เขาซัวเจ๊ก เรามีความยินดีนัก ด้วยสัตว์กิหลินนี้เป็นมงคล นางซัวหงีสีฮองเฮาจึงทูลว่า พระองค์ครองราชสมบัติก็ได้เจ็ดปีมาแล้ว พระองค์ประพฤติแต่การที่ยุติธรรม เทพยดาจึงเผอิญให้สัตว์กิหลินคือราชสีห์เข้ามาเที่ยวที่เขาซูเจ๊ก แล้วฝูงค้างคาวซึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นไม้ในวังนั้นก็สาบสูญไป ด้วยสัตว์จำพวกนี้ไม่ดีมักกินเนื้อแม่ บัดนี้พระองค์ก็ตั้งอยู่ในยุติธรรมอาจป้องกันซึ่งการชั่วเสียได้ ด้วยของที่ดีนั้นก็กำจัดของที่ชั่วอยู่เอง ตั้งแต่นี้ขอให้พระองค์จงตั้งพระทัยทะนุบำรุงไพร่บ้านพลเมืองให้เป็นสุขเสมอกันอยู่ดังนี้ บ้านเมืองก็จะบริบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป