๓๓
ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ จึงตรัสแก่ขุนนางว่า เราให้เกาเหลงอุยโท้วกับบุตรเราเก้าคนไปปราบปรามหลีทำแตก จับได้น้องชายหลีทำห้าคนฆ่าเสียแล้วจะยกกองทัพไปตามจับหลีทำ ณ เมืองจอกกอก ตั้งแต่นั้นมาช้านานประมาณหลายปีแล้ว เราก็ไม่ได้ข่าวคราวประการใดอีกเลย ไทสูขุนนางจึงทูลว่าคืนนี้เวลาสองยามคนใช้ถือหนังสือลูเบงอ๋องเข้ามาแล้ว ไทสูขุนนางก็ฉีกผนึกหนังสือออกอ่านถวาย ในหนังสือมีว่า ข้าพเจ้าลูเบงอ๋อง ตีได้เมืองจอกกอกแล้ว หลีปิดหลีลอกน้องชายหลีทำถูกเกาทัณฑ์ตายในที่รบ แต่หลีทำหลีกือนั้นเชือดคอตายอยู่ในเมือง พวกราษฎรในเมืองพากันเปิดประตูเมืองรับกองทัพข้าพเจ้าลูเบงอ๋องเข้าไปในเมือง จัดแจงการบ้านเมืองเสร็จแล้วจะยกกองทัพกลับเข้ามาไม่ช้านัก
พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า เรากำจัดหลีทำพี่น้องนี้ได้แล้ว ราษฎรจะมีความสุขมากขึ้น ครั้นอยู่มาอีกแปดวัน ลูเบงอ๋องยกกองทัพกลับเข้ามาพักอยู่ที่กาเตียคือท้องสนามหลวง แล้วให้ขุนนางผู้ใหญ่ไปเฝ้า พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ทราบแล้วก็เสด็จออกที่ว่าราชการ จึงรับสั่งให้ออกไปหาลูเบงอ๋องและนายทัพนายกองเข้ามาเฝ้า แล้วจึงรับสั่งว่า เรามีความวิตกกลัวจะเสียทีแก่หลีทำพี่น้อง บัดนี้กำจัดหลีทำพี่น้องได้นั้นเรามีความยินดีนัก ตรัสดังนั้นแล้วก็ตั้งเกาเหลงอุยโท้วเป็นที่เอี้ยจงจีสำเร็จราชการฝ่ายพลเรือน ตั้งลูเบงอ๋องเป็นที่กิ๋วทวนเอียงโตจองเจียสำเร็จราชการฝ่ายทหาร ตั้งพระราชบุตรแปดองค์เป็นไต้เจียงกุนช่วยว่าราชการฝ่ายทหาร พระราชทานบำเหน็จรางวัลให้เกาเหลงอุยโท้ว และพระราชบุตรเก้าองค์นั้นคนหนึ่งเงินหมื่นตำลึง แพรสีต่าง ๆ พันพับเสมอกัน นายทัพนายกองนั้นก็ให้เลื่อนที่และพระราชทานรางวัลตามความชอบ ตั้งแต่นั้นราษฎรมีความสุขขึ้นเป็นอันมาก
ครั้นอยู่มาคืนวันหนึ่งพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปบนอากาศ ได้เห็นดาวห้าดวงมาประชุมกันอยู่ที่เทียนและเอียคือวิมาน ครั้นพระองค์เห็นดังนั้นก็มีความยินดี รุ่งขึ้นเวลาเช้าเสด็จออกที่ว่าราชการ จึงตรัสว่าเมื่อคืนนี้เราเห็นดาวห้าดวงมาประชุมกันอยู่ที่เทียนและเอียเห็นเป็นการมงคล เราคิดเห็นว่าปีหนึ่งสิบสองเดือนจะให้มีฤดูเปลี่ยนกันเป็นสี่ฤดู เดือนสามเดือนสี่เดือนห้านี้ให้เรียกว่าฤดูชุน คือฤดูต้นไม้แตกกิ่งมีดอกออกช่องามบริบูรณ์ เดือนหกเดือนเจ็ดเดือนแปดให้เรียกว่าฤดูแฮ่ คือฤดูร้อน เดือนเก้าเดือนสิบเดือนสิบเอ็ด สามเดือนนี้ให้เรียกว่าฤดูชิว คือฤดูใบไม้หล่นไม่หนาวไม่ร้อน เดือนสิบสองเดือนอ้ายเดือนยี่ สามเดือนนี้ให้เรียกว่าฤดูดัง คือฤดูหนาว เราจะให้เอาฤดูชุนนั้นเป็นฤดูต้นปี แล้วให้ผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปทั้งสี่ฤดูกว่าจะครบสิบสองเดือนเป็นปีหนึ่งจงทุกปี ท่านบาดหมายแจกไปให้ราษฎรและหัวเมืองรู้ทั่วกันจะได้เป็นที่สังเกตกำหนดไว้ในการซึ่งจะมีไปในภายหน้า ข้าราชการทั้งปวงทราบแล้วก็ทำตามรับสั่งทุกประการตั้งแต่นั้นมาราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงก็ได้รู้จักฤดูและกำหนดต่าง ๆ ได้แน่นอน ก็สรรเสริญพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ว่าทรงพระสติปัญญา ทะนุบำรุงให้ได้ความสุขเป็นอันมาก พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้นั้นแผ่อาณาเขตกว้างขวาง ตั้งแต่ทิศเหนือนั้นไปจนถึงเมืองฮิวเหลง ทิศใต้ถึงเมืองเกาจี ทิศตะวันตกถึงเมืองลีวชา ทิศตะวันออกถึงเมืองพวนมอก เมืองประเทศราชทั้งหลายซึ่งอยู่ในทิศทั้งสี่นั้นก็มาจิ้มก้องทุกปีมิได้ขาด คือนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายยอมเป็นเมืองขึ้น มีใจยินดีสามิภักดิ์รักใคร่ในพระมหากษัตริย์และบ้านเมืองก็เรียบร้อยเป็นปกติมิได้มีศึกสงคราม ไพร่บ้านพลเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข ครั้นอยู่มาพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ทรงพระประชวรหนักจวนจะสวรรคต จึงรับสั่งให้หาเกาเหลงอุยโท้วและพระราชโอรสทั้งเก้า และพระราชวงศานุวงศ์กับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้าไปเฝ้าข้างในแล้วตรัสว่า เรามีความวิตกว่าถ้าสิ้นบุญเราแล้วจะได้ผู้ใดครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์ต่อไป หัวเมืองทั้งปวงจึงจะไม่ล่วงเกินมีความหมิ่นประมาทได้ เกาเหลงอุยโท้วจึงว่า พระราชโอรสของพระองค์มีอยู่หลายพระองค์แล้วมีสติปัญญารักใคร่กัน ลูเบงอ๋องพระราชโอรสผู้ใหญ่นั้น บรรดาพระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการทั้งปวงก็รักใคร่มีใจสามิภักดิ์ ควรจะยกขึ้นให้เป็นกษัตริย์ครองศิริราชสมบัติแทนพระองค์ได้ พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า ซึ่งท่านเห็นว่าลูเบงอ๋องเป็นคนมีสติปัญญา ควรจะยกขึ้นให้เป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติได้นั้น เรามีความขอบใจท่าน ด้วยเราเห็นว่าท่านมีความรักใคร่บุตรของเรา ๆ คนนี้ควรจะเป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติได้ก็จริงอยู่ แต่สมบัติทั้งนี้พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้พระองค์ทรงพระสติปัญญามาก เห็นว่าเราจะทะนุบำรุงแผ่นดินได้ จึงได้มอบศิริราชสมบัติทั้งนี้ให้แก่เรา มิได้มอบให้แก่พระราชบุตรของพระองค์ ซึ่งเราจะยกบุตรของเราให้เป็นกษัตริย์นั้น ก็กลัวความนินทาจะเกิดขึ้นภายหลัง จะต้องหาผู้ที่มีสติปัญญามาครอบครองแผ่นดินจึงจะไม่เสียขัตติยราชประเพณี เราเห็นว่าเตียวคี้พระราชนัดดาของพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้นั้นมีอยู่คนหนึ่ง มีสติปัญญามากควรจะรักษาแผ่นดินได้ เราจะมอบราชสมบัติทั้งนี้ให้แก่เตียวคี้พระราชนัดดาพระเจ้ากิมเต้กอ๋องฮ่องเต้จึงจะควร และเตียวคี้คนนี้ได้ทำราชการอยู่ด้วยเราตั้งแต่อายุสิบห้าปี เตียวคี้มีใจมั่นคงซื่อสัตย์สุจริต ทำราชการก็มิได้ผิดพลั้งสักครั้งหนึ่ง เราจึงตั้งให้เป็นจูเฮ้าเจ้าเมืองซินก๊ก บัดนี้เตียวคี้อายุได้สามสิบปีควรจะครองราชสมบัติได้ ถ้าเราสิ้นบุญไปแล้ว ท่านจงยกเตียวคี้ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไปเถิด ซึ่งเราสั่งดังนี้บุตรและหลานอย่าได้มีความโสมนัสน้อยใจเลย ใช่ว่าเราจะไม่รักบุตรและหลานเมื่อไร แต่เราเห็นว่าสมบัติทั้งนี้เดิมเป็นของพระอัยกาเตียวคี้ แล้วการซึ่งจะรักษาแผ่นดินนั้นก็เป็นการสำคัญใหญ่หลวงอยู่
ขณะนั้นลูเบงอ๋องพระราชโอรสผู้ใหญ่จึงทูลว่า ซึ่งพระองค์ทรงรับสั่งดังนี้โดยมีพระทัยเมตตาแก่ราษฎรทั้งปวง ข้าพเจ้าพี่น้องจะขอรับพระราชทานฉลองพระเดชพระคุณกระทำตามพระทัยที่ทรงดำริไว้ แล้วข้าพเจ้าพี่น้องก็ได้ทราบอยู่ว่าเตียวคี้คนนี้เป็นคนดีมีสติปัญญามากอาจที่จะรักษาแผ่นดินได้ แล้วก็ประพฤติในสุจริตตั้งอยู่ในยุติธรรม ถ้าเตียวคี้ได้เป็นเจ้าแผ่นดินขึ้นแล้ว ข้าราชการและราษฎรก็จะได้มีความสุขเสมอเหมือนแผ่นดินของพระองค์เหมือนกัน พระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นแล้วจึงตรัสว่า ซึ่งเจ้าพูดทั้งนี้ก็ดีแล้ว สมดังใจที่เราคิดไว้ ถ้าสิ้นบุญเราแล้ว พวกพี่น้องและขุนนางทั้งปวงจงมีใจซื่อสัตย์จงรักภักดีช่วยเตียวคี้รักษาแผ่นดินต่อไป ลูเบงอ๋องกับพระราชวงศานุวงศ์น้อยใหญ่ได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็คำนับรับคำแล้วทูลลาออกมาจากที่เฝ้าข้างใน พากันตามเกาเหลงอุยโท้วไปที่บ้าน ต่างคนต่างก็กล่าวว่าพวกข้าพเจ้าทั้งนี้ฝากตัวหมายจะพึ่งบุญลูเบงอ๋องพระราชโอรสไถจู๊ใหญ่ ซึ่งลูเบงอ๋องได้ทูลดังนั้นแล้ว ลูเบงอ๋องจะไม่รักสมบัติจริงหรือจะมีอัธยาศัยประการใด หรือกลัวจะขัดพระทัยพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้ฉันใดก็ยังไม่ทราบ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะช่วยกันไปพูดจาให้ลูเบงอ๋องครองราชสมบัติให้จงได้ เกาเหลงอุยโท้วจึงตอบว่าลูเบงอ๋องนี้เป็นคนซื่อสัตย์ได้รับคำพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้แล้ว ถึงท่านทั้งหลายจะไปพูดจาว่ากล่าวให้ลูเบงอ๋องครองราชสมบัตินั้นก็เห็นจะไม่รับแล้ว ลูเบงอ๋องก็จะตรึกตรองเห็นว่าพวกท่านเป็นคนกลับกลอกพูดจาหาจริงไม่ พวกท่านก็จะพากันเป็นคนเสียไปทั้งสิ้น พระราชวงศานุวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญลูเบงอ๋องว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต แล้วก็ถามเกาเหลงอุยโท้วว่า ลูเบงอ๋องไม่ครองราชสมบัติแล้วถ้าเตียวคี้ได้ครองราชสมบัตินั้นจะดีหรือชั่วอย่างไรพวกข้าพเจ้าทั้งหลายยังไม่ทราบ เกาเหลงอุยโท้วจึงว่า เตียวคี้ผู้นี้เป็นคนที่มีสติปัญญาเมตตาจิต แล้วก็ตั้งอยู่ในสัตย์ในธรรม ควรที่จะเป็นเจ้าแผ่นดินทะนุบำรุงขุนนางและราษฎรทั้งปวงได้ พวกขุนนางได้ฟังดังนั้นก็คำนับลาเกาเหลงอุยโท้วกลับไปบ้าน ฝ่ายพระราชวงศานุวงศ์ทั้งปวงก็พากันไปพูดแก่ลูเบงอ๋องว่า ถ้าเตียวคี้ได้เป็นเจ้าแผ่นดินขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายยังหาสู้มีความสบายใจไม่ ด้วยยังมิได้เคยเห็นน้ำใจเตียวคี้เลย ท่านได้เป็นกษัตริย์แล้วจะชุบเลี้ยงพวกข้าพเจ้า หรือจะไม่ชุบเลี้ยงประการใดก็ยังไม่ทราบ ลูเบงอ๋องจึงว่าท่านทั้งหลายอย่าได้มีความวิตกเลย การครั้งนี้เหตุด้วยพระราชบิดาของเราท่านทรงพระสติปัญญาเป็นอันมาก ทรงเห็นว่าเตียวคี้เป็นคนตั้งอยู่ในยุติธรรม จึงได้รับสั่งให้ยกเตียวคี้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ๆ พระองค์ใดตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว ท่านคงเห็นว่าข้าราชการและขุนนางผู้ใดมีใจสุจริตตั้งอยู่ในสัจธรรมมีความชอบต่อแผ่นดิน ควรจะยกย่องชุบเลี้ยงให้เป็นใหญ่ ท่านก็คงจะชุบเลี้ยงยกย่องให้เป็นใหญ่ ท่านทั้งหลายอย่าได้มีความวิตกเสียใจเลย ครั้นพูดจากันแล้วเจ้าน้องทั้งหมดนั้นก็คำนับลาลูเบงอ๋องกลับไปที่อยู่ของตัว ซึ่งพระเจ้าจวนยกตี่ฮ่องเต้นั้นพระชันษาได้เก้าสิบเอ็ดปี พระองค์เสวยราชสมบัติได้เจ็ดสิบแปดปี ประชวรพระโรคหนักลงก็สิ้นพระชนม์ พระราชบุตรและพระราชวงศานุวงศ์กับพวกขุนนางทั้งปวงพากันไปจัดแจงเชิญพระศพใส่ในหีบไม้หอม แห่ไปฝังที่ตำบลตอกเอี๋ยงตามราชประเพณีพระศพกษัตริย์