๕๑

ขณะนั้นศักราชพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ห้าสิบแปด ปีจอ เดือนหก ขึ้นหกค่ำ ยังเสวยราชอยู่ บุตรนั้นรูปงาม นางจึงให้บุตรชื่ออู๋ ๆ เติบใหญ่มีสติปัญญา เสียงนั้นดังเหมือนเสียงระฆัง ครั้นอยู่มาอู๋ไปเที่ยวที่ตำบลโทวซัว มีสัตว์จำพวกหนึ่งเก้าตัวรูปคล้ายเสือปลาเรียกว่าแปะฮู้ ๆ เก้าตัวนั้นพากันมายืนอยู่ตรงหน้าอู๋ ๆ จึงคิดว่าสัตว์แปะฮู้มายืนอยู่ตรงหน้าเราทั้งนี้เป็นมงคลแก่เรา นานไปเห็นเราคงจะได้เป็นกษัตริย์เป็นแน่ แล้วพวกชาวบ้านโทวซัวพากันทำเพลงสรรเสริญบิดามารดาของอู๋มีประการต่าง ๆ ครั้นอู๋มีอายุได้สามสิบปีได้นางหนึงเคียวบุตรชาวบ้านโทวซัวเป็นภรรยา เกิดบุตรชายด้วยอู๋คนหนึ่งชื่อคีเวี้ยน ครั้นอู๋ได้ครองราชสมบัติก็ตั้งนางหนึงเคียวภรรยาเป็นฮองเฮา ตั้งคีเวี้ยนบุตรเป็นไถจู๊ แล้วตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า พระเจ้าซุ่นเต้ฮ่องเต้ได้จัดเมืองจิวขึ้นไว้สิบสองเมือง บัดนี้เราจะให้ย่นแขวงเมืองจิวนั้นเข้า แล้วเมืองหลวงจะให้เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ให้เรียกว่าเมืองแฮ่ ครั้งนั้นกรุงจีนเรียกว่าแผ่นดินแฮ่ ตรัสดังนั้นแล้วก็ให้รวมแขวงอำเภอเมืองจิวเป็นเมืองใหญ่ ให้มีเมืองจิวอยู่แต่เก้าเมืองเป็นเมืองเอก ให้ขุนนางเจ้าพนักงานทำหนังสือประกาศไปให้จูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งหลายประกาศแก่พวกราษฎรรู้ทั่วกันว่าเมืองโทเมืองตรีเมืองจัตวาขึ้นแก่เมืองจิว ครั้นมาพระองค์สั่งชาวคลังผู้หนึ่งไปจัดทองคำในคลังที่ได้รวบรวมไว้ ซึ่งหัวเมืองเข้ามาถวายเป็นราชบรรณาการแต่ก่อน ๆ นั้น สั่งให้หล่อเป็นรูปกระถางธูปเก้าใบ ข้าพเจ้าก็ไปเบิกทองคำมาแล้ว ตั้งโรงจัดแจงหล่อกระถางธูปมีเท้ามีฝาเก้าใบ ให้ชื่อว่ากิ๋วเตี้ยแปลว่ากระทะทองคำเก้าใบใส่น้ำตั้งอยู่ ปรารถนาจะให้ปรากฏไว้ว่าได้ตั้งเมืองจิวไว้แต่เก้าเมือง ประการหนึ่งให้เป็นพระเกียรติยศว่าทองคำที่หล่อนั้นล้วนแต่ทองคำในหัวเมือง ๆ นั้นนำเข้ามาถวายเป็นราชบรรณาการทั้งสิ้น ประการหนึ่งเป็นปริศนาว่าตัวกิ๋วเตี้ยนี้เป็นหลักมั่นคง เปรียบเหมือนอย่างองค์พระมหากษัตริย์ถัดลงมา ที่เป็นเท้านั้นเปรียบเหมือนขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย น้ำในกิ๋วเตี้ยเปรียบเหมือนราษฎร ถ้าเท้าไม่มั่นคงน้ำกิ๋วเตี้ยก็จะหกเทออกไปสิ้น ถ้าเท้ามั่นคงเป็นที่ค้ำจุนกันอยู่ ถ้าตัวกิ๋วเตี้ยตั้งมั่นคงตรงอยู่ได้น้ำก็ไม่หก คือว่าบ้านเมืองก็ไม่เป็นอันตรายคงได้ความสุขเจริญมากทวีขึ้นไป เป็นปริศนาให้ข้าราชการเป็นที่ระลึกอยู่เป็นนิจอย่างนี้ แล้วพระองค์ทรงอธิษฐานไว้ให้เป็นของสำหรับแผ่นดินแฮ่สืบ ๆ ไปในภายหน้า ก็มีกระทะทองคำปรากฏสืบตั้งแต่นั้นมาจนทุกวันนี้ แล้วพระองค์ตรัสแต่พวกขุนนางว่า พระนามของพระองค์นั้นให้ยกฮ่องเต้ออกเสีย ให้ใช้แต่เพียงอ๋อง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทูลว่าซึ่งจะเป็นอ๋องนั้นไม่ควร ขอพระองค์จงเป็นฮ่องเต้ตามธรรมเนียมกษัตริย์เถิด พระองค์จึงขนานนามเป็นพระเจ้าอู๋เต้ ครั้นรับสั่งดังนั้นแล้วเสด็จเข้าข้างใน พวกขุนนางก็พากันไปบ้าน ครั้นรุ่งขึ้นเช้าพระเจ้าอู๋เต้เสด็จออกว่าราชการพร้อมด้วยขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง พระเจ้าอู๋เต้จึงตรัสปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงว่า เราจะให้หาพวกจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งปวงเข้ามากระทำสัตย์ต่อเรา ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด พวกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพร้อมกันทูลว่า ซึ่งพระองค์ทรงพระราชดำริดังนี้สมควรถูกต้องตามอย่างราชประเพณีพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อน ๆ แล้ว พระเจ้าอู๋เต้ได้ทรงฟังขุนนางทั้งปวงทูลดังนั้น ก็ให้ขุนนางเจ้าพนักงานมีหนังสือไปหาตัวพวกจูเฮ้าเจ้าเมืองฝ่ายเหนือฝ่ายใต้เข้ามาประชุมกันที่ตำบลโทวซัว แล้วก็รับสั่งให้ขุนนางเจ้าพนักงานจัดรถเทียมด้วยม้าเสร็จแล้ว ก็เสด็จขึ้นทรงรถพร้อมด้วยขุนนางข้าราชการทั้งปวง เสด็จไปถึงฝั่งแม่น้ำแล้วเสด็จลงจากราชรถ พาพวกขุนนางลงเรือข้ามอ่าวไปถึงกลางแม่น้ำก็บังเกิดลมพายุใหญ่ แล้วมีมังกรเหลืองตัวหนึ่งขึ้นมาหนุนเรือพระที่นั่งเอียงเกือบจะล่ม พวกขุนนางพากันตกใจกลัว พระเจ้าอู๋เต้จึงตรัสแก่พวกขุนนางทั้งปวงว่า นิสัยธรรมดามนุษย์เกิดมาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดซึ่งจะพ้นจากความตายเลย มิใช่แต่ตัวเราท่านย่อมถึงความตายเมื่อไร ถึงคนอื่น ๆ ก็ย่อมถึงแก่ความตายด้วยกันทั้งสิ้น ความตายนั้นไม่เลือกว่าผู้ใดเข็ญใจไพร่ผู้ดีเศรษฐีกษัตริย์และขุนนาง ถ้าถึงกาลควรแก่ชีวิตแล้ว ก็ย่อมตายสิ้นด้วยกันทั้งนั้น เว้นไว้แต่ตายเร็วตายก่อนตายหลังเท่านั้น บัดนี้เราได้เป็นกษัตริย์พาพวกขุนนางมาปรารถนาจะทะนุบำรุงให้ราษฎรเป็นสุข มามีเหตุเกิดขึ้นดังนี้คือกรรมเวรของเรา ๆ จะพากันย่อท้อกลัวความตายนั้นหาควรไม่ วิสัยธรรมดาเป็นคนดีมีสติปัญญาเป็นนักปราชญ์แล้วก็ย่อมไม่กลัวแก่ความตาย ครั้นพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว มังกรนั้นก็ก้มศีรษะจมน้ำหายไป พระเจ้าอู๋เต้ก็ให้ออกเรือพระที่นั่งไปถึงฝั่งแล้วเสด็จขึ้นพักอยู่เก๋งเม่งตั้ว ณ ตำบลโทวซัว พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองฝ่ายเหนือฝ่ายใต้นั้นมารับเสด็จพร้อมกันทั้งยี่สิบสี่หัวเมือง คือจูเฮ้าเจ้าเมืองชื่ออิวเช่าเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อซุยยีนเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อซีนมินเฮาเมืองหนึ่ง ชื่ออึงซินเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อออติเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อฮองทำเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อคีท่องเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อไต้กุนเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อไต้เภกเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อเจียวเม่งเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อหลีเล่งเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อเอียมเซงเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อคงซวงเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อตกกวางเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อจอกซัวเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อท้ายอิดเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อเอียนจือเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อคิดอีเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อปีลังเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อตงโหวเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อบู๊ลิบเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อฮีอุ้ยเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อเดาดินเฮาเมืองหนึ่ง ทั้งยี่สิบสี่หัวเมืองพากันเข้าเฝ้าพระเจ้าอู๋เต้ ๆ จึงตรัสว่า พระเจ้าซุ่นเต้ฮ่องเต้ยกราชสมบัติให้แก่เรานั้น ท่านทั้งหลายอย่าได้มีความรังเกียจเลย จงช่วยกันทะนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้เป็นสุขเหมือนเมื่อครั้งพระเจ้าซุ่นเต้ฮ่องเต้ยังมีพระชนม์อยู่นั้นเถิด พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองได้รับสั่งดังนั้นกราบถวายคำนับและกระทำสัตย์ถวายพระเจ้าอู๋เต้พร้อมกันตามราชประเพณีกษัตริย์สืบ ๆ มาแต่ก่อน แล้วพระเจ้าอู๋เต้จึงตรัสแก่พวกจูเฮ้าว่า ตั้งแต่นี้ไปให้ทำสัญญาขึ้นไว้สำหรับบ้านเมือง ๆ ละห้าอย่าง ๆ หนึ่งเรียกว่าเจงคือระฆัง อย่างหนึ่งเรียกว่าโกวคือกลอง อีกสามอย่างนั้นเมืองไทยไม่มี คำจีนเรียกว่า เข่งอย่างหนึ่ง เรียกว่าตัดอย่างหนึ่ง เรียกว่าเตียวอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่าเข่งนั้นมีสัณฐานรูปเหมือนระฆัง แต่ว่าแบนไม่มีช่องกลางเหมือนระฆัง ถ้าตีแล้วก็ดังแปลก ระฆังที่เรียกว่าตัดนั้นรูปคล้ายระฆังย่อม ๆ แต่มีเหล็กห้อยอยู่ในกลางสำหรับตีเมื่อมีเหตุ ที่เรียกว่าเตียวนั้นรูปกลมรอบดังคล้าย ๆ กลองย่อม ๆ แล้วรับสั่งให้ช่างเอาทองเหลืองซึ่งเป็นของหลวงนั้นมาหล่อเป็นระฆังใหญ่และหล่อเป็นเข่งและตัด และให้เอาไม้และหนังมาทำเป็นกลองให้พวกจูเฮ้าทั้งปวง แล้วรับสั่งให้ประกาศราษฎรทั้งปวงทราบว่า ถ้าราษฎรมีกิจธุระมาพูดจาสั่งสอนด้วยการอันเป็นมงคลสุภาษิตแล้ว ก็ให้ตีโกวคือกลองใหญ่นั้นขึ้น ถ้าจะมาพูดจาด้วยกตัญญูซื่อสัตย์อันเป็นการมงคลแก่แผ่นดินแล้ว ก็ให้ตีเจงคือระฆังใหญ่นั้นขึ้น ถ้าผู้ใดจะมีกิจธุระต่าง ๆ จะมาปรึกษาว่ากล่าวประการใด ก็ให้ชักสายเหล็กที่ในตัดนั้นขึ้น ถ้าผู้ใดมีทุกข์ภัยและเหตุต่าง ๆ บังเกิดขึ้นแล้ว ก็ให้ตีเข่งที่รูปเหมือนระฆังนั้นขึ้น ถ้าผู้ใดเป็นถ้อยความจะมาร้องฟ้องกล่าวโทษกันประการใด ก็ให้ตีเตียวที่รูปกลมเสียงดังคล้ายกลองย่อม ๆ นั้นขึ้น รับสั่งดังนั้นแล้วก็ให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะเลี้ยงจูเฮ้าและพวกขุนนางในที่เฝ้าพร้อมกัน ครั้นเลี้ยงโต๊ะเสร็จแล้ว พวกจูเฮ้าและขุนนางทั้งปวงก็ถวายคำนับลาพากันไปที่อยู่แห่งตน ครั้นรุ่งขึ้นเช้าพวกจูเฮ้าทั้งปวงต่างคนต่างพากันเข้าเฝ้าทูลลากลับไปบ้านเมืองของตน แล้วพระเจ้าอู๋เต้เสด็จคืนเข้าพระนคร

ฝ่ายพวกจูเฮ้าทั้งปวงนั้น ครั้นกลับไปถึงเมืองแล้วก็ตั้งใจสามิภักดิ์ต่อพระเจ้าอู๋เต้โดยสุจริต เมื่อพระเจ้าอู๋เต้เสด็จกลับเข้าพระนครแล้ว ครั้นพระองค์เสด็จมาถึงกลางทางได้ทอดพระเนตรเห็นนักโทษพวกหนึ่งอยู่ริมถนน ก็เสด็จลงจากราขรถตรัสถามนักโทษนั้นว่าเป็นโทษด้วยเหตุอันใด นักโทษจึงทูลว่าข้าพเจ้าทำชั่วผิดจากบทพระราชบัญญัติจึงต้องโทษ พระเจ้าอู๋เต้มีพระทัยเวทนาทรงพระกันแสง พวกขุนนางจึงทูลว่า พระองค์อย่าได้ทรงกันแสงด้วยคนโทษนั้นเลย ด้วยคนเหล่านี้กระทำความผิดเขาจึงได้ทำโทษไว้ พระเจ้าอู๋เต้จึงตรัสว่า ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเงี่ยวเต้ส่องเต้นั้น ราษฎรพากันมีใจบริสุทธิ์ประพฤติเป็นยุติธรรม บัดนี้เราได้เป็นกษัตริย์ราษฎรพากันทำความชั่วต้องโทษดังนี้ เรามีความเวทนาเศร้าหมองในใจของเราเอง ตรัสดังนั้นแล้วรับสั่งให้เจ้าพนักงานปล่อยนักโทษ แล้วพระราชทานโอวาทสั่งสอนนักโทษนั้นอย่าให้ทำความชั่วต่อไป แล้วให้ขุนนางเจ้าพนักงานไปเบิกทองคำหลวงที่ตำบลและซัวมาประทานให้นักโทษนั้นทุกคนแล้วเสด็จเข้าพระนคร รับสั่งให้ช่างทำกลองและระฆังรวมห้าอย่างสำหรับไว้ในเมืองหลวงเหมือนอย่างรับสั่งให้หัวเมืองทั้งปวงทำนั้น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ