๔๕

ฝ่ายพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เห็นเช่าฮู้เดินหนีไปก็เสียพระทัย เสด็จขึ้นรถพร้อมด้วยข้าราชการเสด็จกลับเข้าพระราชเก๋ง ครั้นเวลารุ่งเช้าเสด็จออกว่าราชการตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เวลาวานนี้เรามีความอุตส่าห์ออกไปรับเช่าฮู้ หมายว่าจะให้เช่าฮู้ครองราชสมบัติแทนตัวเรา เช่าฮู้ก็ไม่รับธุระ ท่านทั้งปวงจะคิดประการใดจึงจะได้เช่าฮู้เข้ามาครองราชสมบัติ

ขณะนั้นขุนนางผู้หนึ่งจึงทูลว่า ยังมีชายผู้หนึ่งชื่อเค้าอิ้ว ๆ เป็นคนรักใคร่กันกับเช่าฮู้ซึ่งอยู่ที่เขากิซัวใหญ่ แล้วเค้าอิ้วก็ประพฤติตัวคล้าย ๆ เหมือนกัน ขอพระองค์ได้รับสั่งให้เค้าอิ้วนั้นไปว่ากล่าวอ้อนวอนเช่าฮู้ซึ่งอยู่ที่เขากิซัว ถ้าเช่าฮู้ไม่ยอมรับราชสมบัติจริงแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าเค้าอิ้วก็เป็นคนมีเมตตาจิตสมควรจะทะนุบำรุงราษฎรเป็นเจ้าแผ่นดินแทนพระองค์ได้ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ดีพระทัยแล้วตรัสว่า ท่านก็รู้จักตัวเค้าอิ้วแล้วจงช่วยไปพูดจาแก่เค้าอิ้วด้วยเถิด ขุนนางผู้นั้นก็ถวายคำนับลาไปหาเค้าอิ้ว พบเค้าอิ้วแล้วจึงแจ้งความที่พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ตรัสปรึกษาและรับสั่งใช้ให้มาสิ้นทุกประการ เค้าอิ้วได้ฟังขุนนางมาพูดดังนั้นจึงตอบว่า เชิญท่านพักอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าสักราตรีหนึ่งก่อน ข้าพเจ้าจะขอผ่อนทุเลาไปหาเช่าฮู้ ถ้าพบตัวเช่าฮู้แล้วจึงจะค่อยพูดค่อยจาอ้อนวอนดูก่อน แล้วจะได้ฟังถ้อยคำเช่าฮู้ดูเช่าฮู้จะว่ากล่าวประการใด จึงจะกลับมาบอกให้ท่านทราบต่อภายหลัง เค้าอิ้วว่าดังนั้นแล้วก็ไปหาเช่าฮู้ที่เขากิซัว พอเวลาค่ำก็ถึงที่อยู่เช่าฮู้ เห็นประตูและหน้าต่างห้างปิดเงียบสงัดอยู่ เค้าอิ้วจึงร้องเรียกให้เช่าฮู้เปิดประตูรับ

ฝ่ายเช่าฮู้อยู่บนห้างได้ยินเสียงร้องเรียก จึงเปิดหน้าต่างห้างมองดูเห็นเค้าอิ้วซึ่งเป็นเพื่อนรัก จึงร้องเรียกให้ขึ้นไปบนห้าง เค้าอิ้วก็ขึ้นไปบนห้างต่างคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียม แล้วเช่าฮู้จึงถามว่าน้องมาหาพี่ด้วยมีธุระสิ่งใดหรือ อย่าเกรงใจจงเล่าไปเถิด ถ้าควรพี่จะช่วยธุระได้ก็ได้ช่วยธุระ เค้าอิ้วจึงบอกว่าข้าพเจ้ามาหาท่านครั้งนี้ เพราะเหตุด้วยพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ทรงพระชราแล้ว พระองค์ทรงพระวิตกถึงราษฎร จะหาผู้ที่ประพฤติเป็นยุติธรรมก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นว่าท่านเป็นคนยุติธรรมควรที่จะทะนุบำรุงราษฎรได้ จึงจะยกราชสมบัติมอบให้แก่ท่านเป็นเจ้าแผ่นดินแทนพระองค์ จึงรับสั่งใช้ให้ขุนนางออกมาบอกให้ข้าพเจ้าช่วยว่ากล่าวแก่ท่านจะให้ท่านเป็นกษัตริย์ ถ้าท่านไม่ยอมรับราชสมบัติจริงแล้วก็ยกราชสมบัตินั้นมอบให้แก่ข้าพเจ้าเป็นเจ้าแผ่นดินต่อไป เพราะเหตุด้วยธุระเท่านี้ข้าพเจ้าจึงได้มาปรึกษาแก่ท่าน ๆ จะเห็นเป็นประการใด เช่าฮู้ได้ฟังเค้าอิ้วมาว่ากล่าวดังนั้นก็โกรธ แล้วด่าเค้าอิ้วเป็นข้อหยาบช้าต่าง ๆ แล้วว่าเหตุใดท่านจึงเอาความที่เราไม่ชอบใจมาว่ากล่าวให้เราฟังดังนี้อีกเล่า การซึ่งพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้มีความวิตกอยู่ในการสมบัติสิ่งนี้ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ออกมาว่ากล่าวแก่เราครั้งหนึ่งแล้วเราก็ไม่รับธุระ บัดนี้ท่านรับธุระพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้มา ท่านจะเอาธุระของพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้มามอบให้แก่เรา จะให้เรารับทุกข์แทนพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้นั้นท่านเห็นดีแล้วหรือ บัดนี้พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ให้คนไปว่ากล่าวแก่ท่าน ๆ รับทุกข์รับธุระพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้มา ท่านไม่รู้จักรักษาตัวและชื่อ ทำให้เขารู้จักชื่อเสียงเรา ประการหนึ่งเป็นกษัตริย์นั้นเป็นการรำคาญใจใหญ่หลวงอยู่ เราพิเคราะห์ดูตัวท่านเหมือนดังจะหลีกเลี่ยงเอาตัวรอดให้พ้นจากความรำคาญใจ ท่านจะให้เราประพฤติตามใจพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้หรือ ๆ จะให้ประพฤติตามใจของเรา ว่าแล้วก็ลุกขึ้นผลักเค้าอิ้วว่า จงไปเสียให้พ้นจากที่อยู่ของเรา ๆ ไม่ขอฟัง อย่าได้มาพูดจาว่ากล่าวการดังนี้แก่เราอีกเลย เค้าอิ้วได้ฟังดังนั้นเห็นเช่าฮู้โกรธจนหน้าแดง ไม่รับธุระเป็นกษัตริย์แน่แล้ว จึงคิดว่าเช่าฮู้ก็เป็นคนดีมีปัญญามากกว่าเรา ๆ ก็นับถือรักใคร่เช่าฮู้เหมือนดังเป็นพี่ แต่การที่เป็นกษัตริย์นี้เช่าฮู้ไม่มีความปรารถนาแล้ว การอันนี้คงเป็นการที่นักปราชญ์ไม่สรรเสริญเป็นแท้ ซึ่งเช่าฮู้ไม่รับเป็นกษัตริย์แล้ว ตัวเราจะรับเป็นกษัตริย์นั้นที่ไหนจะได้ จะมิเป็นการรำคาญใจไม่ดียิ่งขึ้นไปอีกหรือ เค้าอิ้วคิดแล้วก็มิได้มีความโกรธตอบและมิได้ว่ากล่าวประการใดต่อไป แล้วเค้าอิ้วก็คำนับลาเช่าฮู้กลับมาบ้าน แล้วบอกความแก่ขุนนางนั้นว่าเช่าฮู้ไม่รับเป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าก็เหลือปัญญาที่จะอ้อนวอนแล้ว ถึงตัวข้าพเจ้านี้เล่าก็ได้อาศัยแผ่นดินของพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้อยู่ หาผลไม้และน้ำท่าอาหารพอรับประทานเป็นสุขอยู่แล้ว ข้าพเจ้าขอแต่เป็นข้าแผ่นดินพึ่งต่อไป ซึ่งจะให้ข้าพเจ้ารับการใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดินต่อไป สติปัญญาข้าพเจ้าโฉดเขลาความคิดก็น้อย ทุกวันนี้ข้าพเจ้าพึ่งบารมีพระเจ้าแผ่นดินได้เป็นสุขมากอยู่แล้ว พระเจ้าแผ่นดินมีพระเดชพระคุณแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้ เชิญท่านกลับไปทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ให้ทรงทราบตามคำข้าพเจ้าเถิด ขุนนางผู้นั้นได้ฟังเค้าอิ้วว่าดังนั้นแล้วก็จนใจไม่รู้ที่จะว่ากล่าวประการใด ก็ลาเค้าอิ้วเข้ามาเฝ้าทูลตามถ้อยคำเค้าอิ้วทุกประการ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ตัวเราไม่ได้ไปพูดจาด้วยเค้าอิ้ว ๆ จะมีความน้อยใจจึงไม่รับ ควรที่เราต้องไปพูดเองจึงจะได้ ขุนนางผู้หนึ่งจึงทูลว่าถึงพระองค์จะทรงพระราชดำเนินไปว่ากล่าวแก่เค้าอิ้ว ๆ ก็คงจะไม่รับเป็นกษัตริย์แทนพระองค์เป็นแน่ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า ท่านอย่าเพิ่งพูดล่วงหน้าไปก่อนเราจะออกไปเอง พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จเข้าข้างใน สำรวมพระทัยไม่เสวยของที่มีชีวิตสามวัน

ฝ่ายเค้าอิ้วตั้งแต่ได้ฟังถ้อยคำเช่าฮู้ว่าแล้วกลับมาเล่าความให้ขุนนางผู้นั้นฟังดังนั้น ครั้นขุนนางผู้นั้นกลับไปพระราชวังแล้ว เค้าอิ้วมีความรำคาญมิได้สบายใจเลย จึงคิดว่าถ้าเราจะนิ่งอยู่ที่บ้านเรือนเราดังนี้ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ก็จะรับสั่งใช้ให้ขุนนางมาว่ากล่าวแก่เราด้วยเรื่องเป็นกษัตริย์เป็นแน่ ก็จะเป็นที่รำคาญกวนใจเราบ่อย ๆ คิดแล้วเค้าอิ้วก็พาภรรยาหนีไปอยู่ที่เขากิซัวตามสบายใจ

ฝ่ายพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ครั้นพระองค์สำรวมพระทัยไม่เสวยของที่มีชีวิตครบสามวันแล้ว จึงเสด็จออกข้างหน้ารับสั่งข้าราชการว่าวันนี้เราจะไปหาเค้าอิ้ว ท่านทั้งปวงจงตระเตรียมไว้ให้พร้อม ครั้นขุนนางข้าราชการเตรียมพร้อมแล้วพระองค์ก็รับสั่งให้ขุนนางผู้ที่ไปหาเค้าอิ้วแต่ก่อนนั้นเป็นผู้นำเสด็จ ส่วนพระองค์ทรงม้าพระที่นั่ง ครั้นเสด็จพระราชดำเนินไปเกือบจะใกล้ถึงบ้านเค้าอิ้วแล้ว จึงตรัสถามขุนนางที่นำเสด็จว่าเกือบจะถึงบ้านเค้าอิ้วหรือยัง ขุนนางผู้นั้นก็ทูลแล้วชี้บ้านเค้าอิ้วให้ทรงทราบ ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงบ้านเค้าอิ้วแล้วเห็นประตูเรือนปิดอยู่ จึงรับสั่งให้ขุนนางไปสืบถามชาวบ้าน ๆ บอกว่าเค้าอิ้วไปอยู่ที่ตำบลเขากิซัวได้สามวันแล้ว ขุนนางก็กลับมาทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ๆ ก็อุตส่าห์เสด็จพระราชดำเนินพาข้าราชการไปหาเค้าอิ้วถึงตำบลเขากิซัว ได้ทอดพระเนตรเห็นเค้าอิ้วกับภรรยาอยู่ที่เขากิซัว แต่ภรรยาเค้าอิ้วนั้นนั่งทำการเย็บเสื้อและผ้า และตากเสื้อตากผ้าบ้าง พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จะได้ทรงรู้จักตัวเค้าอิ้วหามิได้ แต่ว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ทรงพระสติปัญญาละเอียด พอทอดพระเนตรเห็นเค้าอิ้วมีลักษณะดี ก็ทรงทราบในพระทัยว่าชายผู้นี้เห็นจะชื่อเค้าอิ้วเป็นแน่ แต่พระองค์ยังไม่ไว้พระทัย จึงตรัสถามขุนนางผู้นำเสด็จว่าชายผู้นี้หรือมิใช่ที่ชื่อเค้าอิ้ว ขุนนางผู้นั้นก็กราบทูลว่าที่ชื่อเค้าอิ้วนั้นคือชายผู้นี้ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงพระโสมนัส จึงเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปหาเค้าอิ้ว แล้วประสานพระหัตถ์เป็นที่คำนับแล้วตรัสว่า ข้าพเจ้าทุกวันนี้ได้ทะนุบำรุงราษฎร ๆ ได้มีความสุขเพราะข้าพเจ้า ๆ คิดทะนุบำรุงราษฎรและแผ่นดินอยู่เสมอเป็นนิจ บัดนี้ข้าพเจ้าก็แก่ชราลงแล้ว ข้าพเจ้ามีปัญญาเปรียบเหมือนแสงไฟอันน้อย ยังส่องราษฎรทั่วถึงกันไม่ ไม่ช้าแสงนั้นก็จะดับไป เปรียบเหมือนข้าพเจ้ามีปัญญาน้อยแล้วก็ชราลงแล้ว ไม่ช้านานก็จะสิ้นอายุ ครั้นข้าพเจ้าสิ้นอายุแล้วราษฎรก็จะหาความสุขมิได้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าพิจารณาดูมิได้เห็นผู้ใดเลยที่จะครองราชสมบัติทะนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุขได้ ข้าพเจ้าเห็นแต่เช่าฮู้กับตัวท่านทั้งสองนี้ ควรจะครองราชสมบัติทะนุบำรุงราษฎรและแผ่นดินให้เป็นสุข ซึ่งเช่าฮู้นั้นก็มิได้รับครองราชสมบัติแล้ว แต่ตัวท่านควรจะครองราชสมบัติได้ ด้วยตัวท่านเปรียบเหมือนหนึ่งดวงพระอาทิตย์ที่ส่องโลกให้สว่างทั่วทิศานุทิศ ธรรมดาว่าพระอาทิตย์นั้นย่อมแผ่รัศมีส่องโลกให้สว่างให้มนุษย์ทั้งปวงปราศจากความมืด ถ้าท่านรับครองราชสมบัติแล้ว ก็คงจะกรุณาให้ราษฎรมีความสุขปราศจากทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น อนึ่งตัวท่านก็เป็นผู้มีสติปัญญามาก ซึ่งข้าพเจ้าจะปิดบังเสียนั้นไม่ควรเลย ควรแต่ที่จะยกราชสมบัติให้แก่ท่านจึงจะชอบ เหตุดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้มาเชิญท่านไปเป็นกษัตริย์ จะได้ทะนุบำรุงราษฎรแทนตัวข้าพเจ้าต่อไป ขอท่านจงได้มีเมตตาแก่ราษฎรรับเป็นกษัตริย์เถิด เค้าอิ้วจึงทูลว่า บัดนี้พระองค์รักษาบ้านเมือง ๆ ก็เป็นสุขปกติดีอยู่แล้ว ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์แทนพระองค์นั้น ตัวข้าพเจ้าเปรียบเหมือนหนึ่งนกน้อย ธรรมดาว่านกตัวน้อยก็ต้องทำรังอยู่ที่กิ่งไม้น้อย ๆ แต่พอตัว อนึ่งเปรียบเหมือนหนูน้อย ๆ นั้นถึงแม่น้ำใหญ่กว้างสักเท่าใด ถ้าจะกินน้ำแล้วก็กินแต่พอท้อง จะนึกว่าน้ำตามลำคลองมีมากจะกินให้มากก็ไม่ได้ด้วยตัวนั้นเล็ก อนึ่งตัวข้าพเจ้าก็เป็นคนชาวป่าชาวดง จะประพฤติการใหญ่ให้เกินแก่กำลังของตัวนั้นไม่ได้ ถ้าขืนประพฤติการเหลือกำลังของตัวแล้วก็จะได้ความทุกข์และความเดือดร้อนมาถึงตัว ซึ่งพระองค์จะให้ข้าพเจ้ารับเป็นกษัตริย์นั้นข้าพเจ้ารับไม่ได้ เค้าอิ้วว่าแล้วก็เดินหลีกหนีเข้าไปเสียในป่า

ฝ่ายพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสแก่ขุนนางว่า คนทั้งสองนี้เขาคิดว่าตัวเรามาหลงอยู่ในราชสมบัติดังนี้เหมือนหนึ่งคนไม่มีปัญญา เรามีความละอายแก่ชายทั้งสองนัก ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จกลับเข้าพระราชวัง เวลาวันหนึ่งเสด็จออกว่าราชการจึงตรัสแก่ขุนนางว่า ธรรมดาว่าแผ่นดินนี้ก็เป็นของราษฎร แต่ราษฎรต้องอาศัยพึ่งกษัตริย์องค์เดียวเป็นหลัก ถ้ากษัตริย์ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว อาณาประชาราษฎรก็หาความสุขมิได้ เปรียบเหมือนคนไข้หนักหมอจะรักษานั้นก็ต้องแมะเส้นดูชีพจรสิ่งเดียว ถ้าชีพจรพิรุธพิการแล้วไข้นั้นก็หนักมากถึงแก่ความตาย อนึ่งแม้นมีเจ้าแผ่นดินไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้วก็เหมือนโลกไม่มีดวงพระอาทิตย์ ด้วยชีวิตข้าราชการและราษฎรอยู่ในอำนาจพระเจ้าแผ่นดินทั้งสิ้น เรามีความวิตกมากนัก ด้วยเรามีบุตรอยู่ผู้เดียวชื่อว่าไถจู๊ตันจูนั้นก็เป็นคนเขลา มิได้มีปัญญาสอดส่องไปให้ตลอดในเหตุทั้งปวงได้ ซึ่งเราจะยกราชสมบัติให้แก่ไถจู๊ตันจูนั้นก็เหมือนเรารักแต่บุตรเราผู้เดียวหารักราษฎรทั้งปวงไม่ นานไปราษฎรก็จะไม่มีความสุข แล้วเราได้ยินข่าวว่าเช่าฮู้เค้าอิ้วทั้งสองนี้มีสติปัญญาเป็นนักปราชญ์ตั้งอยู่ในยุติธรรม เรามีความดีใจอุตส่าห์ออกไปหาชายทั้งสองเชื้อเชิญให้เป็นกษัตริย์ ชายทั้งสองก็มิได้รับ ทุกวันนี้เราจึงได้มีความทุกข์ความวิตกมาก ท่านทั้งปวงอย่าได้เพิกเฉยนิ่งนอนใจเลย จงช่วยเราคิดด้วยพากันเที่ยวสืบเสาะแสวงหาท่านผู้มีสติปัญญาที่อยู่ในยุติธรรมให้แก่เราให้จงได้ ด้วยทุกวันนี้เราก็ชราลงมากแล้ว ชีวิตเรานี้อยู่ไม่นานเพราะชราลง ซึ่งเราว่ากล่าวแก่ท่านทั้งปวงดังนี้ ปรารถนาจะให้มีความสุขด้วยกัน ท่านทั้งปวงอย่าได้สงสัยเราว่าเรากล่าวโดยกลอุบายเลย พวกขุนนางจึงทูลว่า ท่านผู้มีสติปัญญาและเป็นยุติธรรมนั้นก็สืบได้สองคนแล้ว ท่านก็ไม่ยอมรับครองราชสมบัติ ขอพระองค์จงได้มอบราชสมบัติให้แก่ไถจู๊ตันจูพระราชบุตรนั้นเถิด พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า เพราะเราเห็นว่าบุตรของเรานั้นรักษาแผ่นดินไปไม่ตลอดได้ เราจึงได้บอกแก่ท่านทั้งปวงให้ทราบก่อน ซึ่งท่านว่าดังนี้เพราะท่านรักแต่บุตรเราคนเดียวไม่รักราษฎรทั้งปวง พวกขุนนางจึงทูลว่า ซึ่งความดีและความชั่วของไถจู๊ตันจูพระราชบุตรก็ยังไม่ปรากฏ แต่ธรรมดาว่าบิดากับบุตรนั้นบิดาก็ย่อมรู้ความดีและชั่วของบุตร บุคคลอื่นจะรู้นั้นหามิได้ ซึ่งพระองค์มิยอมยกราชสมบัติให้ไถจู๊ตันจูพระราชบุตร และจะให้ข้าพเจ้าทั้งปวงหาท่านผู้มีสติปัญญาอยู่ในยุติธรรมนั้นต่อไปอีกให้จงได้ ข้าพเจ้าเห็นอยู่อีกคนหนึ่งชื่อไต้ซุ่น ๆ สำนักอยู่ที่ริมเขาเล็กซัว ไต้ซุ่นผู้นี้เป็นคนกตัญญูต่อบิดามารดา มีกริยาเรียบร้อย ขอพระองค์จงให้หาเข้ามาเถิด พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า เดิมเราก็ได้รู้อยู่นานแล้วว่าไต้ซุ่นคนนี้เป็นคนผู้กตัญญูต่อบิดามารดา แต่หากว่าเราลืมไป มาบัดนี้ครั้นท่านพูดออกชื่อขึ้นจึงนึกได้ และไต้ซุ่นคนนี้เราเห็นว่าควรจะรักษาแผ่นดินเป็นกษัตริย์ได้ เหตุว่าถ้าผู้ที่มีกตัญญูดังนี้แล้วได้เป็นเจ้าแผ่นดินหรือเป็นขุนนาง ก็จะตั้งอยู่ในธรรมซื่อสัตย์สุจริต ราษฎรก็จะมีความสุข ครั้นตรัสดังนั้นแล้วก็รับสั่งให้ซีงักขุนนางผู้ใหญ่ไปหาตัวไต้ซุ่นเข้ามาเฝ้า

ฝ่ายซีงักได้รับสั่งแล้วก็คำนับลาไปหาไต้ซุ่นได้สิบวันสิบคืนถึงตำบลเขาเล็กซัว พบไต้ซุ่นแล้วก็คำนับกันตามธรรมเนียม แล้วซีงักจึงพูดเกลี้ยกล่อมไต้ซุ่นว่า บัดนี้พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ก็ทรงพระชราแล้ว ไถจู๊ตันจูพระราชบุตรนั้นก็เป็นคนเขลาไม่มีสติปัญญา พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงได้ทรงพระวิตก อยากจะหาผู้ที่มีสติปัญญาตั้งอยู่ในยุติธรรม ให้มาช่วยดูแลทะนุบำรุงราษฎรเป็นที่ไว้พระทัยต่างพระเนตรพระกรรณ แต่พระองค์ทรงพระวิตกแสวงหามาช้านานแล้วก็มิได้เห็นผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งจะช่วยทะนุบำรุงราษฎรให้เป็นสุขได้ พระองค์ทรงทราบข่าวเล่าลือมีผู้สรรเสริญท่านว่า ท่านเป็นคนกตัญญูตั้งอยู่ในสัตย์ในธรรม พระองค์ทรงพระยินดีนัก จึงรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านเข้าไปรับราชการใหญ่ในเมืองหลวง หวังจะให้ท่านช่วยทะนุบำรุงแผ่นดินและราษฎรต่างพระเนตรพระกรรณแทนพระองค์ ความซึ่งพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จะมอบราชสมบัตินั้น ซีงักมิได้พูดจาให้ไต้ซุ่นรู้ตัว เหตุกลัวว่าไต้ซุ่นรู้แล้วไต้ซุ่นก็จะพูดจาบิดพลิ้วเสียไม่ยอมเข้าไป ซีงักจึงได้พูดจาเกลี้ยกล่อมแต่เพียงจะให้เป็นขุนนางช่วยว่าราชการเท่านั้น

ฝ่ายไต้ซุ่นได้ฟังดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นชาวป่าชาวดอย ไม่ควรที่จะรับราชการใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดินได้ เพราะเหตุว่ามิได้รู้จักการงานที่สูงที่ต่ำที่ผิดและชอบ ข้าพเจ้ามิได้เต็มใจที่จะเข้าไปรับราชการเลย ประการหนึ่งบิดามารดาข้าพเจ้าก็ยังมีอยู่ ข้าพเจ้าขอแต่ปฏิบัติบิดามารดาเท่านั้น แต่ยังมิได้โอกาสข้าพเจ้าจึงได้มาอยู่เสียตำบลนี้ ซีงักจึงตอบว่าซึ่งท่านกตัญญูปรารถนาจะปฏิบัติบิดามารดานั้นก็เป็นการอันดีชอบอยู่แล้ว แต่นิสัยธรรมเนียมอยู่ในแผ่นดินเป็นข้าแผ่นดินแล้วก็ต้องถนอมน้ำพระทัยพระเจ้าแผ่นดินอย่าให้กริ้วได้จึงจะควร ถ้าพระเจ้าแผ่นดินกริ้วกระทำโทษแล้ว การกตัญญูคิดที่จะปฏิบัติบิดามารดานั้นก็จะเสื่อมไปจะมิได้สำเร็จ ดังความคิดซึ่งเราว่ากล่าวทั้งนี้ ท่านผู้มีสติปัญญาจงพิจารณาตรึกตรองดูเถิด ไต้ซุ่นได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ถ้าเราจะไม่เข้าไปเฝ้าแม้นทรงกริ้วจะมีโทษ แล้วก็จะหาได้ปฏิบัติบิดามารดาไม่ ไต้ซุ่นคิดว่าจะไม่เข้าไปเฝ้าก็กลัวว่าจะมีโทษจึงได้เข้าไปกับซีงัก ๆ ก็พาไต้ซุ่นเข้าไปยังเมืองหลวง

ขณะนั้นพอเวลาค่ำก็ถึงเมืองหลวง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าเป็นเวลาเข้าเฝ้า ซีงักก็เข้าเฝ้าแต่ผู้เดียว พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เห็นซีงักขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาเฝ้าดีพระทัยจึงตรัสถามว่า เราให้ท่านไปเชิญไต้ซุ่นนั้นได้ไต้ซุ่นมาแล้วหรือ ซีงักพูดว่าได้ตัวไต้ซุ่นเข้ามาแล้ว แต่ไต้ซุ่นยังไม่มีโอกาสจึงไม่อาจเข้ามาเฝ้า พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงรับสั่งว่าให้ไต้ซุ่นเข้ามาเฝ้าเถิด ซีงักก็ถวายคำนับลาออกไปพาไต้ซุ่นเข้ามาเฝ้า ไต้ซุ่นก็เข้ามาเฝ้าตรงหน้าพระที่นั่ง แต่ว่าหมอบอยู่ที่หน้าพระลานนอกตำแหน่ง พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตรเห็นไต้ซุ่นเป็นคนมีลักษณะดีผิดกว่าคนทั้งปวง จึงเสด็จลงจากพระที่นั่งไปจูงมือไต้ซุ่นให้นั่งในที่อันสมควรชิดพระองค์แล้วตรัสว่า เราทุกวันนี้มีความชรามาเบียดเบียนมากอยู่แล้ว คิดจะหาผู้ที่มีสติปัญญามาเป็นที่ปรึกษาก็มิได้เห็นผู้ใด เห็นแต่ท่านผู้เดียว จึงให้ไปเชิญท่านมา ปรารถนาจะให้เป็นที่ปรึกษาด้วยราชการบ้านเมือง คือธรรมดาว่าเป็นกษัตริย์แล้ว จะประพฤติอย่างไรราษฎรจึงจะมีความสุขด้วยกันทั้งแผ่นดิน ไต้ซุ่นได้ฟังรับสั่งถามดังนั้นจึงทูลว่า นิสัยธรรมดาเป็นกษัตริย์นั้นก็ต้องประพฤติอยู่ในสิ่งสามประการ คือจับสิ่งหนึ่งอย่าให้พลาดประการหนึ่ง คือพิเคราะห์ทางความให้ละเอียดเป็นหลักเป็นฐานนั้นประการหนึ่ง คือมีความกตัญญูซื่อสัตย์อย่าให้เกียจคร้านประการหนึ่ง ทั้งสามอย่างนี้ ถ้าเป็นกษัตริย์แล้วก็ต้องประพฤติให้เสมอจึงจะรักษาแผ่นดินได้ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสถามไต้ซุ่นว่า ท่านพูดอย่างนี้เรายังไม่แจ้งใจมีความสงสัยนัก ท่านยังจะมีอธิบายประการใดต่อไป ซึ่งท่านกล่าวว่าจับสิ่งหนึ่งอย่าให้พลาดนั้นคือจะได้แก่สิ่งอันใด ไต้ซุ่นจึงทูลอธิบายว่า ซึ่งข้าพเจ้าทูลว่าจับสิ่งหนึ่งอย่าให้พลาดนั้น คือธรรมดาเป็นพระมหากษัตริย์นั้น จะประพฤติทำการสิ่งใดก็ให้มั่นคงให้เป็นหลักเป็นฐาน ให้ข้าราชการและขุนนางเขานับถือว่าเป็นหนึ่งเป็นแน่ลงได้ อย่าให้หวั่นไหวกลับไปกลับมา ให้เป็นหลักมั่นคงประดุจดังว่าเขาพระสุเมรุฉะนั้น อย่างนี้แลได้ชื่อว่าจับสิ่งหนึ่งอย่าให้พลาด ข้อซึ่งว่าพิเคราะห์ทางความให้ละเอียดนั้น คือธรรมดาว่าเป็นกษัตริย์แล้ว จะประพฤติกระทำการสิ่งใดก็ให้ละเอียด ถ้าจะใช้คนก็พิจารณาตรึกตรองดูคนที่ควรจะใช้จึงใช้ การนั้นจึงจะไม่เสีย ถ้าใช้คนผิด ๆ แล้วก็เป็นที่คนนินทาและติเตียน แล้วก็มักจะเสียการนั้นก็จะไม่สำเร็จ ให้ตรึกตรองไปในราชการทั้งปวงให้ละเอียด อย่าให้ใช้คนผิดและทำการหยาบ ๆ อย่างนี้และพิเคราะห์ทางความให้ละเอียด และข้อซึ่งว่ามีความกตัญญูอย่าให้เกียจคร้านนั้น คือพิจารณาตรึกตรองดูราษฎรและขุนนางข้าราชการทั้งปวงให้แท้เที่ยงว่าผู้ใดเป็นคนดีมีกตัญญู ทำความชอบต่อแผ่นดินครั้งหนึ่งหรือสองครั้งสามครั้ง ควรที่จะยกย่องเลื่อนที่และยศให้เป็นใหญ่ตามความชอบ ก็ให้ยกขึ้นตามความชอบ ข้าราชการก็จะมิได้มีความโทมนัสน้อยใจ คนที่ยังมิได้ทำความชอบก็อุตส่าห์ประพฤติทำแต่การดี ๆ ขึ้นทุกชั้น เมื่อขุนนางข้าราชการทั้งปวงประพฤติแต่การที่ดี ๆ แล้ว ไพร่บ้านพลเมืองอาณาประชาราษฎรก็จะมีความสุขเสมอไปเป็นนิจถ้วนหน้าทุกอาณาจักร ขอพระองค์จงทรงทราบดังข้าพเจ้าทูลกล่าวถวายฉะนี้ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังไต้ซุ่นทูลอธิบายดังนั้นทรงพระโสมนัสแล้วตรัสถามต่อไปว่า ลักษณะกษัตริย์นั้นมีการที่จะประพฤติแต่อย่างที่ท่านกล่าวเท่านี้หรือ ๆ ยังจะมีการอื่นๆ ต่อไปอีกประการใดบ้าง ไต้ซุ่นจึงทูลว่าลักษณะที่กษัตริย์จะประพฤติต่อไปนั้นยังมีอยู่มาก แต่เป็นการเล็กน้อยไม่สำคัญ แต่พระองค์จะปฏิบัติให้ดีแล้ว ก็ให้ตั้งอยู่ในยุติธรรมและสุจริตธรรมนี้แล เป็นการใหญ่เป็นการสำคัญควรที่พระมหากษัตริย์จะประพฤติให้เสมออยู่เป็นนิจ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ยิ่งทรงพระโสมนัสมากขึ้น คิดจะตั้งไต้ซุ่นให้เป็นกษัตริย์ แล้วพระองค์ทรงดำริอีกอย่างหนึ่งว่า ภรรยาใหญ่ก็เป็นที่สำคัญยิ่งนักเหมือนกัน ถ้าภรรยาเป็นคนเหลาะแหละทำกิริยาพลิกแพลงพูดจาสอพลอ ก็มักทำให้สามีเชือนแชให้เสียการงานทั้งปวงไปต่าง ๆ พระองค์ยังสงสัยอยู่ว่าภรรยาไต้ซุ่นนั้นจะดีหรือจะชั่วประการใดก็ยังไม่ทรงทราบจึงได้งดไว้ดูก่อน ตรัสแต่ว่าซึ่งท่านกล่าวทั้งนี้ก็เหมือนอย่างที่เราคิดและประพฤติอยู่แล้ว แล้วเราได้คนที่ดีมีปัญญามาเดี๋ยวนี้ คือได้ท่านมาเป็นที่ปรึกษาด้วยราชการบ้านเมืองแล้ว เรามีความเบาใจมาก จะมิได้มีความทุกข์ต่อไปอีกเลย ตรัสแล้วจึงตั้งไต้ซุ่นเป็นขุนนางผู้ใหญ่คู่กับซีงักช่วยกันว่าราชการ ครั้นอยู่มาพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เห็นไต้ซุ่นทำราชการเรียบร้อยในตำแหน่งราชการ ไต้ซุ่นจะว่าการสิ่งใดก็ตั้งอยู่ในยุติธรรม ทรงเห็นดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้หาซีงักเข้าไปเฝ้าข้างในแล้วตรัสปรึกษาว่า ภรรยาไต้ซุ่นนั้นก็เป็นบุตรบ้านชาวป่าชาวดง ถ้าไต้ซุ่นได้สมบัติแล้วเรากลัวว่าภรรยาไต้ซุ่นจะไม่ประพฤติเป็นยุติธรรมตามไต้ซุ่น และทุกวันนี้เรามีราชการสิ่งใดเราก็ได้ปรึกษาแก่บุตรหญิงเราทั้งสอง ๆ นั้นพูดจาถูกต้องเป็นยุติธรรม ใจนั้นซื่อสัตย์มั่นคง เราคิดว่าจะยกบุตรหญิงทั้งสองนั้นให้แก่ไต้ซุ่นจะได้ช่วยไต้ซุ่นคิดการรักษาแผ่นดิน เราคิดเห็นดังนี้ซีงักจะเห็นประการใด ซีงักจึงทูลว่าพระองค์จะยกพระราชธิดาและมอบราชสมบัติให้แก่ไต้ซุ่นนั้น พระราชธิดาชองพระองค์ก็จะได้เป็นฮองเฮาช่วยไต้ซุ่นรักษาแผ่นดิน การอันนี้อย่าว่าแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวจะเห็นชอบ ถ้าพระองค์ตรัสปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงแล้ว ขุนนางทั้งปวงคงจะเห็นชอบด้วยกันทั้งสิ้นแล้ว ไต้ซุ่นนั้นก็ควรจะครองราชสมบัติแทนพระองค์ได้ ซึ่งข้าพเจ้าทูลดังนี้เป็นความจริง พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า ท่านเห็นชอบด้วยแล้วท่านจงไปว่ากล่าวแก่ไต้ซุ่นให้ตกลงก่อน ซีงักได้รับสั่งดังนั้นก็ถวายคำนับลาไปพูดจาแก่ไต้ซุ่นตามรับสั่ง ไต้ซุ่นจึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นข้าซึ่งจะไปร่วมด้วยพระราชธิดานั้นไม่ควร ซีงักจึงว่า ท่านอย่าได้พูดจาบิดพลิ้วเลย การอันนี้พระญาติวงศานุวงศ์และขุนนางเห็นดีพร้อมกันแล้ว ท่านอย่าได้มีความรังเกียจเลย ท่านจะได้เป็นที่พึ่งแก่คนทั้งปวง ไต้ซุ่นได้ฟังว่าพระญาติวงศานุวงศ์และขุนนางทั้งปวงเต็มใจพร้อมกันแล้ว ก็ยอมรับแล้วว่าสุดแต่จะโปรด จะฉลองพระเดชพระคุณตามสติกำลัง ซีงักก็ลาไต้ซุ่นมาทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ตามถ้อยคำไต้ซุ่นทุกประการ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ดีพระทัยด้วยสมดังพระราชประสงค์ ครั้นถึงวันฤกษ์ดี พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ก็ยกไต้ซุ่นขึ้นเป็นอ๋อง คือให้เลื่อนยศขึ้นเป็นเจ้า แล้วพระราชทานพระบุตรี ชื่อนางงอหององค์หนึ่ง ชื่อนางหนึงเององค์หนึ่ง ทั้งสององค์รูปงามพร้อมด้วยลักษณะและสติปัญญา พร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย กระทำมหามงคลอภิเษกให้เป็นภรรยาไต้ซุ่นอ๋องทั้งสององค์ และพระราชธิดาทั้งสององค์กับไต้ซุ่นอ๋องรักใคร่กันในการที่จะรักษาแผ่นดิน ไม่ได้รักใคร่กันในการประเวณี ครั้นอยู่มาอีกห้าปีพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ทรงพระชราลง ก็มอบราชสมบัติให้แก่ไต้ซุ่นอ๋อง ๆ ก็รับช่วยรักษาแผ่นดิน แต่ยังหาได้รับราชสมบัติเป็นเจ้าแผ่นดินไม่ ครั้นอยู่มาพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ทรงพระประชวรหนัก พระโรคนั้นไม่คลาย จึงรับสั่งให้ไต้ซุ่นอ๋องกับซีงักเข้าไปข้างใน แล้วพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เขียนอักษรมอบราชสมบัติให้ไต้ซุ่นอ๋องเป็นกษัตริย์ ไต้ซุ่นอ๋องก็ทูลยักเยื้องยังไม่รับ ครั้นเห็นว่าพระอาการพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ทรุดหนักลง ไต้ซุ่นจึงรับครองราชสมบัติ พวกขุนนางก็มีความยินดี พระโรคพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้นั้นมากขึ้น หมอประกอบยาไม่หายก็สิ้นพระชนม์ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ครองราชสมบัติได้ว่าราชการเจ็ดสิบห้าปี พระชนม์ได้ร้อยเก้าสิบแปดปีจึงสวรรคต ไต้ซุ่นอ๋องกับไถจู๊ตันจูพระราชบุตรสั่งเจ้าพนักงานให้จัดไม้หอมมาทำหีบสลักลายงดงามดี แล้วราษฎรและเศรษฐีนั้นพากันนำทองคำมาถวายช่วยในการพระศพพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ตามวาสนาตนได้ทองคำเป็นอันมาก ไต้ซุ่นอ๋องกับไถจู๊ตันจูจึงได้เอาทองคำนั้นทำลองหีบ แล้วเชิญพระศพใส่ในหีบไม้หอมตั้งกระบวนแห่เชิญพระศพไปฝังไว้ที่ตำบลอู๋ซัวในแขวงเมืองหลวง ตั้งแต่นั้นราษฎรทั้งปวงพากันเรียกที่ตำบลตังเพ่งจิวมาจนทุกวันนี้ เมื่อครั้งแผ่นดินเม่งเฉียว พระเจ้าฮ่องบู๊ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว พระเจ้าฮ่องบู๊ให้ทำศาลใหญ่และทำพระรูปพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ขึ้นไว้ในที่ตำบลตังเพ่งจิว เป็นที่บวงสรวงทุก ๆ แผ่นดินมา

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ