๑๔

ครั้นมาภายหลังเขานั้นแตกร้าวลมนั้นก็พัดหนาวจัดขึ้น และพระอาทิตย์พระจันทร์จึงได้หลีกเลี่ยงไปมิได้เดิน ที่ตำบลนั้นจึงมืดไม่เป็นกลางวันกลางคืน พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสสั่งให้เปกฮวงสี เอียงฮวงสีขุนนาง ทั้งสองไปหาศิลาสีเขียวสีเหลืองสีแดงสีขาวสีดำที่เป็นแก้ว แล้วก็ให้ทำเบ้าขึ้นหล่อหลอมศิลาสี่สิบเก้าวันศิลานั้นจึงละลาย และพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้นี้จุติลงมาจากสวรรค์มีปัญญารู้การฟ้าและดิน จึงอ่านมนต์ตั้งอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าจะขอยาเขาที่แตกร้าวนั้นให้ดีเหมือนดังเก่า อธิษฐานแล้วก็เอาศิลาที่หลอมละลายนั้นไปพอกปะเขาที่ร้าวแตกก็เป็นรูปเขาดีเหมือนดังเก่า ลมที่พัดหนาวจัดนั้นก็หายไป ราษฎรได้ความสุข แต่ยังมืดอยู่ไม่เป็นกลางวันกลางคืน ราษฎรทำมาหากินยังไม่ปกติ พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงรับสั่งให้สวนญี่เป็นพนักงานลม และโฮงหลงเป็นพนักงานเมฆเข้ามาเฝ้า แล้วรับสั่งให้ไปหาตัวพระอาทิตย์พระจันทร์มา โฮงหลง สวนญี่จึงทูลว่า ชึ่งคัยถังบี้ไปส่องโลกอยู่ บุคคลผู้ใดที่มีฤทธิเหาะได้จึงจะไปถึง พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้รับสั่งว่าเรามีรถปวยเชียรถหนึ่งเหาะได้ ถ้าเหาะไปประมาณครู่หนึ่งก็ได้หมื่นโยชน์ เราจะให้ท่านขึ้นรถอันนี้ไป โฮงหลงจึงทูลว่า พระองค์พระราชทานรถให้สวนญี่นั้นข้าพเจ้าจะไปด้วยไม่ได้ด้วยรถนั้นเล็กนัก พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงรับสั่งว่า เรายังมีรถเจียะเภาเสียอีกรถหนึ่ง เราจะให้ท่านไป สวนญี่โฮงหลงก็ถวายบังคมลาออกมาถึงประตูเมือง เห็นเจ้าพนักงานเอารถมาเทียบไว้ทั้งสองแล้ว ต่างคนต่างก็ขึ้นรถเหาะไปหาพระอาทิตย์คนหนึ่ง เหาะไปหาพระจันทร์คนหนึ่ง ครั้นไปถึงสวนญี่โฮงหลงจึงแจ้งความที่จอกเอียสีกับคังฮวยรบกัน คังฮวยเอาศีรษะโดนเขาปุดจิวซัวแตกร้าวไปหลายแห่ง ที่ตำบลนั้นก็มืดไป พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไป ชึ่งคัยถังบี้ได้ฟังดังนั้นก็พูดจาบิดพลิ้วเสีย สวนญี่จึงว่าถ้าท่านไม่ไปแล้ว พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้คงจะให้มาเชิญท่านอีก ท่านก็จะหามีความสุขไม่ ชึ่งคัยถังบี้ได้ฟังดังนั้นก็ชักรถมาพร้อมกับสวนญี่โฮงหลง สวนญี่จึงกระซิบปรึกษากับโฮงหลงว่า ซึ่งพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้รับสั่งใช้ให้เราทั้งสองมาเชิญชึ่งคัยถังบี้ไปครั้งนี้เป็นการใหญ่อยู่ และชึ่งคัยถังบี้ทั้งสองนี้ เดิมทีเมื่อเราไปหานั้นก็พูดจาบิดพลิ้วไป หาเต็มใจที่จะมากับเราด้วยไม่ ต่อเราพูดจาอ้อนวอนจึงได้มา แต่เราคิดเห็นว่า ชึ่งคัยถังบี้มาทั้งนี้ก็เป็นการเสียไม่ได้ ใจชึ่งคัยถังบี้หามีความสบายไม่ หนึ่งรถชึ่งคัยถังบี้ทั้งสองนี้ก็เป็นรถเดินเร็วกว่ารถเรา ถ้าไปถึงกลางทางแล้ว ชึ่งคัยถังบี้เกลือกจะกลับใจคิดบิดพลิ้วเดินแวะเวียนไปทางอื่น หาไปเฝ้าพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ไม่ เราทั้งสองก็จะมีความผิดเป็นอันมาก พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ก็จะทรงพระตำหนิเราได้แล้วคงจะถอดเราออกจากที่เสีย หรือจะเป็นประการใดก็ยังไม่ทราบ ซึ่งเราทั้งสองจะขึ้นรถที่ขี่มานี้ตามไปนั้นหาควรไม่ เราจะคิดประการใดจึงจะดี โฮงหลงว่าเราจะทิ้งรถทั้งสองนี้เสีย ตัวท่านจงยึดรถพระอาทิตย์ ตัวเราจะยึดรถพระจันทร์ ถ้าเราคิดทำอย่างนี้ได้แล้ว ถึงชึ่งคัยถังบี้จะคิดบิดพลิ้วเดินรถแวะเวียนไปทางอื่นก็เห็นจะไปไม่ได้ ด้วยเราทั้งสองติดตามไปด้วย เราคิดเห็นอุบายเช่นนี้ท่านจะเห็นประการใด สวนญี่จึงว่าซึ่งท่านคิดเห็นเช่นว่ามานี้ก็ชอบอยู่ สวนญี่โฮงหลงปรึกษากันพร้อมแล้วก็ทิ้งรถทั้งสองนั้นเสีย และรถที่สวนญี่ทิ้งนั้นไปตกอยู่ที่เมืองคี่ควงก๊ก รถที่โฮงหลงทิ้งนั้นไปตกอยู่ที่ประเทศเรียกว่า ตังไหปินคือชายทะเล คนทั้งสองก็ยึดรถพระอาทิตย์และรถพระจันทร์มาตั้งแต่เวลาเช้าโมงหนึ่ง จนเวลาหกโมงเย็นก็พอถึงเมือง จึงพากันเข้าเฝ้าพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ๆ จึงตรัสแก่ชึ่งคัยถังบี้ว่า ท่านทั้งสองช้านานแล้วทำไมจึงไม่ไปส่องโลกข้างฝ่ายทิศเหนือซึ่งเป็นที่สุดพิภพ บัดนี้ข้างทิศเหนือมืดอยู่ไม่เป็นกลางวันกลางคืนเลย ชึ่งคัยถังบี้จึงทูลว่า บัดนี้อากาศมีอยู่ถึงสามร้อยหกสิบห้าราศี กำหนดให้ข้าพเจ้าเที่ยวส่องโลกในหกโมงทั่วทั้งสามร้อยหกสิบห้าราศี ข้าพเจ้าไม่มีเวลาที่จะได้หยุดยั้งว่างเปล่าเลย ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าไปส่องทิศเหนือนั้น ทิศเหนือก็ลุ่มๆ ดอนๆ เดินก็ลำบาก ข้าพเจ้าส่องราศีเคลื่อนคลาดก็จะมีโทษแก่ข้าพเจ้า พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงตรัสว่า หนทางข้างทิศเหนือนั้นบัดนี้เราทราบว่าเป็นปกติดีอยู่ ท่านจงไปส่องแสงรัศมีเถิด ชึ่งคัยคือพระอาทิตย์จึงทูลว่า พระองค์จะให้ข้าพเจ้าไปส่องโลกให้มีแสงสว่างนั้นก็ปรารถนาจะให้มนุษย์ได้ความสุข แต่บางมนุษย์ติเตียนว่าข้าพเจ้าเป็นพระอาทิตย์ส่องโลกนั้นร้อนนัก พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงตรัสตอบว่า ความสรรเสริญและติฉินกับสุขและทุกข์นั้นก็เป็นธรรมดาโลก พระอาทิตย์จึงทูลอีกข้อหนึ่งว่า พระองค์จะให้ข้าพเจ้าไปส่องโลกทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ขัดรับสั่งของพระองค์ แต่ถังบี้คือพระจันทร์นั้นเป็นสตรีกำหนดหนทางร้อยหนึ่ง ก็เดินได้แต่เพียงเก้าสิบเท่านั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าได้ประโยชน์นั้นก็น้อยเวลาที่เสียประโยชน์นั้นมากนัก ข้าพเจ้าก็จะมีความผิดเป็นสองอย่าง เพราะถังบี้เป็นผู้หญิงเดินทางไม่ได้มาก พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้เดิมคิดไว้ว่า จะบังคับให้ชึ่งคัยถังบี้ไปส่องโลกในที่ตำบลนั้นให้ได้ ครั้นทราบว่าถังบี้เป็นสตรีเหมือนกัน กับพระองค์ก็มีพระทัยสงสาร จึงรับสั่งว่าเราไม่หักหาญท่านผู้ใดตามแต่ใจของท่านเถิด ตรัสแล้วรับสั่งแก่ชึ่งคัยถังบี้ให้ไปส่องโลกดังเก่า แต่อย่าให้มีความผิดขึ้นได้ พระอาทิตย์พระจันทร์รับคำสั่งแล้วพากันไปตระเตรียมการส่องโลกตามรับสั่ง

ขณะนั้นพวกขุนนางทราบดังนั้นแล้วจึงทูลถามว่า ชึ่งคัยถังบี้ก็ไม่ยอมไปส่องโลกในตำบลนั้น พระองค์จะโปรดประการใด อากาศทิศเหนือจึงจะสว่างได้ พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็นึกขึ้นได้แล้วตรัสว่า เราได้ยินข่าวว่าที่เขาเองซัวมีเทพารักษ์ชื่อจ๊กเหลง มีรัศมีเป็นแสงเปลวส่องที่มืดให้สว่างได้ เราจะต้องไปเชิญให้มาอยู่ที่ตำบลนี้ ราษฎรจะได้มีความสุข จึงรับสั่งให้จอกเอียสีไปเชิญ ครั้นจอกเอียสีไปถึงเขาเองซัวเห็นเทพารักษ์นั้นศีรษะเป็นมังกร ตัวเป็นหนวดแดงดังพู่ทวน ดวงตาสว่างดังไฟ จึงคิดว่าพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จะมาเชิญปีศาจรูปร่างพิกลดังนี้ ไปอยู่ที่ทิศตำบลตะวันตกเฉียงเหนือให้สว่างเป็นกลางวันกลางคืนนั้นเห็นจะไม่สำเร็จ ครั้นคิดดังนั้นพอเทพารักษ์เปล่งรัศมีเป็นไฟพลุ่งขึ้นไปสูงเกือบถึงอากาศ จอกเอียสีเห็นดังนั้นจึงคิดว่าเรานี้เป็นคนเขลา ไม่รู้จักท่านผู้วิเศษ คิดแล้วก็ร้องบอกเทพารักษ์ว่า พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้มีรับสั่งว่า ตั้งแต่เขาปุดจิวซัวทิศเหนือพัง ก็มืดไปไม่เป็นกลางวันกลางคืน จึงให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือเปล่งรัศมีให้สว่าง ราษฎรจะได้มีความสุข ถ้าท่านกระทำได้ตามรับสั่งพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้แล้ว ความชอบของท่านก็จะมีอยู่ชั่วฟ้าและดิน จ๊กเหลงได้สดับฟังดังนั้นก็ไปทำตามรับสั่งพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ทุกประการ ตั้งแต่นั้นมาที่ตำบลนั้นก็ปกติเป็นกลางวันกลางคืนสว่างเหมือนดังเก่าแล้ว ขุนนางทั้งนั้นทูลพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ว่าแผ่นดินข้างทิศใต้เป็นที่ลุ่มอยู่มาก พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงรับสั่งว่า ทิศใต้นั้นเห็นจะเป็นทะเลน้ำท่วม ที่ลุ่มจึงมากกว่าทิศเหนือ พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ตรัสดังนั้นแล้ว จึงรับสั่งว่าแผ่นดินน้ำขังเป็นห้วงเป็นตอน น้ำจึงไม่ไหลลงทะเล ให้ราษฎรช่วยกันขุดคลองเป็นทางน้ำไหลให้น้ำไหลลงคลอง ครั้นราษฎรช่วยกันขุดคลองแล้วน้ำก็ไหลลงคลองแล้วไหลลงทะเล แผ่นดินก็แห้งดีไม่มีน้ำขัง ครั้งนั้นจึงได้มีแม่น้ำปรากฏมาจนทุกวันนี้ แล้วพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ก็เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นที่ตำบลหนึ่งเป็นน้ำพลุ่งขึ้นมา น้ำนั้นขุ่นสีเหลือง พระองค์จึงรับสั่งให้ราษฎรเอาศิลาและดินมาทิ้งถมอุดน้ำ น้ำนั้นก็ยิ่งไหลพลุ่งมากขึ้น พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้เห็นว่าน้ำนั้นยิ่งพลุ่งมากขึ้นมาจากแผ่นดินไหลทั่วไป น้ำก็เกลื่อนกลาดท่วมบ้านเรือนราษฎร ของซึ่งเกิดในแผ่นดินก็จมน้ำตายเสียสิ้น คนทั้งปวงก็ได้ความอดอยาก จึงรับสั่งให้ขุนนางเจ้าพนักงานคุมราษฎรขุดคลอง ขุนนางพนักงานกับราษฎรไปขุดคลองหลายปีจึงสำเร็จได้ น้ำก็ไหลตกลงคลองแล้วไหลลงทะเล ราษฎรก็ได้ความสุข คนทั้งหลายก็สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหากษัตริย์เป็นอันมาก แล้วพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ก็เสด็จกลับเข้ายังพระนคร ครั้นอยู่มาพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ทรงพระดำริว่า เปกฮวงสี เอียงฮวงสี ขุนนางผู้ใหญ่สองคนนี้ช่วยคิดการทะนุบำรุงแผ่นดินมีความชอบ จึงแบ่งเขตแดนให้ไปเป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองแล้ว เปกฮวงสี เอียงฮวงสี มีความเมตตาแก่ไพร่บ้านพลเมือง ไพร่บ้านพลเมืองก็มีความสุข ขุนนางพนักงานมีหนังสือบอกสรรเสริญความชอบของเปกฮวงสีและเอียงฮวงสีเข้าไปให้ขุนนางทูลพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ๆ ดีพระทัย จึงพระราชทานเครื่องยศและอาญาสิทธิ์ให้แก่เปกฮวงสีมากขึ้น และเอียงฮวงสีให้เลื่อนที่มียศขึ้นไปอีก แล้วพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ตั้งไต้เพ่งสีไปเป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองตำบลหนึ่งไต้เพ่งสี ก็ทะนุบำรุงราษฎรได้ความสุข แล้วเมืองนั้นมีที่ตำบลหนึ่งชื่อโตเคียดหู มีหงส์ห้าตัวมีศีรษะนั้นต่าง ๆ กัน เข้ามาร้องอยู่ที่ตำบลโตเคียดหู เสียงร้องนั้นได้ยินเป็นดีประกอบด้วยการมงคล และความสรรเสริญพระมหากษัตริย์ว่า ทรงพระสติปัญญาทะนุบำรุงราษฎรได้มีความสุขเป็นอันมาก ไต้เพ่งสีก็ให้ขุนนางไปทูลพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ๆ ดีพระทัยโปรดให้ไต้เพ่งสีเลื่อนที่มียศขึ้นไปอีก แล้วพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ตั้งให้เสียดเลกสีเป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองอีกตำบลหนึ่ง และเสียดเลกสีถือตัวว่ามีสติปัญญากล้าหาญ ไม่เกรงกลัวผู้ใด แล้วก็หลงด้วยสตรีมิได้ทะนุบำรุงราษฎร ตั้งสี่จิวขุนนางได้ตักเตือนให้สติเสียดเล็กสี ๆ จึงว่าเราเป็นขุนนางผู้ใหญ่จะทำการสิ่งใดไม่ควรที่ท่านจะมาว่ากล่าวทัดทานให้เราได้ความอัปยศ ว่าแล้วสั่งให้เอาตัวตั้งสี่จิวไปฆ่าเสีย ตั้งแต่นั้นมาขุนนางทั้งปวงพากันกลัวเกรงมาก มิได้ว่ากล่าวทัดทานเสียดเล็กสีต่อไป เสียดเล็กสีก็มีใจกำเริบมากขึ้น จะทำการสิ่งใดก็ทำตามอำเภอใจของตน บรรดาผู้รักษาเมืองทั้งปวงทราบความว่าเสียดเล็กสีไม่มีเมตตาจิตแก่ราษฎร แล้วก็ฆ่าตั้งสี่จิวขุนนางซื่อตรงเสียด้วย ก็พร้อมใจกันยกกองทัพมากำจัดเสียดเล็กสี บรรดาขุนนางและราษฎรที่อยู่ในเมืองเสียดเล็กสีก็เอาใจออกห่าง ไม่มีผู้ใดที่จะช่วยรักษาบ้านเมือง กองทัพก็ยกเข้าเมืองจับเสียดเล็กสีฆ่าเสีย จึงมีใบบอกถึงเจ้าพนักงานให้ทูลพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ๆ ทราบแล้วมีความยินดี จึงตั้งให้สี่เสี่ยนสีเป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองแทนเสียดเล็กสีต่อไป แล้วจึงตั้งให้หุนตุ๋นสีเป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองอีกตำบลหนึ่ง หุนตุ๋นสีก็ทะนุบำรุงราษฎรมีความสุข พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงพระราชทานยศเพิ่มให้แก่เจ้าเมืองทั้งสองนี้ยิ่งขึ้นไปอีก พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงให้ตั้งเหกซูสีเป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองอีกตำบลหนึ่ง เหกซูสีมีเมตตาจิตมิได้เบียดเบียนราษฎร ๆ มีความสุข ขุนนางทำราชการในเมืองนั้นมิได้มีความรังเกียจแก่งแย่งแก่กัน พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ได้ทราบความดีของเหกซูสี จึงพระราชทานเพิ่มเติมเครื่องยศให้เหกซูสี ครั้นเหกซูสีมียศมากขึ้น ก็ตั้งใจทะนุบำรุงราษฎรได้สองปีก็ถึงแก่กรรม

ขณะเมื่อเหกซูสีถึงแก่กรรมนั้นราษฎรมีความอาลัยร้องไห้ทั่วไปทั้งเมือง ขุนนางในตำแหน่งมีหนังสือทูลพระเจ้าพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ๆ ทราบว่าเหกซูสีตายเสียพระทัย จึงให้จุนโล่สีไปเป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองแทนเหกซูสี

ขณะนั้นจุนโล่สีทำหอสูงขึ้นไว้หอหนึ่งสำหรับดูอากาศให้รู้เหตุการณ์ต่าง ๆ จุนโล่สีคนนี้ราษฎรทราบว่ามีสติปัญญาจะว่ากล่าวการสิ่งใดก็เป็นยุติธรรม และอาจหยั่งรู้ความเท็จและจริงของคนทั้งปวง ๆ ก็ไม่อาจจะเอาความเท็จมาพูดแก่จุนโล่สี ถ้ามีถ้อยความแก่กันแล้วจุนโล่สีตัดสินความไม่ได้เห็นแก่สินจ้างสินบน ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด บ้านเมืองก็เป็นสุข พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ทราบว่าราษฎรได้ความสุขมาก ก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลให้จุนโล่สีเป็นอันมาก แล้วตั้งให้เฮาเห้งสีเป็นจูเฮ้ารักษาเมืองอีกแห่งหนึ่ง และที่ตำบลนั้นราษฎรมีบ้านเรือนน้อยมีแต่ต้นไม้รกร้างเป็นป่า และมีสัตว์อาศัยอยู่เป็นอันมาก บางตำบลก็มีสัตว์ร้ายทำร้ายแก่มนุษย์ต่าง ๆ คนทั้งปวงจะเดินไปทำมาหากินก็ไม่ใคร่จะได้ เฮาเห้งสีมีความวิตกมาก จึงสอนราษฎรให้ทำธนูหน้าไม้ไว้ยิงสัตว์ ครั้งนั้นจึงมีธนูหน้าไม้ขึ้นเพราะเฮาเห้งสีจัดทำขึ้นก่อนให้ราษฎรได้ใช้สอยต่อ ๆ มา ถ้าจะเข้าป่าก็ให้มีเครื่องอาวุธไว้สำหรับตัวเพื่อจะได้ป้องกันสู้สัตว์ร้าย พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ทรงทราบก็มีความยินดี จึงพระราชทานบำเหน็จให้เฮาเห้งสีตามความชอบ พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้จึงตั้งจูเซียงสีไปเป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองอีกแห่งหนึ่ง จูเซียงสีรักษาเมืองได้สองปี ที่ตำบลนั้นบังเกิดลมพายุใหญ่พัดเนือง ๆ ต้นไม้ที่มีดอกมีผลนั้นก็โรยร่วงหล่นไปสิ้น จูเซียงสีมีความวิตกนึกว่าถ้าผลไม้ไม่เกิดผลราษฎรทั้งปวงก็จะได้ความอดอยาก ประการหนึ่งพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ก็จะติเตียนว่าเพราะเรามาเป็นเจ้าเมืองจึงมีลมพายุใหญ่พัดดังนี้ จึงถามบรรดาขุนนางว่า ท่านทั้งปวงคิดประการใดได้บ้าง

ขณะนั้นมีขุนนางผู้หนึ่งชื่อถ้อตัดตอบว่า มีลมพายุใหญ่พัดแรง ดอกไม้และผลไม้จึงโรยร่วงหล่นไปเสียหมด และลมพายุใหญ่พัดกระเทือนต้นไม้อย่างนี้ก็ไม่เคยมี จูเซียงสีจึงว่าเกิดเหตุดังนี้มีขึ้นในเมืองเรา ท่านเห็นจะสิ่งอันใดแก้ไขได้บ้าง ถ้อตัดจึงตอบว่าแต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าทราบว่า พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ได้สร้างขิมไว้ชนิดหนึ่งมีสายห้าสายไว้สำหรับแผ่นดิน ถ้าจะมีทุกข์สิ่งใดก็เอาขิมนั้นดีดขึ้นด้วยขิมนี้เป็นของดีชัยมงคล บัดนี้บ้านเมืองเรามีทุกข์ร้อนขึ้นก็เพราะลมในอากาศพัดวิปริตไปดังนี้ ขอท่านได้เอาขิมนี้มาดีดลองดูเพื่อจะบำบัดทุกขภัยไปได้บ้าง จูเซียงสีก็สั่งให้ช่างทำขิมห้าสายแจกไปให้ราษฎร และราษฎรก็ดีดขิมเสียงนั้นไพเราะ ลมนั้นก็สงบลง ต้นไม้ทั้งหลายก็มีดอกออกผลบริบูรณ์ จูเซียงสีจึงให้บำเหน็จรางวัลถ้อตัด

ฝ่ายพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ทราบความก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลให้แก่จูเซียงสี ให้จูเซียงสีเลื่อนที่ขึ้นอีกแล้วพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ก็ตั้งให้กักเทียนสีเป็นจูเฮ้าผู้รักษาเมืองอีกแห่งหนึ่ง กักเทียนสีเป็นคนตั้งอยู่ในยุติธรรม สั่งสอนราษฎรให้ตั้งอยู่ในสุจริต มิให้ล่อลวงเบียดเบียนแก่กัน ราษฎรก็ประพฤติตามคำกักเทียนสี พวกขุนนางของกักเทียนสีนั้นประกอบด้วยสติปัญญา ครั้งนั้นราษฎรก็สอนง่ายบ้านเมืองก็เป็นสุข อยู่มาวันหนึ่งกักเทียนสีนึกว่าตัวพึ่งได้มาอยู่กินเมือง ยังไม่ทราบว่าชัยภูมิที่บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร นึกแล้วจึงเดินออกไปนอกเมืองและไปเห็นผู้เฒ่าสามคนมีกิริยาแปลกประหลาดเดินจับหางกระบือร้องเพลงมาพร้อมกัน กักเทียนสีจึงให้หาตัวมาแล้วถามว่า ท่านมีกิริยาก็ผิดกว่าคนทั้งหลายแล้วเดินร้องเพลงอะไรดังนี้ด้วยเหตุประการใด คนผู้เฒ่าสามคนจึงบอกว่า ตัวข้าพเจ้ากับราษฎรเกิดมาในคราวนี้ได้พบพระมหากษัตริย์ตั้งอยู่ในยุติธรรม ข้าพเจ้ามีความยินดี จึงได้คิดผูกเป็นคำเพลงขึ้นแปดบทไว้สำหรับจะได้เฉลิมพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์ ซึ่งข้าพเจ้าร้องเพลงดังนี้ ท่านฟังไม่เข้าใจดอกหรือ กักเทียนสีได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้บำเหน็จรางวัลแก่ท่านผู้เฒ่าทั้งสามคนแล้วว่า ท่านจงเขียนคำเพลงให้เราบ้าง ผู้เฒ่าสามคนก็เขียนคำเพลงแปดบทให้แก่กักเทียนสี ๆ รับมาอ่านดูทราบเสร็จแล้วก็บอกส่งไปยังเมืองหลวงให้ขุนนางถวายพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ ๆ คลี่ออกอ่านในคำเพลงแปดบทนั้น บทที่หนึ่งว่า ไจ๊มิ้น แปลว่าราษฎรคงจะได้เป็นที่พึ่งในแผ่นดิน บทที่สองว่า ง่วนเจียว แปลว่าธรรมดานกก็ย่อมมีนกเป็นใหญ่อยู่ในฝูงนกนั้นตัวหนึ่ง บทที่สามว่าเช้าหมักซุย แปลว่าหญ้าและพุ่มไม้ก็ย่อมเป็นที่อาศัยแก่มนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ บทที่สี่ว่า หุนหมกซิด แปลว่าผลไม้ก็ย่อมเป็นที่อาศัยแก่คนทั้งหลายและสัตว์ต่าง ๆ ได้บริโภคด้วย บทที่ห้าว่า กิ๋นเทียนเซียง แปลว่าตั้งอยู่ในยุติธรรม บทที่หกว่า เกี้ยนเต๊กวง แปลว่าเป็นความยกย่องและสรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหากษัตริย์ บทที่เจ็ดว่า อีตี้เต็ก แปลว่ามีพระเดชพระคุณพระบารมีปกแผ่อุปการะมาเหมือนพื้นพสุธา บทที่แปดว่า จ๋องบ้วนม้วยจือเต๊ก แปลว่าซึ่งสิ่งของวิเศษทั้งปวงเป็นที่สุดที่แล้ว พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ได้ทรงทราบเพลงแปดบทดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัสพระราชทานบำเหน็จรางวัลให้แก่กักเทียนสีเป็นอันมาก พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ก็ตั้งอีมคังสีเป็นจูเฮ้าไปรักษาเมืองอีกแห่งหนึ่งที่ตำบลน้ำฝนตกมาก น้ำฝนนั้นขังเป็นโคลนไปทุกแห่งทุกตำบล ราษฎรเจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ อีมคังสีจึงสอนให้ราษฎรขุดเป็นรางเป็นท่อให้น้ำไหลแห้งไป แล้วให้เอาไม้มาทอดเป็นสะพานสำหรับเดิน ตั้งแต่นั้นมาความไข้เจ็บก็ค่อยบำบัดไป พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ได้ทรงทราบความ ก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลให้อีมคังสี แล้วตั้งให้บูฮวยสีเป็นจูเฮ้าไปรักษาเมืองอีกแห่งหนึ่ง บูฮวยสีเป็นคนสัตย์ซื่อและมีมักน้อยมิได้ฆ่าสัตว์อันมีชีวิต รักษาจิตต์ให้เป็นสุข คิดจะทำการให้เป็นคุณแก่แผ่นดินและมนุษย์ทั้งปวง พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ทรงทราบความ ก็ให้ขุนนางนำตราตั้งไปพระราชทานตั้งบูฮวยสีเลื่อนที่ขึ้น พระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้อยู่ในราชสมบัติได้แปดร้อยปี รวมพระชันษาได้เก้าร้อยปีก็สวรรคต และเมื่อพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้ยังมีพระชนม์อยู่นั้น ได้ตั้งจูเฮ้าไปรักษาเมืองสิบสามเมือง แล้วจูเฮ้าสิบสามคนนี้มีบุตรและหลานได้สืบตระกูลต่อไปได้ถึงหมื่นแปดร้อยปี

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ