ครั้นพระเจ้ายงเซงสีฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว ฮอกฮีสีพระราชบุตรนางจูเองราชธิดาพระเจ้าซุยยินสีฮ่องเต้อยู่เมืองฮัวซู และเมื่อนางจูเองจะมีพระราชบุตรนั้น เดินไปเที่ยวในป่าเห็นรอยเท้ามนุษย์รอยหนึ่งใหญ่ นางจึงเอาลองเท้าเหยียบลงก็เกิดความกำหนัด แสงรุ้งนั้นก็เข้าพันตัวนาง ๆ จึงได้มีครรภ์ได้สิบหกเดือนจึงประสูติให้ชื่อฮอกฮีสี เมื่อประสูตินั้นประสูติที่เมืองเฮงกี่ และพระเจ้าฮอกฮีสีนั้นศีรษะใหญ่ มีรัศมีกายนั้นสูงสามตึ่งห้าเชียคือยี่สิบสองศอกคืบ ครั้นอายุพระเจ้าฮอกฮีสีได้สามสิบหกปี มีสติปัญญามาก อาจรู้เดือนดาวฟ้าและดินที่จะมีเหตุการณ์ขึ้นก่อน ราษฎรทั้งปวงจึงได้ยกพระเจ้าฮอกฮีสีขึ้นเป็นกษัตริย์ ได้สร้างเมืองอยู่ที่ตำบลอ๋อนคู ครั้งนั้นราษฎรมีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ตั้งจงกงสีเป็นที่เสี้ยงเสียงคืออุปราชฝ่ายขวา ตั้งเซียงอ๋องสีเป็นที่เหี้ยเสียง อุปราชฝ่ายซ้าย ตั้งเสี้ยงสีเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายขวา เฮาเฮงสีเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายซ้ายเป็นที่ปรึกษาราชการทั้งปวง แล้วตั้งเลียดเลาสีไปเป็นขุนนางฝ่ายเหนือ ตั้งเฮกฮูสีไปเป็นขุนนางฝ่ายทิศใต้ ตั้งคุณอุสีเป็นขุนนางอยู่ตะวันตก ตั้งกัดเทียนสีเป็นขุนนางฝ่ายตะวันออก ตั้งอินภั่งสีเป็นขุนนางฝ่ายสำหรับรับทุกข์ของราษฎร ครั้นตั้งขุนนางแล้ว พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้สั่งสอนให้ราษฎรทำแหทำอวนจับปลาและช้อนกุ้ง แล้วสอนให้ราษฎรไปเที่ยวสืบเสาะหาสัตว์ที่ควรจะบริโภคได้มาเลี้ยงให้เป็นพืชพันธุ์ไว้จะได้เป็นอาหารแห่งบุคคลทั้งหลาย กับสำหรับจะได้บวงสรวงเทพารักษ์และไหว้เซ่นบิดามารดาญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรม อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ให้ขุนนางประกาศว่า แต่ก่อนพระเจ้ายี่นอ่องสีฮ่องเต้ได้สั่งสอนให้ราษฎรสู่ขอหญิงเป็นภรรยา มิให้ลักลอบรักใคร่ได้เป็นสามีภรรยากันเอง ตั้งแต่นี้ไปให้ผู้เฒ่าผู้แก่ไปว่ากล่าวสู่ขอต่อบิดามารดา ถ้ายินยอมพร้อมใจให้แล้ว ก็ให้ผู้เฒ่าแก่นำสิ่งของไปเป็นขันหมากหมั้นไว้ก่อน ภายหลังจึงค่อยนัดการแต่งงานมงคลแก่กัน

ฝ่ายขุนนางผู้หนึ่งชื่อชั่งเขียดมีตาสี่ตาเป็นคนสุจริตตงฉินมีสติปัญญา ชั่งเขียดนั้นไปเที่ยวที่เขาเตงเอียงฮือซัวขึ้นเดินบนภูเขา แล้วเดินลงมาริมฝั่งแม่น้ำชื่องวนฮูลกจุยพบเต่าตัวหนึ่ง ชั่งเขียดได้พิเคราะห์ดูบนหลังเต่านั้น เห็นมีหนังสือฉบับหนึ่ง ชั่งเขียดนึกว่าเห็นจะเป็นพระอินทร์หรือพระพรหมบันดาลมาให้เรา นึกแล้วหยิบหนังสือที่หลังเต่ามาไว้ในมือเสื้อแล้วเดินกลับมาบ้าน คลี่ออกอ่านดูก็รู้ว่าในอักษรนั้นเป็นตำราฤกษ์บนและฤกษ์ล่างกล่าวด้วยฟ้าและดิน แล้วชั่งเขียดคิดผสมอักษรนั้นให้เป็นอักษรอื่นๆ ต่อไปได้อีก ชั่งเขียดมีความยินดีเป็นอันมาก ครั้นมาเวลาหนึ่งชั่งเขียดตรึกตรองความในอักษรนั้นอีก บางข้อคิดไม่ใคร่จะออก นึกรำคาญใจนัก เดินออกไปข้างนอกแหงนดูบนอากาศพอคิดอักษรได้แล้วในขณะนั้นก็บันดาลเป็นเมล็ดข้าวเปลือกตกลงมา แต่อากาศทั่วไปในเวลาค่ำนั้น เทพารักษ์และปีศาจร้องเสียงดังอื้ออึง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าทราบถึงฮอกฮีสีฮ่องเต้ ฮอกฮีสีฮ่องเต้เสด็จออกแล้วตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่า ผลเม็ดข้าวเปลือกตกลงมาแต่อากาศ และมีเสียงอื้ออึงไปดังนี้จะมีเหตุดีร้ายฉันใด ชั่งเขียดจึงทูลว่าเวลาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าเที่ยวไปที่ริมฝั่งแม่น้ำง่วนฮูลกจุย พบเต่าตัวใหญ่มีหนังสืออยู่บนหลังฉบับหนึ่งคลานขึ้นมาแต่แม่น้ำ ข้าพเจ้าจึงหยิบหนังสือนั้นมาพิเคราะห์ดู แล้วคิดผสมอักษรนั้นให้เป็นอักษรอื่นๆ ขึ้นอีก พอข้าพเจ้าคิดได้ดังนั้นแล้ว เม็ดข้าวเปลือกตกลงมาแต่อากาศ ได้ยินเสียงร้องอื้ออึงขึ้นจะเป็นเสียงอะไรไม่ทราบ พระองค์อย่าได้ทรงวิตกเลย เหตุที่เป็นประหลาดนั้นเห็นจะเป็นการดีเป็นแน่ บัดนี้ข้าพเจ้าก็ได้นำหนังสือนั้นเข้ามาถวายให้พระองค์ทอดพระเนตรด้วย ทูลดังนั้นแล้วหยิบหนังสือออกจากกลีบเสื้อถวายพระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ทอดพระเนตรแล้วถามว่า หนังสือนี้ท่านแปลได้หรือ ชั่งเขียดจึงทูลว่า ข้าพเจ้าดูทราบความในอักษรนั้นเสร็จสิ้น พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ตรัสถามว่า ท่านแปลได้นั้นมีความประการใด ชึงเขียดทูลว่าหนังสือนี้เป็นหนังสือให้มนุษย์รู้การในฟ้าและดิน และธรรมเนียมต่าง ๆ และสอนให้ผสมอักษรนั้นให้เรียกว่าอักษรอันนั้น ๆ พระเจ้าฮอกฮีสีฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ดีพระทัย รับสั่งให้ชึงเขียดเขียนเป็นสำเนาส่งไปที่เรือนอาจารย์ให้สอนราษฎรเรียนหนังสือ ซึ่งหนังสือจีนนั้นที่จะจดจำเป็นข้อสัญญาและเป็นหนังสือฝากไปมา ก็เพราะด้วยขุนนางชึงเขียดเป็นผู้ค้นคิดจัดให้มีอักษรขึ้นก่อน ตั้งแต่นั้นมาการที่เอาเชือกผูกขอดและขีดหมายเป็นสำคัญนั้นก็เลิกเสีย มิได้มีผู้ใดกระทำขอดเชือกและวาดขีดอีกต่อไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ