๒๖

ขณะนั้นขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งจึงว่า ซึ่งพระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้มิได้อยู่ครองราชสมบัติแล้ว เราเห็นว่าพระราชโอรสของพระองค์มีอยู่ จำจะยกเซียวเฮาซึ่งเป็นพระราชโอรสที่หนึ่งของพระองค์ให้เป็นกษัตริย์แทนพระราชบิดาต่อไปจึงจะชอบ และเซียวเฮานี้พระมารดาชื่อนางล่อเจ๊ ๆ เป็นพระอัครมเหสีใหญ่ของพระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้ เมื่อนางล่อเจ๊จะทรงครรภ์เซียวเฮานั้น ฝันว่าดาวมีรัศมีสว่างเป็นสายลงมาถูกองค์นางก็ตกใจตื่นขึ้น รุ่งขึ้นเช้านางจึงเล่าความฝันให้โหรฟัง โหรทำนายว่าจะตั้งครรภ์เกิดพระราชโอรสมีบุญญาธิการมาก นางล่อเจ๊ทรงครรภ์ได้สิบเอ็ดเดือน ก็ประสูติเซียวเฮา ๆ นี้สมควรที่จะยกขึ้นให้เป็นกษัตริย์ ขุนนางทั้งปวงปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันแล้ว จึงยกเซียวเฮาเป็นกษัตริย์ตามราชประเพณี ทรงพระนามว่าพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ ๆ ได้เป็นกษัตริย์พระองค์มีพระทัยใส่ในราชการบ้านเมือง พระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยรักใคร่เป็นอันมาก ไพร่บ้านพลเมืองก็พากันประพฤติสุจริตธรรมเหมือนแต่ก่อน อยู่มาวันหนึ่ง มีหงส์ตัวหนึ่งบินมาจับที่หลังคาอ่อกอก คือหลังคาเก๋งพระตำหนักพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ พวกขุนนางก็นำความขึ้นกราบทูล พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้จึงตรัสถามว่าหงส์มาจับอยู่ที่หลังคาดังนี้จะดีชั่วประการใด พวกขุนนางทูลว่า หงส์นี้เป็นสัตว์ประกอบอยู่ในการมงคล ซึ่งบินมาจับที่หลังคาเก๋งพระตำหนักของพระองค์ดังนี้ก็เป็นการมงคลแก่พระองค์ จะมีพระชันษาเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป จะได้เป็นที่พึ่งแก่พวกข้าพเจ้าและเหล่าราษฎรทั้งปวง พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นก็ทรงยินดี จึงตรัสว่า ซึ่งท่านกล่าวว่าเป็นการมงคลนี้ขอให้การที่เป็นมงคลมีแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ตรัสดังนั้นแล้วจึงรับสั่งว่า ขุนนางที่ได้นำเรื่องหงส์เข้ามาบอกแก่เรานั้นจะตั้งให้เป็นขุนนาง แต่จะให้มีนามหงส์ติดอยู่ด้วยในชื่อตั้ง ตรัสดังนั้นแล้วจึงตั้งขุนนางพวกนั้นเป็นที่ฮ่งเหนียวชื่อคนหนึ่ง เป็นที่เทียนเหนียวชื่อคนหนึ่ง เป็นที่แซ่เหนียวชื่อคนหนึ่ง เป็นที่ตันเหนียวชื่อคนหนึ่ง เป็นที่จอกคีวสีคนหนึ่ง เป็นที่ชุยคีวสีคนหนึ่ง เป็นที่เม่งคีวสีคนหนึ่ง เป็นที่ปุดคีวสีคนหนึ่งรวมแปดคนด้วยกัน แล้วตั้งพวกกิซีขุนนางอีกห้าคน คนหนึ่งชื่อหวยกีซีเป็นที่ซือแป คนหนึ่งชื่อเม่งกีซีเป็นที่ซือตง คนหนึ่งชื่อซองกีซีเป็นที่ซือโกว คนหนึ่งชื่อคุดกีซีเป็นที่ซีชือ เสื้อและหมวกซึ่งขุนนางสวมนั้น ให้ปักเป็นรูปหงส์และรูปนกต่าง ๆ ตามยศ ตั้งแต่นั้นมาจีนที่เป็นขุนนางในตำแหน่งทำราชการในเมืองหลวง เสื้อสวมปักเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ อยู่ที่อกมีเป็นธรรมเนียมตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นลำดับสืบต่อ ๆ มาจนทุกวันนี้

ขณะนั้นบ้านเมืองเจริญราษฎรทำมาหากินตามภูมิลำเนา ต้นไม้ทั้งปวงซึ่งมีผลนั้นก็มีผลบริบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ราษฎรได้ความสุขมากขึ้น กิตติศัพท์เล่าลือถึงเมืองใกล้เคียงที่ไม่เคยมาเป็นเมืองขึ้นนั้น ก็จัดหาสิ่งของเป็นเครื่องบรรณาการมาจิ้มก้อง ครั้นถึงเมืองหลวงแล้วขุนนางเจ้าพนักงานก็นำเครื่องบรรณาการมาถวายยอมเป็นเมืองขึ้นแก่พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้เก้าเมือง เมื่อพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ได้เสวยราชสมบัตินั้น พระองค์ได้ตั้งจูเฮ้าผู้รักษาเมืองไปรักษาหัวเมืองอีกหลายเมือง รวมหัวเมืองเก่าหัวเมืองใหม่เป็นแปดสิบเอ็ดหัวเมือง ก็เรียบร้อยเป็นปกติดีเหมือนดังก่อน ครั้นอยู่มาพวกชาวเมืองกีวหลีซึ่งตั้งอยู่จอกกอก เที่ยวตีบ้านเล็กเมืองน้อยได้หลายตำบลมีทแกล้วทหารเป็นอันมาก มีจิตกำเริบจะยกกองทัพมาตีเมืองพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ ขุนนางนายด่านมีใบบอกแจ้งความมายังเจ้าพนักงานให้ทูลพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ ๆ ได้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสถามขุนนางว่า พวกกีวหลีนี้เป็นเชื้อวงศ์ใด ชำนาญในการสงครามอยู่หรือประการใด เกาเหลงขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งเป็นบุตรพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้ทูลว่า พวกกีวหลีนี้เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้ายี่นอ่องสีฮ่องเต้ มีพี่น้องเก้าคนร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่ชายที่หนึ่งชื่อหลีทำหน้าขาวสูงหกศอกหกนิ้ว คนที่สองชื่อหลีกือหน้าดำสูงเจ็ดศอกคืบ คนที่สามชื่อหลีลอกหน้าเขียวครามสูงหกศอกคืบเก้านิ้ว คนที่สี่ชื่อหลีบุนหน้าเขียวสูงหกศอกหกนิ้ว คนที่ห้าชื่อหลีเฉียมหน้าเหลืองสูงหกศอกหกนิ้ว คนที่หกชื่อหลีบู๊หน้าขาวสูงหกศอกหกนิ้ว คนที่เจ็ดชื่อหลีโพหน้าแดงสูงหกศอกหกนิ้ว คนที่แปดชื่อหลีฮูหน้าขาวสูงหกศอกหกนิ้ว คนที่เก้าชื่อหลีปิดหน้าแดงสูงหกศอกหกนิ้วชำนาญในการสงครามและเพลงอาวุธต่าง ๆ ใช้เครื่องอาวุธนั้นก็ต่าง ๆ มีทั้งฝีมือและกำลังคนเดียวสู้ได้ถึงหมื่นคน แล้วถือตัวว่าเป็นเชื้อกษัตริย์ ไม่มีผู้ใดจะทัดทานห้ามปรามได้ จึงซ่องสุมผู้คนได้มาก เที่ยวตีบ้านเล็กเมืองน้อยได้หลายเมือง มีใจกำเริบจะยกมาตีเมืองชิงเอาสมบัติของพระองค์ พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ได้ทรงฟังเกาเหลงขุนนางผู้ใหญ่ทูลดังนั้นจึงตรัสว่า เราก็ได้ตั้งจูเฮ้าเจ้าเมืองให้ไปอยู่รอบอาณาเขตแล้ว เหตุใดจึงพากันนิ่งไว้ละให้พวกกีวหลีกำเริบขึ้นถึงเพียงนี้ เกาเหลงจึงทูลว่า แต่ก่อนบ้านเมืองเรียบร้อย ราษฎรมีความสุขมิได้เกิดศึกมาช้านานแล้ว จูเฮ้าทั้งหลายจึงมิได้ร่ำเรียนศึกษาให้ชำนาญในการสงครามท่วงทีที่จะกระทำศึกรบพุ่งนั้นก็หาได้รู้ไม่ ครั้นมาคราวนี้ทราบข่าวว่าพวกกีวหลีมีกำลังมาก พวกจูเฮ้าก็ต้องร่ำเรียนฝึกสอนให้ชำนิชำนาญในการศึกสงครามอยู่เอง บัดนี้ข้าพเจ้าทราบว่าจูเฮ้าทั้งหลายต่างคนต่างตกใจกลัวจะเสียบ้านเมือง จึงตระเตรียมทหารไปรักษาหน้าที่เขตแดนบ้านเมืองของตัวไว้ให้มั่นคงก่อน ต่อเมื่อใดได้โอกาสของพระองค์แล้ว จึงจะคิดไปกำจัดพวกกีวหลี ประการหนึ่งพวกจูเฮ้าทั้งหลาย ซึ่งจะยกกองทัพออกปราบปรามพวกกีวหลีแต่ลำพังปัญญาและฝีมือตัวเองนั้น ก็เห็นจะต้านทานกำลังและฝีมือและปัญญาพวกกีวหลีไม่ได้ พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงพระวิตกเป็นอันมาก มีคำพังเพยว่า นักปราชญ์คนหนึ่งชื่อจีวแซ่อึนกล่าวว่า ธรรมดาเป็นกษัตริย์ตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว ก็แผ่อาณาเขตกว้างขวางด้วยอำนาจออกไปได้มาก ราษฎรและหัวเมืองทั้งหลายซึ่งเป็นเมืองขึ้นอยู่แต่ก่อนก็ดี และมิได้เคยขึ้นนั้นก็ดี จะมีใจยินดีสามิภักดิ์รักใคร่มิได้ย่ำยีทรยศเป็นกบฏประทุษร้ายให้ได้ความเดือดร้อน แต่พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้นี้ พระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม ซึ่งชาวเมืองกีวหลีเที่ยวรบกวนข่มเหงราษฎรครั้งนี้ก็เป็นธรรมดาของโลก สิ้นคำพังเพยแต่เท่านี้

พระเจ้ากีมเต๊กอ๋องฮ่องเต้จึงตรัสแก่เกาเหลงว่า พวกกีวหลีพากันกำเริบขึ้นนั้น เพราะพวกจูเฮ้าผู้รักษาเมืองฝ่ายเราเพิกเฉยเสีย ท่านจะคิดอ่านประการใด เกาเหลงจึงทูลว่าข้าพเจ้าคิดเห็นว่า พวกกีวหลีนี้เป็นคนชำนาญในการพิชัยสงคราม แล้วก็มีกำลังและสติปัญญามาก ซึ่งพระองค์จะตรัสสั่งให้พวกจูเฮ้าแต่เมืองหนึ่งสองเมืองไปปราบปรามพวกกีวหลีนั้นเห็นจะไม่ได้ชัยชนะ ข้าพเจ้าจะขอรับอาสาเป็นแม่ทัพไปกำจัดพวกกีวหลี จะขอจูเฮ้าที่เมืองใกล้เคียงเขตแดนกีวหลีไปช่วยข้าพเจ้าสักเก้าหัวเมือง จะได้ฝึกหัดให้ชำนาญตั้งค่ายในกระบวนทัพศึกจึงจะเอาชัยชนะพวกกีวหลีได้ พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ได้ทรงฟังเกาเหลงทูลดังนั้นก็โปรดให้เกาเหลงเป็นแม่ทัพแล้วตรัสว่า ซึ่งท่านขอจูเฮ้าเก้าเมืองไปช่วยนั้น ท่านจะเลือกเอาจูเฮ้าเมืองไหนไปด้วยก็ตามใจเถิด แต่ให้รีบยกไปปราบปรามพวกกีวหลีโดยเร็ว เกาเหลงทราบดังนั้นแล้วก็คำนับลาไปยังที่อยู่ จึงให้มีหนังสือบอกออกไปเกณฑ์จูเฮ้าเจ้าเมืองเก้าเมือง คือชื่อเกียงเลียดเป็นบุตรตี่หลีเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง ชื่อเกียงเหงาเป็นบุตรตี่เชงเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง ชื่ออ้วงเจ่งเป็นบุตรตี่หงีเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง ชื่อเตี้ยวกีมเชื้อพระวงศ์พระเจ้านางหนึ่งออลีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง ชื่อเพงตี้เป็นบุตรเปกฮองสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าท้ายเฮาเมืองหนึ่ง ชื่อกวนเตาเป็นบุตรบู๊ฮ่วยสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้านางหนึ่งออสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง ชื่ออวงเลียดอยู่ในวงศ์อิวเซาสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้ายี่นอ่องสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง ชื่อหิ้มโงยอยู่ในวงศ์ไต้ตุนสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้ายีนอ่องสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง ชื่อหิ้มถังเกิดในวงศ์ชื่อมีนสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้ายี่นอ่องสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง รวมเก้าหัวเมือง ให้คุมพลทหารเมืองละสามหมื่น ยกมาให้พร้อมกันที่เมืองหลวงก่อน รวมทหารเก้าหัวเมืองเป็นทหารยี่สิบเจ็ดหมื่น ครั้นเกณฑ์ได้หัวเมืองทั้งเก้าเสร็จแล้วเกาเหลงก็เข้าไปทูลพระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเกณฑ์พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งเก้าและจัดแจงพลทหารพร้อมแล้ว พระเจ้ากิมเต๊กอ๋องฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นทรงยินดีจึงตรัสว่า ถ้าได้พิชัยฤกษ์เวลาใด ขอเชิญท่านจงยกไปเวลานั้นเถิด ประการหนึ่งท่านยกไปครั้งนี้ ขอให้มีชัยชนะแก่พวกกีวหลีซึ่งคิดประทุษร้าย ขอให้ท่านเสียงเต้ ๆ คือพระอิศวรประสิทธิ์ให้แก่ท่านเถิด เกาเหลงคำนับรับพระพรแล้วทูลลาออกมาจัดพลทแกล้วทหารนายทัพนายกองพร้อมเสร็จ จึงสั่งให้จูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งเก้า คุมพลทหารเมืองละสามหมื่นยกไปให้พร้อมกันทั้งเก้าเมืองไปเมืองละทาง แล้วเกาเหลงแม่ทัพก็คุมพลทหารสามหมื่นยกตามไปยังทางอีกหกสิบลี้คือพันเส้นจะถึงเมืองจอกกอก ๆ นี้ต่อลงมาครั้งแผ่นดินสามก๊กเรียกว่าเมืองเสฉวน จึงสั่งให้จูเฮ้าทั้งเก้าเมืองให้หยุดกองทัพตั้งค่ายลงไว้ที่นั่น คอยดูท่วงทีหลีทำกับพี่น้องหลีทำจะคิดกระทำประการใด

ฝ่ายหลีทำนั่งพูดอยู่กับน้องชายแปดคนว่าทุกวันนี้ไม่มีผู้ใดที่จะต้านทานฝีมือเราได้ แล้วชวนกันเสพย์สุราพูดจากันตามสบาย

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ