๓๕

ฝ่ายเจ๊กอ๋องไถจู๊ เงี่ยวอ๋องไถจู๊ เคียดอ๋องไถจู๊เห็นว่าจี่อ๋องไถจู๊ซึ่งเป็นผู้ใหญ่จะคิดเอาราชสมบัติ ครั้นจะพากันขัดขวางก็กลัวฝีมืออยู่ จึงว่าแก่จี่อ๋องไถจู๊ว่า ท่านก็เป็นโอรสผู้ใหญ่ ควรจะครองราชสมบัติแทนพระบิดาได้แล้ว ข้าพเจ้าพี่น้องสามคนนี้ก็มีความยินดีด้วยเพราะจะได้พึ่งบุญของท่าน ฝ่ายขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นรู้ว่าเจ้าทั้งสามองค์ยอมยกสมบัติให้พี่ชายก็พากันเสียใจแลดูหน้ากันไม่รู้ที่จะว่ากล่าวประการใด จึงพากันยกจี่อ๋องไถจู๊ขึ้นเป็นกษัตริย์สืบขัตติยราชประเพณี ทรงพระนามว่าพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ ๆ มีพระพักตร์แดงดังผลลิ้นจี่สุก หนวดเหลือง คิ้วใหญ่ ดวงเนตรโต เสียงดังเปรียบเหมือนเสียงระฆัง พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ครองราชสมบัติประพฤติการถูกต้องตามราชประเพณีได้ห้าปี แล้วก็เล่นแต่การต่าง ๆ ซึ่งเป็นการสนุกสนาน และเล่นการดนตรีซึ่งเป็นที่ประโลมจิต มิได้เป็นธุระในการบ้านเมือง เวลาออกขุนนางก็มิได้ว่าราชการบ้านเมืองประการใด แล้วตรัสว่าเมื่อพระบิดาเรามีพระชนม์อยู่นั้น ท่านได้ทะนุบำรุงไพร่บ้านพลเมืองมีความเจริญขึ้นกว่าแต่ก่อน บัดนี้เราใช้สอยเงินทองในท้องพระคลังบกพร่องน้อยไป เราจะขอแบ่งเงินทองของเศรษฐีและราษฎรลูกค้าที่มั่งมีเข้ามาเพิ่มเติมไว้ในท้องพระคลัง เศรษฐีและราษฎรลูกค้ามีเงินทองมากน้อยเท่าใดให้ทำเป็นสิบส่วนเราจะขอแบ่งแต่สองส่วน จะให้เจ้าของไว้แต่แปดส่วน แม้นผู้ใดปิดบังอำพรางเงินทองไว้ไม่บอกความจริง เราจะเอาโทษถึงชีวิต ประการหนึ่ง ตึกและเก๋งในพระราชวังซึ่งนางสนมอยู่แต่ก่อนนั้นก็มีแต่ห้องเปล่าเป็นอันมาก ถ้าผู้ใดมีบุตรหญิงรูปงามตั้งแต่อายุยี่สิบปีลงมาเพียงสิบหกปี ก็ให้ส่งบุตรหญิงนั้นเข้ามาให้แก่เรา ถ้าหญิงนั้นมีผู้มาสู่ขอไว้แต่ยังไม่ได้ส่งตัวไปอยู่ด้วยสามี ก็ให้ส่งเข้ามาให้แก่เราด้วย ถ้าบิดามารดาและญาติพี่น้องปิดบังอำพรางไว้ มีผู้มาฟ้องร้องสืบได้ความจริง จะทำโทษแก่บิดามารดาและญาติพี่น้องซึ่งปิดบังหญิงไว้ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด พวกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยได้ฟังดังนั้นก็เห็นผิดประหลาด แต่เกรงพระราชอาญา ไม่อาจทูลทัดทานประการใด ต่างคนต่างแลดูหน้ากันแล้วนิ่งอยู่ พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้จึงรับสั่งว่า ซึ่งเรามีความปรารถนาทั้งนี้ จะมีผู้ใดอาสาเราได้บ้าง

ขณะนั้นพระญาติพระวงศ์สององค์ ชื่อสิดปาอ๋ององค์หนึ่ง ชื่ออีเปกอ๋ององค์หนึ่งเป็นคนโลภ ได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็ดีใจด้วยปรารถนาที่จะได้เศษได้เลยในราชการ จึงทูลว่าข้าพเจ้าทั้งสองจะรับอาสาไปเก็บหญิงและทองเงินมาถวายให้สมดังพระราชประสงค์ให้จงได้ พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงพระโสมนัส จึงตั้งสิดปาอ๋องเป็นที่เจียโตวจ้องอ๋อง ตั้งอีเปกอ๋องเป็นที่ฮูโตวจ้องอ๋อง ผู้สำเร็จราชการในการสองเรื่องนี้ แล้วทรงเขียนอักษรประทับตราหลวงให้เป็นสำคัญ สิดปาอ๋อง อีเปกอ๋องก็คำนับมาที่อยู่ด้วยความยินดี จึงให้จัดโต๊ะเลี้ยงกันตามพวกพ้องเสร็จแล้ว จัดบ่าวไพร่ที่ร่วมใจไปด้วยกันพันคน

ฝ่ายไต้เงียบกับตงหยงขุนนางผู้ใหญ่ กับขุนนางผู้น้อยร้อยเจ็ดสิบคน ครั้นออกจากที่เฝ้าแล้วมาประชุมพร้อบกันที่ตึกสำหรับว่าราชการ ไต้เงียบตงหยงถอนใจใหญ่แล้วจึงว่า ซึ่งกษัตริย์ประพฤติการไม่อยู่ในยุติธรรมให้เสียธรรมเนียมดังนี้ เปรียบเหมือนฤดูที่ร้อน แล้วพระญาติพระวงศ์ทั้งสองรับอาสาไปนั้น เปรียบเหมือนกองเพลิงอันร้อนแรงเกิดเพิ่มขึ้นอีก ราษฎรก็จะพากันได้ความเดือดร้อนมากนัก ครั้นราษฎรได้ความเดือดร้อนแล้วบ้านเมืองก็จะไม่เป็นสุข คงจะเกิดการกลียุคเข็ญขึ้น เห็นจะวุ่นวายไปทั่วทั้งแผ่นดินในคราวนี้เป็นแน่ พรุ่งนี้เราจะพากันไปเฝ้าเงี่ยวอ๋องทูลความอันนี้ให้ทราบ จะได้ช่วยกันระงับดับทุกข์ร้อนอันนี้เสีย แล้วต่างคนต่างก็พากันไปบ้าน

ฝ่ายเงี่ยวอ๋องถ้าวันใดมิได้ขึ้นเฝ้าแล้วก็มักให้คนใช้ไปคอยฟังราชการแทนตัวอยู่มิได้ขาด เวลาวันนั้นคนใช้ไปฟังราชการแจ้งว่าขุนนางทั้งปวงปรึกษากันด้วยข้อราชการดังนั้นแล้ว จะชวนกันมาเฝ้าเงี่ยวอ๋อง คนใช้ก็รีบนำเอาความมาทูลแก่เงี่ยวอ๋อง ๆ ได้ทราบความตามคำคนใช้ทูลว่าพระเจ้าจีเต้ฮ่องเต้ใช้ให้สิดปาอ๋องอีเปกอ๋องทั้งสองไปกระทำการผิดธรรมเนียมดังนั้นก็ตกใจ จึงคิดว่าพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้กระทำการผิดธรรมเนียมดังนี้ ก็เป็นการที่ราษฎรจะได้ความเดือดร้อนนัก แต่เราผู้เดียวจะเข้าไปทูลทัดทานนั้น ที่ไหนพระองค์จะเชื่อฟัง เราจำจะต้องไปเชิญเจ้าแปดองค์ คือเปกอุนอ๋ององค์หนึ่ง ตงคำอ๋ององค์หนึ่ง ซอกเพี่ยนอ๋ององค์หนึ่ง กุยต้องอ๋ององค์หนึ่ง เปกเฮาอ๋ององค์หนึ่ง ต้องฮิมอ๋ององค์หนึ่ง ซอกปาอ๋ององค์หนึ่ง กุยลี้อ๋ององค์หนึ่ง ซึ่งเป็นวงศ์ของพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ แล้วเจ้าทั้งแปดองค์นี้ก็มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีใจอารีอารอบ เอาใจใส่รักใคร่ไพร่บ้านพลเมือง เชิญมาพร้อมกันแล้วก็จะได้ช่วยกันเข้าไปทูลทัดทานพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ เห็นพระองค์คงจะเชื่อถ้อยคำด้วยท่านทั้งแปดนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วก็เกรงใจด้วย เมื่อเงี่ยวอ๋องคิดเห็นฉะนี้แล้ว รุ่งขึ้นเวลาเช้าจึงให้คนไปเชิญเจ้าแปดองค์นั้นมา ครั้นเจ้าแปดองค์มาพร้อมกันแล้ว ต่างคนต่างก็คำนับกันตามธรรมเนียม เงี่ยวอ๋องจึงเล่าความที่คิดไว้ให้เจ้าแปดองค์ฟัง

ฝ่ายไต้เงียบตงหยงขุนนางทั้งสอง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าก็พากันมาเฝ้าเงี่ยวอ๋องแต่ยังมิทันเข้าไปไม่ จึงบอกนายประตูว่าจะขอเข้าไปเฝ้าเวลานั้น เงี่ยวอ๋องปรึกษากับเจ้าแปดองค์ยังมิทันที่จะสิ้นความ ขณะนั้นพอนายประตูเข้ามาบอกว่า บัดนี้ไต้เงียบตงหยงขุนนางทั้งสองจะขอเข้ามาเฝ้า แต่ยังไม่มีโอกาสจึงไม่อาจเข้ามาเฝ้า บอกให้ข้าพเจ้ามาแจ้งแก่ท่านก่อน เงี่ยวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้เชิญไต้เงียบตงหยงเข้ามา ขุนนางทั้งสองได้โอกาสแล้วก็พากันเข้ามาคำนับเงี่ยวอ๋อง ๆ จึงถามว่าท่านทั้งสองมาหาเรานี้มีธุระประสงค์สิ่งไรหรือ ไต้เงียบตงหยงจึงทูลว่า ข้าพเจ้าทั้งสองมาทั้งนี้ด้วยมีความวิตกร้อนใจนัก เหตุด้วยเวลาวานนี้พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้รับสั่งใช้ให้สิดปาอ๋องกับอีเปกอ๋อง พระญาติพระวงศ์ทั้งสอง ไปแบ่งเงินทองซึ่งเป็นของเศรษฐีและราษฎรลูกค้าชาวบ้านมาใส่ในท้องพระคลัง แล้วให้เก็บบุตรหญิงสาวซึ่งเป็นบุตรของเศรษฐีและราษฎรลูกค้าชาวบ้านชาวเมืองที่ยังไม่มีสามี ตั้งแต่อายุยี่สิบปีลงมาถึงสิบห้าปี ให้ส่งเข้าไปถวายไว้ในพระเก๋งด้วย ข้าพเจ้าทั้งสองเห็นว่าพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้กระทำการทั้งนี้ผิดราชประเพณีแต่ก่อน ประการหนึ่งสิดปาอ๋องกับอีเปกอ๋องพระญาติพระวงศ์ทั้งสองนั้นเป็นคนมิได้ซื่อสัตย์สุจริตแล้วเป็นคนโลภมักแต่จะใคร่ได้ของผู้อื่น แล้วเป็นคนมักมากในสตรีด้วย ครั้นได้รับสั่งพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้แล้วก็จะพากันกำเริบ ข่มเหงเบียดเบียนราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนมากขึ้นอีก นึกจะทำอย่างไรก็จะทำแต่ตามลำพังใจด้วยถือว่าได้รับสั่งแล้ว เป็นคนมิได้มีเมตตาจิตแก่ไพร่บ้านพลเมือง ไพร่บ้านพลเมืองก็จะเคืองขุ่นวุ่นวายไม่สบายไปทั่วทั้งแผ่นดินเป็นสองซ้ำ ครั้นราษฎรได้ความเดือดร้อนมากนักแล้วบ้านเมืองก็จะไม่เป็นสุข ข้าพเจ้าเห็นว่าคงเกิดการกลยุคเข็ญทั้งแผ่นดินเป็นแน่ แต่ลำพังพวกข้าพเจ้าจะทูลทัดทานนั้นเห็นจะไม่ได้ จึงได้ปรึกษากันแล้วพามาหาท่านทั้งนี้ หมายจะให้ท่านช่วยไปทูลทัดทานพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ไว้ อย่าให้กระทำการผิดธรรมเนียมประเพณี ถ้าท่านมิได้เข้าไปทูลทัดทานแล้ว นานไปข้างหน้าบ้านเมืองคงจะเกิดวุ่นวายเหมือนคำข้าพเจ้าเป็นแน่ เงี่ยวอ๋องจึงว่าแก่ขุนนางทั้งสองว่า เหตุการณ์ที่เกิดวุ่นวายดังนี้เรารู้แล้ว เราจึงได้ไปเชิญท่านทั้งแปดองค์นี้มา ปรารถนาจะเข้าไปทูลทัดทานให้พร้อมกัน ก็เห็นว่าพระองค์ก็จะมิได้ประพฤติต่อไป ซึ่งท่านมาหาเราและบอกกล่าวแก่เรานี้ เราขอบใจแก่ท่านทั้งสองนัก สมควรที่ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่มีใจเมตตาแก่ราษฎร ไต้เงียบตงหยงขุนนางทั้งสองครั้นทราบว่าเงี่ยวอ๋องผู้เป็นอนุชาทราบความแล้ว เงี่ยวอ๋องตระเตรียมเชื้อเชิญเจ้าทั้งแปดองค์มาด้วย จะได้ช่วยกันไปทูลทัดทานห้ามปรามพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ ขุนนางทั้งสองก็มีความยินดีแล้วก็พากันคำนับลาเงี่ยวอ๋องกลับไปบ้าน

ฝ่ายพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ได้ครองราชสมบัติได้ห้าปี แล้วก็มิได้เอาพระทัยใส่ในราชการบ้านเมือง ต่อนาน ๆ บางทีกึ่งเดือนบ้างเดือนหนึ่งบ้าง จึงได้ออกว่าราชการสักครั้งหนึ่ง มิได้เป็นพระราชธุระในการบ้านเมือง ละเลยเสียเห็นแต่การสนุก แล้วราษฎรจะร้องทุกข์ด้วยถ้อยความประการใดก็เหลือที่จะลำบาก พวกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งจะนำข้อราชการบ้านเมืองหรือถ้อยความของราษฎรขึ้นกราบทูลนั้นก็ลำบากอกลำบากใจ ไม่อาจที่จะทูลได้โดยสะดวก ด้วยเวลาเช้าค่ำพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้อยู่แต่ข้างใน มิใคร่จะออกขุนนางข้างหน้า แล้วเสพย์สุรานั้นมิได้เป็นกำหนด ครั้นเสพย์สุราเมาแล้วก็เล่นอยู่แต่กับหมู่นางสนมเชยชมหยอกเอินเล่นต่าง ๆ อย่างคนเมา มิได้มีละอายพระทัย

ฝ่ายเงี่ยวอ๋องกับเจ้าแปดองค์ครั้นเวลารุ่งเช้าก็พากันขึ้นไปคอยเฝ้าอยู่ที่ข้างหน้า คอยเฝ้าตั้งแต่เวลาเช้าจนตะวันเย็นก็มิได้เห็นเสด็จออกก็พากันกลับ แล้วมาปรึกษากันว่าเวลาวันนี้มิได้เสด็จออกว่าราชการข้างหน้านั้น เห็นจะมีราชการข้างในมาก เวลาพรุ่งนี้เราจึงค่อยพากันขึ้นไปเฝ้าใหม่ให้พร้อมกัน ครั้นปรึกษากันแล้วต่างคนต่างก็กลับไปบ้าน ครั้นเวลารุ่งเช้าก็พากันขึ้นเฝ้าใหม่ ก็มิได้เห็นเสด็จออกเหมือนดังนั้น แต่เงี่ยวอ๋องกับเจ้าแปดองค์คอยเฝ้าอยู่ถึงห้าวันก็มิได้เสด็จออก ครั้นถึงวันที่หกเงี่ยวอ๋องกับเจ้าแปดองค์คอย ๆ มิได้เห็นเสด็จออกแล้ว ก็พากันตรงเข้าไปถึงข้างใน เห็นพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้เสวยสุรากำลังเมาเล่นอยู่กับหมู่นางสนมเป็นอันมาก ก็พากันเข้าไปคำนับพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ ๆ ได้ทอดพระเนตรเห็นเงี่ยวอ๋องกับเจ้าแปดองค์ ซึ่งเป็นวงศ์ของพระเจ้าตีคอกฮ่องเต้ พากันเข้ามาคำนับเฝ้าถึงข้างในดังนั้น เห็นผิดธรรมเนียมเฝ้าก็ตกพระทัยจึงตรัสถามว่า เจ้าน้องพากันมาทั้งนี้มีธุระสิ่งใดหรือ เงี่ยวอ๋องจึงทูลว่าตั้งแต่ครั้งแผ่นดินเทียนอ่องสีฮ่องเต้ ตี่อ่องสีฮ่องเต้ ยี่นอ่องสีฮ่องเต้ทั้งสามองค์ได้เป็นกษัตริย์สืบ ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าลักษณะเป็นกษัตริย์นั้น ต้องเอาพระทัยใส่ในราชการบ้านเมือง และทะนุบำรุงราษฎรให้มีความสุขจึงจะควร บัดนี้พระองค์มิได้มีพระทัยใส่ในราชการแผ่นดินมิได้ออกว่าราชการ และมิได้ทะนุบำรุงให้ราษฎรมีความสุข มัวเสพย์สุราหลงอยู่แต่ในการสตรีให้เสียประเพณีกษัตริย์แต่ก่อนนั้นก็เป็นการผิดธรรมเนียมอยู่แล้ว พระองค์ยังจะให้สิดปาอ๋องกับอีเปกอ๋องทั้งสองไปเบียดเบียนราษฎร จะแบ่งเอาเงินทองและบุตรหญิงของเขานั้น ราษฎรไพร่บ้านพลเมืองจะมิเดือดร้อนนักหรือ ถ้าแลจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งหลายทราบว่าพระองค์ประพฤติผิดธรรมเนียมดังนี้ จะมีความโกรธคิดวุ่นวายขึ้นมา ถ้าพากันยกกองทัพมาประทุษร้ายต่อพระองค์ พระองค์จะคิดประการใด ข้าพเจ้าทั้งปวงคิดเห็นว่า ถ้าพระองค์มิได้กลับพระทัยเสียใหม่ ขืนประพฤติการเช่นนี้อยู่แล้ว บ้านเมืองก็จะไม่เป็นสุข คงจะเกิดการวุ่นวายไปข้างหน้าเป็นแท้ จึงได้พากันเข้ามาเฝ้าเตือนพระสติพระองค์ให้ทราบ พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า ทุกวันนี้เรารู้อยู่ว่าแต่ชั้นราษฎรที่มีภรรยาใหญ่คนหนึ่งแล้วและยังมีภรรยาน้อยอีกถึงสี่คนบ้างห้าคนบ้างก็มี แล้วจะใช้สอยสิ่งของทองเงินก็บริบูรณ์ เราเป็นถึงกษัตริย์สืบตระกูลพระราชบิดามา แต่เพียงจะขอแบ่งเอาเงินทองและผู้หญิงมาไว้ที่เก๋งห้องเปล่า ๆ บ้าง การเท่านี้นี่พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองจะมาคิดประทุษร้ายต่อเราทีเดียวหรือ ถ้ากระนั้นพวกราษฎรจะดีกว่าเรา ๆ จะมิสู้ราษฎรไม่ได้หรือ ท่านจะเห็นไม่ควรแล้วหรือด้วยเราจัดทำอย่างนี้ไม่สู้กระไรนัก เงี่ยวอ๋องเห็นว่าจะทูลทัดทานไม่ได้แล้ว กลัวจะมีความผิดก็หมอบฟุบนิ่งอยู่ตรงหน้าพระที่นั่ง

ขณะนั้นเจ้าทั้งแปดองค์ก็ทูลว่า ถ้าพระองค์มิได้ทรงเชื่อฟังถ้อยคำเงี่ยวอ๋องทูลดังนี้แล้ว ยังจะประพฤติแต่การมัวเมาและการสตรีเสมออยู่ดังนี้ ข้าพเจ้าทั้งปวงกลัวว่าภัยนั้นจะใกล้เข้ามาถึงพระองค์อยู่แล้ว พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นก็ทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วหัวเราะเล่นกับนางสนมทั้งนั้น มิได้ผันพระพักตร์มาตรัสประการใด แล้วตวาดทหารรักษาพระองค์ว่าให้ไล่พวกนี้ไปเสียให้หมด

ฝ่ายเงี่ยวอ๋องกับเจ้าแปดองค์ มิรู้ที่จะทำประการใดก็พากันกลับออกมา

ฝ่ายพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ขุนนางผู้หนึ่งชื่อว่าจูซือ ๆ คนนี้เป็นน้าของพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ ๆ ให้ไปตามเร่งสิดปาอ๋องกับอีเปกอ๋องว่าได้เงินทองและสตรีมากน้อยเท่าใด ให้ทำบัญชีแล้วให้ส่งเงินทองและสตรีที่ได้นั้นเข้ามาถวายโดยเร็ว จูซือขุนนางได้รับสั่งแล้วถวายบังคมลารีบไปตามรับสั่ง

ฝ่ายสิดปาอ๋องอีเปกอ๋องทั้งสองนั้น ไปเที่ยวแบ่งเงินทองและเก็บบุตรสาวของจูเฮ้าเจ้าเมืองและเศรษฐีราษฎรลูกค้าทั้งหลายได้เป็นอันมาก จูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งหลายที่ยอมให้ก็มี มิยอมให้ก็มี สิดปาอ๋องกับอีเปกอ๋องทั้งสองครั้นรู้ว่าจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งหลายไม่ยินยอมพร้อมใจกันก็ตกใจ พอจูซือขุนนางไปตามเร่งก็รีบพากันกลับเข้ามาในเมืองหลวงพร้อมกันทั้งสามนาย เงินทองและสตรีที่ได้มานั้นก็เกียดกันเสียส่งเข้าไปถวายแต่ครึ่งหนึ่ง ยังอีกครึ่งหนึ่งนั้นก็แบ่งปันออกเป็นสามส่วน เอาไว้เป็นอาณาประโยชน์ของตนคนละส่วน ๆ ที่เหลือนั้นจึงถวายพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ แต่มิได้ทูลความว่าจูเฮ้าทั้งหลายโกรธมิได้ยอมให้ก็มีบ้าง ไม่ให้พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ทราบ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ