๓๙
พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า ทุกวันนี้เราก็ตั้งใจคิดทะนุบำรุงไพร่บ้านพลเมืองให้มีความสุข ให้ชื่อเสียงปรากฏไปภายหน้า แต่เดี๋ยวนี้เรายังมีความวิตกอยู่ด้วยจะคิดทำตำราละยิด คือปฏิทินให้ละเอียดกว่าแต่ก่อน นางซัวหงีสีฮองเฮาจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเห็นมีต้นหญ้าเกิดขึ้นในสวนดอกไม้ต้นหนึ่ง จะว่าต้นหญ้าอันใดนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ ใบนั้นงอกขึ้นวันละใบจนถึงวันที่สิบห้า ครั้นถึงวันที่สิบหกใบหญ้านั้นก็หล่นไปวันละใบจนถึงสิบห้าวัน คิดตั้งแต่วันใบหญ้านั้นงอกและใบหญ้าหล่น ก็พอครบสามสิบวันแล้วใบหญ้านั้นกลับงอกขึ้นอีกวันละใบไปจนถึงวันที่สิบห้า ครั้นถึงวันที่สิบหกใบหญ้านั้นหล่นไปจนถึงสิบสี่วัน คิดตั้งแต่วันใบหญ้างอกขึ้นและใบหญ้าหล่นไปนั้นได้ยี่สิบเก้าวัน ใบหญ้านั้นอยู่ใบหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นใบหญ้านั้นงอกขึ้นอีกใบหนึ่ง แล้วใบหญ้าที่เหลืออยู่ใบหนึ่งนั้นจึงได้หล่น ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูต้นหญ้าเป็นดังนี้ สอบด้วยดวงจันทร์ก็เป็นข้างขึ้นข้างแรมถูกต้องกันมาหลายเดือนแล้ว พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ทราบความดังนั้นจึงตรัสว่า ต้นหญ้านี้บังเกิดขึ้นเราคงจะคิดทำตำราละยิดนั้นสำเร็จได้ ด้วยต้นเดือนนั้นเปรียบเหมือนดวงจันทร์แหว่งแล้วก็ค่อยเต็มขึ้นวันละน้อย ๆ ไปจนถึงวันที่สิบห้า ดวงพระจันทร์จึงกลมบริบูรณ์ ครั้นถึงวันที่สิบหก ดวงพระจันทร์นั้นก็แหว่งไปวันละน้อย ๆ จนถึงที่สามสิบ ดวงพระจันทร์นั้นก็หายดวงไปคราวหนึ่ง ซึ่งการเป็นดังนี้เราจะคิดแบ่งเดือนหนึ่งให้เป็นสองตอน ตอนหนึ่งนั้นตั้งแต่เดือนวันที่หนึ่งไปจนถึงวันที่สิบห้านั้น จะให้เรียกว่าวันเกิดตอนหนึ่ง ตั้งแต่วันที่สิบหกไปได้สิบห้าวันนั้น จะให้ว่าวันแหว่งพอครบสามสิบวัน บัดนี้มีต้นหญ้าเกิดขึ้นดังนี้ต้องกันกับดวงพระจันทร์ ซึ่งเต็มขึ้นและแหว่งหายไปคราวหนึ่ง ครั้นพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ตรัสดังนั้นแล้วก็เสด็จไปทอดพระเนตรต้นหญ้านั้นด้วยนางซัวหงีสีฮองเฮา ต้นหญ้านั้นใบใหญ่กาบหนาคล้ายต้นผักกาด พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงให้เรียกต้นหญ้านั้นว่าต้นเม่งเกียบเช้า แปลว่าต้นรักเห็นความแน่ชัด ตั้งแต่นั้นพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ก็เสด็จไปทอดพระเนตรต้นเม่งเกียบเช้าทุกวัน ๆ ได้ประมาณเจ็ดสิบวันแปดสิบวัน ก็เห็นจริงดังถ้อยคำนางซัวหงีสีฮองเฮาทูลแล้ว พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการ จึงตรัสเล่าความซึ่งต้นเม่งเกียบเช้าเกิดขึ้นนั้นให้เจ้าและขุนนางทั้งปวงฟังแล้วจึงตรัสว่า เราคิดจะทำตำราละยิดจะได้แจกให้พวกราษฎรรู้ทั่วกันว่า ต้นเดือนวันที่หนึ่งใบเม่งเกียบเช้าเกิดขึ้นวันละใบจนถึงวันที่สิบห้านั้นให้เรียกว่าข้างขึ้น ตั้งแต่วันที่สิบหกใบเม่งเกียบเช้าหล่นไปจนสิบห้าวันนั้น ให้เรียกว่าวันข้างแรมพอครบสามสิบวัน ถ้าเดือนซึ่งใบเม่งเกียบเช้าเกิดขึ้นและหล่นไปจนถึงวันที่ยี่สิบเก้าแล้วแตกขึ้นใหม่นั้นให้เรียกว่าเดือนขาด และต้นเม่งเกียบเช้านี้เราจะให้ส่งไปให้แก่พวกจูเฮ้าผู้รักษาเมืองทั้งปวง ต้นหญ้าเม่งเกียบเช้านั้นก็มีอยู่แต่ต้นเดียวไม่มีหน่อไม่มีผลแล้ว การซึ่งจะทำปฏิทินนั้นผู้ใดจะรับอาสาทำให้ถูกต้องได้บ้าง ขุนนางในตำแหน่งโหรผู้หนึ่งชื่อฮือฮัวจึงทูลว่า ตำราละยิดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าปีหนึ่งมีวันถึงสามร้อยหกสิบห้าวัน แล้วฤกษ์บนก็มีอยู่สามร้อยหกสิบห้าฤกษ์ ซึ่งต้นเม่งเกียบเช้าเป็นดังนี้ ก็จะต้องคิดประกอบกันเข้าจะได้แบ่งวันให้เป็นข้างขึ้นข้างแรมให้ถูกต้อง ประการหนึ่งเดือนขาดนั้นถ้าครบสามปีแล้วก็ต้องให้ยุ่นง้วยครั้งหนึ่งคืออธิกมาส แต่ฤดูนั้นจะต้องจัดเสียใหม่ให้จะแจ้ง การอันนี้จะต้องตรึกตรองคิดทำอยู่สักสามปี ด้วยตำราและแบบแผนของเก่านั้นไม่มี ถ้าทำให้ถูกต้องเสร็จแล้วพระองค์จึงโปรดให้แจกไปให้พวกจูเฮ้าผู้รักษาเมืองและราษฎรรู้ทั่วกัน พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ฟังฮือฮัวทูลดังนั้นชอบพระทัย จึงทรงรินสุราสามถ้วยพระราชทานให้ฮือฮัวแล้ว จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดเงินพันตำลึงประทานให้แก่ฮือฮัว แล้วพระองค์ก็เสด็จเข้าข้างใน
ฝ่ายฮือฮัวนั้นกลับไปถึงบ้านแล้ว ก็เอาเหตุซึ่งต้นเม่งเกียบเช้าเกิดขึ้นนั้นมาคิดทำปฏิทินตั้งชื่อวันค่ำหนึ่งถึงสิบห้าค่ำนั้นให้ชื่อวันสรวกคอวันเกิด ตั้งแต่วันสิบหกค่ำคือวันแรมค่ำหนึ่งไปถึงวันสามสิบค่ำ คือถึงวันแรมสิบห้าค่ำให้เรียกว่าวันบ๋วยคือวันโรย แล้วแบ่งวันในเดือนหนึ่งนั้นเป็นสามตอน ๆ หนึ่งคือวันค่ำหนึ่งไปจนถึงวันสิบค่ำ ให้เรียกว่าเซียงซุนตอนหนึ่ง ๆ ตั้งแต่วันสิบเอ็ดค่ำไปถึงวันยี่สิบค่ำนั้น ให้เรียกว่าตอนซุนตอนหนึ่ง ๆ ตั้งแต่วันยี่สิบเอ็ดค่ำไปถึงวันสามสิบค่ำนั้น ให้เรียกว่าวันเหียะซุน คือวันสิ้นเดือนแล้วให้มีเดือนขาดและเดือนถ้วนตามการซึ่งเกิดแก่ต้นเม่งเกียบเช้า ครั้นครบสิบสองเดือน ให้เรียกปีหนึ่งตามตำราซึ่งมีมาแต่ก่อน และฤดูนั้นปีหนึ่งให้แบ่งสี่ฤดู ๆ หนึ่งคือเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม ให้แบ่งสามตอน ๆ หนึ่งเดือนอ้ายนั้น ให้เรียกว่าฤดูเม่งซุน ตอนเดือนยี่นั้น ให้เรียกว่าฤดูต้องซุน ตอนเดือนสามนั้นให้เรียกว่าฤดูกุยซุน รวมสามเดือนนี้เป็นฤดูใหญ่ฤดูหนึ่ง ให้เรียกว่าฤดูซุนตามเดิมคือฤดูหนาว และเดือนสี่เดือนห้าเดือนหกนั้น ให้แบ่งเป็นสามตอน ๆ เดือนสี่ให้เรียกว่าฤดูเม่งแฮ่ ตอนเดือนห้าเรียกว่าฤดูต้องแฮ่ ตอนเดือนหกเรียกว่าฤดูกุยแฮ่ รวมสามเดือนนี้เป็นฤดูใหญ่ฤดูหนึ่ง ให้เรียกว่าฤดูแฮ่ตามเดิมคือฤดูแล้ง และเดือนเจ็ดเดือนแปดเดือนเก้านั้นให้แบ่งเป็นสามตอน ๆ เดือนเจ็ดเรียกว่าฤดูเม่งซิว ตอนเดือนแปดเรียกว่าฤดูต้องซิว ตอนเดือนเก้าเรียกว่าฤดูกุยซิว รวมสามเดือนนี้เป็นฤดูใหญ่ฤดูหนึ่ง ให้เรียกว่าฤดูซิวตามเดิมคือฤดูร้อน และเดือนสิบเดือนสิบเอ็ดเดือนสิบสองนั้นแบ่งเป็นสามตอน ๆ เดือนสิบเรียกว่าฤดูเม่งตัง ตอนเดือนสิบเอ็ดเรียกว่าฤดูต้องตัง ตอนเดือนสิบสองเรียกว่าฤดูกุยตัง รวมสามเดือนนี้เป็นฤดูใหญ่ฤดูหนึ่ง ให้เรียกว่าฤดูตังตามเดิมคือฤดูฝน ด้วยเป็นฤดูฝน ฤดูแล้ง ฤดูหนาว ฤดูไม่หนาวไม่ร้อน ถ้าถึงสามปีแล้วให้มียุ่นง้วยครั้งหนึ่ง คืออธิกมาสและวันหนึ่งคืนหนึ่งนั้นก็แบ่งเป็นสิบสองราศี ๆ หนึ่งแปดเคก ครั้นฮือฮัวจัดแจงทำตำราละยิดเสร็จแล้ว ก็นำเข้าไปถวายพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ๆ ทอดพระเนดรแล้วตรัสว่า ฮือฮัวทำตำราละยิดถูกต้องดังใจเราคิดไว้ แต่ตำราซึ่งทำนี้ใช้ได้แต่ปีเดียวเท่านั้น การต้องทำแจกเสมอทุกปีไป ตรัสแล้วให้ขุนนางและอาลักษณ์ลงชื่อฮือฮัวลงในตำราละยิดว่าฮือฮัวเป็นผู้ทำ แล้วให้ลงพิมพ์ส่งไปให้ขุนนางและราษฎรในเมืองหลวงและหัวเมืองขึ้นให้รู้ทั่วกัน และชื่อเสียงฮือฮัวนั้นก็ปรากฏอยู่ในแผ่นดิน แล้วให้ฮือฮัวเลื่อนที่ขึ้นเป็นเจียเล็กจ๊องซีโฮ ได้ประทานดอกไม้ทองคำสองกิ่ง ๆ หนึ่งหนักสองร้อยตำลึง กับแพรต่วนสีต่าง ๆ พันพับ แล้วได้เครื่องยศตามตำแหน่งให้สอนศิษย์ศึกษาต่อไป แล้วพระองค์จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดโต๊ะเลี้ยงเจ้าและขุนนางในที่เฝ้า เมื่อเจ้าและขุนนางกินโต๊ะอยู่นั้นบังเกิดลมพายุใหญ่พัดกล้า พัดมาทางทิศตะวันออกประมาณครึ่งวันแล้วก็ยังไม่หยุด พัดจนโรงเรือนของราษฎรหักพัง ต้นไม้ในพระราชวังก็หักโค่น พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสด้วยพวกขุนนางว่า แต่ก่อน ๆ ก็ไม่มีลมดังนี้เลย ซึ่งลมพายุเกิดใหญ่ดังนี้ ต้นไม้ในพระราชวังหักโค่น เรือนโรงราษฎรซึ่งอยู่ข้างนอกวังไม่มีที่ปิดบังนั้นจะมิหักพังลงมากหรือ ตั้งแต่เราได้เป็นเจ้าแผ่นดินเมื่อปีก่อนก็เกิดไฟปีศาจ ราษฎรได้ความเดือดร้อนครั้งหนึ่ง ครั้งนี้มาเกิดลมพายุใหญ่พัดกล้า ถ้าลมพายุเกิดเนือง ๆ เหย้าเรือนราษฎรหักพัง คนที่ยากจนก็จะได้รับความลำบากต่าง ๆ เราเป็นเจ้าแผ่นดินคิดจะทะนุบำรุงให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ความสุข บัดนี้เทพยดาบันดาลให้การเกิดขึ้นดังนี้ เราก็เป็นแต่มนุษย์จะสู้รบกับเทวดานั้นได้หรือ ๆ จะเป็นด้วยเวรกรรมของราษฎร หรือจะเป็นเวรกรรมของเราด้วยก็ไม่รู้ และเมื่อไฟปีศาจเกิดขึ้นครั้งก่อนนั้น เพ่งหงีก็ได้ดับทุกข์ไปครั้งหนึ่งแล้วก็เกิดการเกิดขึ้นครั้งนี้อีกนั้น เราจะต้องให้เพ่งหงีไปปิดช่องลมที่ตำบลเขาแซจื้อ คือเมืองซัวตั๋งปลายเขตแดนที่ตำบลนั้นเป็นด้านตะวันออก มีเขาสูงเรียงกันเป็นแถวห่างกันบ้างใกล้เคียงกันบ้าง มีอยู่สิบสามเขาสิบสี่เขา ที่หว่างเขาห่างกันมีอยู่สามตำบล ๆ หนึ่งโดยกว้างยาวก็เพียงสามร้อยลี้ ที่อย่างแคบนั้นก็เพียงร้อยลี้แล้วก็ไกลด่านเขตแดนของเราประมาณสามร้อยลี้ ลมพัดมากระทบยอดเขาสูง แล้วก็พัดมาตามช่องเขาจึงได้เป็นลมใหญ่ ถ้าปิดช่องเขาเสียแล้วถึงลมจะพัดมากระทบยอดเขาก็จะกระจายไป เปรียบเหมือนน้ำใหญ่ไหลข้ามหลังทำนบทั่วไปก็ไม่สู้แรงนัก ถ้าทำนบนั้นเป็นช่องอยู่น้ำก็ไหลแรงออกไปตามช่องนั้น แต่บรรดาข้าราชการทั้งปวงได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็เห็นชอบด้วย สรรเสริญพระปัญญาพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ทุก ๆ คน พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า ถ้าได้เพ่งหงีไปกระทำการจึงจะสำเร็จ เจ้าและขุนนางทั้งปวงจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์ทรงพระดำริจะให้เพ่งหงีไปปิดช่องลมนั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้
ขณะนั้นเพ่งหงีหมอบเฝ้าอยู่ที่นั้นจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขอรับอาสาไปกระทำการอันนี้ให้สำเร็จ พระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังเพ่งหงีทูลรับอาสาดังนั้นก็ชอบพระทัย จึงประทานทหารสามหมื่นให้เพ่งหงีเป็นนายงานกำกับไปปิดช่องลม เพ่งหงีได้รับสั่งแล้วก็ถวายคำนับลาพาทหารสามหมื่น ไปถึงที่ตำบลเขาแซจื้อแล้ว สั่งให้ทหารสามหมื่นนั้นขุดดินพูนขึ้นที่หว่างเขาเป็นช่องลมอยู่นั้นให้เสมอกันกับยอดเขาทุก ๆ ช่อง แต่เพ่งหงีไปทำการปิดช่องลมอยู่ดังนี้ถึงสองปีการจึงได้สำเร็จ แล้วกลับเข้ามาทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ๆ พระราชทานบำเหน็จรางวัลให้เพ่งหงีและทหารซึ่งไปด้วยนั้นเป็นอันมาก ตั้งแต่นั้นมาลมพายุก็อ่อนลงมิได้พัดกล้าเหมือนแต่ก่อน ครั้นอยู่มามีสัตว์ร้ายเข้ามาทำร้ายแก่ราษฎรที่ตำบลท่องเท่งโอ๋ว ตำบลซุนหลิม ตำบลเนียนำ และสัตว์ร้ายที่ตำบลท่องเท่งโอ๋วคือทะเลสาบนั้นมีสัตว์ร้ายจำพวกหนึ่งชื่อไซย รูปนั้นคล้ายกันกับนาคกินปลา เท้านั้นสั้นเล็บยาวคมกว่าเล็บเสือ สัตว์จำพวกนี้เมืองไทยไม่มี สัตว์จำพวกหนึ่งชื่อหลัง รูปนั้นคล้ายสุนัข ปากนั้นเสี้ยมเล็บคม วิ่งเร็วกว่าสัตว์อื่น ๆ สัตว์จำพวกนี้เรียกว่าสุนัขใน สัตว์จำพวกหนึ่งชื่อโฮ้ว คือโคร่ง จำพวกหนึ่งชื่อป่าคือเสือลายตลับดุร้ายนัก ฝูงหนึ่งมีประมาณสี่ร้อยตัวห้าร้อยตัว ออกมาทำร้ายราษฎรเดือนละสี่ครั้งห้าครั้ง แล้วที่ตำบลซุนหลิมนั้นทุกวันนี้เรียกเมืองฮองเฮียงฮู ที่ตำบลนั้นมีสัตว์สี่เท้าจำพวกหนึ่งชื่อฮองฮู ฝูงหนึ่งมีประมาณสี่ร้อยตัวห้าร้อยตัว รูปกายคล้ายสุกรป่า และที่ตำบลเนียนำนั้นทุกวันนี้เรียกว่ากึ่งตั๋งถึงไซร บังเกิดซิวจั๋วคืองูร้ายประมาณพันตัว ตัวยาวประมาณสี่วาห้าวา พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองก็มีหนังสือบอกเข้ามาให้กราบทูลพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ตามที่สัตว์ร้ายบังเกิดเบียดเบียนราษฎร พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ทรงทราบแล้วตกพระทัย จึงตรัสว่ามนุษย์เกิดมานั้นเราไม่เห็นเลยว่ามีความสุข มีแต่ความทุกข์และภัยต่าง ๆ เพ่งหงีจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าในป่าเป็นที่ลุ่ม และตำบลท่องเท่งโอ๋วนั้นเป็นทะเลสาบแม่น้ำด้วน จึงได้มีสัตว์ร้ายมาก และปีที่ฝนตกมากน้ำนั้นนองป่า สัตว์ร้ายนั้นจึงได้แตกตื่นออกมาทำร้ายมนุษย์ ข้าพเจ้าจะขอรับอาสาออกไปกำจัดสัตว์ร้ายเสียให้สิ้น พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสถามว่า จะไปกำจัดสัตว์ร้ายนั้นจะต้องการสิ่งอันใดบ้าง เพ่งหงีจึงทูลว่า จะขอทหารเกาทัณฑ์ ทหารหน้าไม้ไปด้วยพวกละห้าพัน กำหนดไปกำจัดสัตว์ร้ายนั้น ประมาณสองเดือนสามเดือนจึงจะได้กลับมา พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังเพ่งหงีทูลดังนั้นก็ทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า เจ้าไปกำจัดสัตว์ร้ายดังนี้ก็มีความชอบแก่จูเฮ้าเจ้าเมืองและราษฎรเป็นอันมาก แล้วรับสั่งว่าจงเลือกจัดทหารได้ด้วยตามชอบใจเถิด เพ่งหงีก็ถวายคำนับลาไปจัดทหารเลือกที่ชำนาญหน้าไม้และเกาทัณฑ์ได้พร้อมแล้วก็ให้เอาจอบเสียมและเหลียนพลั่วชะแลงสำหรับจะได้ขุดดินไปด้วย ครั้นเสร็จแล้วก็ยกไปได้เจ็ดวันถึงตำบลท่องเท่งโอ๋ว
ฝ่ายจูเฮ้าผู้รักษาเมืองที่ตำบลท่องเท่งโอ๋วนั้น ครั้นรู้ว่าเพ่งหงีออกไปช่วยกำจัดสัตว์ร้ายก็ออกมาต้อนรับคำนับเชิญเข้าไปในเมือง ให้จัดเลี้ยงโต๊ะเพ่งหงี ๆ จึงให้จูเฮ้าเจ้าเมืองหาตัวราษฎรมาถามว่าสัตว์ร้ายเคยมาเวลาใดเดินหนทางไหน ราษฎรจึงบอกว่าสี่วันห้าวันสัตว์ร้ายจึงออกมาครั้งหนึ่ง เพ่งหงีจึงว่าที่ตำบลซุนหลิมตำบลเนียนำก็มีสัตว์ร้ายเข้ามาทำร้ายราษฎรเหมือนกัน ข้าพเจ้าจะจัดทหารให้อยู่ช่วยท่านกำจัดสัตว์ร้ายแทนตัวข้าพเจ้า แล้วตัวข้าพเจ้าจะต้องรีบไปช่วยราษฎรที่ตำบลซุนหลิมตำบลเนียนำ ท่านจงให้ราษฎรพิเคราะห์ดูทางแห่งใดที่สัตว์ร้ายเคยเดิน ก็ให้ขุดดินเป็นรางยาวสิบตึ่งลึกสามตึ่งกว้างสามตึ่ง ปากหลุมนั้นให้แคบกว่าก้นหลุมสักหน่อย แล้วมูลดินที่ขุดนั้นให้ขนไปเสียให้พ้น แล้วให้ราษฎรเก้าคนสิบคนไปคอยล่อสัตว์ร้าย ถ้าสัตว์ร้ายพากันออกมาเกือบจะถึงปากหลุมแล้ว ก็ให้พากันวิ่งหนีสัตว์ร้าย ๆ จะได้วิ่งมาตกลงในหลุม ครั้นพูดจากันดังนั้นแล้ว เพ่งหงีก็แบ่งทหารให้อยู่ช่วยจูเฮ้าผู้รักษาเมืองจับสัตว์ร้ายสามพันคน แล้วเพ่งหงีก็นำทหารเจ็ดพันคนไปเมืองซุนหลิม เจ้าเมืองซุนหลิมก็ออกมาต้อนรับเชิญเพ่งหงีเข้าไปในเมืองจัดโต๊ะเลี้ยงแล้ว ก็แจ้งความซึ่งสัตว์ร้ายเข้ามาทำร้ายมนุษย์ให้เพ่งหงีฟัง เพ่งหงีจึงว่าตำบลท่องเท่งโอ๋วและตำบลเนียนำนั้นก็มีสัตว์ร้ายเข้ามาทำร้ายมนุษย์ แต่สัตว์ฮองฮูนี้กล้ากว่าสัตว์อื่น ๆ ท่านจงให้ราษฎรขุดดินให้เป็นราง แล้วหาไม้ไผ่มาพาดปากหลุมปูต้นหญ้าให้เต็ม แล้วที่ต้นทางซึ่งสัตว์ร้ายจะมานั้นให้ฝังพลุและประทัดไว้ และให้เอาไม้ไผ่ทั้งลำมาทะลุกรอกดินดำที่เช่นทำประทัดให้เต็มเอาไปฝังไว้ ทำชนวนตั้งแต่พลุประทัดต่อ ๆ กันให้เลยปากหลุมเข้ามาแล้ว ให้มีคนคอยแอบดูสัตว์ร้าย ถ้าสัตว์ร้ายเข้ามาพ้นที่ฝังพลุและประทัดใกล้จะถึงปากหลุมแล้ว ก็ให้เอาไฟจุดชนวนนั้นให้ไปติดพลุติดประทัดดังขึ้น แล้วให้คนที่จุดชนวนนั้นวิ่งหนีสัตว์ร้าย ถ้าสัตว์ร้ายตกใจวิ่งตกลงในหลุมแล้ว ให้เอาบ่วงคล้องสัตว์นั้นขึ้นมาสักเก้าตัวสิบตัว ให้หักเท้าและควักดวงตาข้างหนึ่งแล้วตัดใบหูและหางปล่อยไป และสัตว์ที่ยังอยู่ในหลุมนั้นเอาไฟจุดเผาให้ตายเสีย ครั้นพูดจากันแล้ว เพ่งหงีก็แบ่งทหารให้อยู่ช่วยจูเฮ้าผู้รักษาเมืองที่ตำบลซุนหลิมจับสัตว์ร้ายสองพันคน ยังทหารห้าพันคนเพ่งหงีนำไปที่ตำบลเนียนำ จูเฮ้าผู้รักษาเมืองที่ตำบลเนียนำก็ออกมาต้อนรับ เชิญให้เข้าไปในเมืองจัดโต๊ะเลี้ยงแล้วบอกว่า งูที่เข้ามาทำร้ายราษฎรนั้นลางทีเข้ามามากลางทีมาน้อย แล้วก็กินคนบ้างกินสัตว์บ้าง บางทีขบกัดให้ตายบ้าง เมื่องูจะออกมาทำร้ายนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมาเวลาใด เพ่งหงีให้เกณฑ์ราษฎรไปเก็บของที่เบื่อเมามาประกอบกับเนื้อสัตว์ต่าง ๆ แล้วให้วางไว้ตามทางซึ่งงูจะเข้ามา แล้วในสระในบ่อนั้นก็ให้ทำจั่นทำลอบดักงู ๆ เข้ามาติดจั่นติดลอบและกินยาพิษที่ผสมเนื้อสัตว์นั้นตายเป็นอันมาก แล้วเพ่งหงีกับเจ้าเมืองเนียนำพาทหารไปเที่ยวในป่า เห็นที่แห่งใดเป็นที่สุมทุมรกชัฏให้เอาไฟเผาเสีย ทหารก็เอาไฟเผาตามคำเพ่งหงีสั่ง ครั้นงูต้องไฟร้อนทนไม่ได้ก็หนีออกจากที่อยู่ แล้วเพ่งหงีให้ทหารยิงด้วยเกาทัณฑ์ถูกงูนั้นตายเป็นอันมาก เพ่งหงีเห็นงูนั้นตายเป็นอันมากดังนั้นแล้วจึงว่าแก่เจ้าเมืองเนียนำว่า งูร้ายนั้นเห็นจะตายสิ้นแล้ว เจ้าเมืองเนียนำจึงว่าท่านมาช่วยกำจัดงูร้ายนั้น งูร้ายตายเสียสักเก้าส่วน ที่ซุ่มซ่อนเหลืออยู่ได้ไม่ตายนั้นยังจะมีอยู่สักส่วนหนึ่งเท่านั้นน้อยลงแล้ว ถ้าท่านมีธุระสิ่งใดก็เชิญท่านกลับไปเถิด เพ่งหงีได้ฟังดังนั้นก็ลาเจ้าเมืองเนียนำคุมทหารกลับมาเมืองซุนหลิม เจ้าเมืองซุนหลิมก็ออกมารับเชิญเพ่งหงีเข้าไปในเมือง แล้วถามว่าท่านออกไปกำจัดงูร้ายที่ตำบลเมืองเนียนำนั้นท่านทำประการใด เพ่งหงีจึงบอกความที่ได้กำจัดงูร้ายที่เมืองเนียนำให้เจ้าเมืองซุนหลิมฟังทุกประการ เจ้าเมืองซุนหลิมจึงว่า ที่เมืองข้าพเจ้านี้ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ทำตามคำท่านสั่งแล้ว สัตว์ร้ายก็ไม่เข้ามาทำร้ายแก่ราษฎรเหมือนแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าสัตว์ร้ายนั้นจะหมดสิ้นแต่เท่านี้แล้ว ครั้นพูดจากันแล้วเพ่งหงีก็ลาเจ้าเมืองซุนหลิมกลับเข้ามาที่ตำบลท่องเท่งโอ๋ว จูเฮ้าผู้รักษาเมืองที่ตำบลท่องเท่งโอ๋ว ก็ออกมาต้อนรับเชิญเพ่งหงีเข้าไปในเมือง จึงแจ้งความซึ่งจับสัตว์นั้นให้เพ่งหงีฟัง เพ่งหงีได้ฟังดังนั้นแล้วจึงว่าสัตว์ร้ายที่เมืองซุนหลิมและเมืองเนียนำนั้น ข้าพเจ้าออกไปช่วยจับฆ่าเสียสิ้น บัดนี้ข้าพเจ้ากลับมาจะลาท่านกลับเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ครั้นพูดกันแล้วเพ่งหงีก็ลาเจ้าเมืองท่องเท่งโอ๋วกลับไปถึงเมืองหลวง เข้าเฝ้าพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ แล้วทูลความซึ่งได้ไปกำจัดสัตว์ร้ายนั้นทุกประการ พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงยินดีจึงพระราชทานทองคำร้อยตำลึง เงินแปดพันตำลึง แพรต่วนสีต่าง ๆ ร้อยพับเป็นบำเหน็จรางวัลแก่เพ่งหงี แล้วรับสั่งให้จัดโต๊ะเลี้ยงเจ้าและเพ่งหงีกับขุนนางทั้งปวง ฝ่ายเพ่งหงีกินโต๊ะแล้วก็ถวายคำนับลากลับไปบ้าน เล่าความซึ่งได้ไปกำจัดสัตว์ร้ายนั้นให้ภรรยาฟัง แล้วว่าผู้ใดได้ทำราชการมีความชอบอยู่ในแผ่นดินชื่อเสียงก็ปรากฏ บัดนี้เราได้รับอาสาไปช่วยดับทุกข์ของราษฎรถึงสามครั้ง มีความชอบอยู่ในแผ่นดินแล้ว ถึงโดยว่าเราจะตายไปก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นชาย ภรรยาเพ่งหงีจึงว่าท่านอย่าว่าแต่ตัวท่านเป็นชายรักชื่อเสียงแล้ว ถึงข้าพเจ้าเป็นสตรีก็รักชื่อรักษาตัวเหมือนกัน ธรรมดาเกิดมาเป็นชายได้เป็นขุนนางทำราชการ ถ้าเจ้านายและพระมหากษัตริย์ฮ่องเต้ได้ใช้สอยและรับสั่งให้ไปราชการสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ก็ต้องตั้งใจหมั่นระวังในการทั้งปวงอย่าให้มีความผิดขึ้นได้ ประการหนึ่งสติอารมณ์นั้นก็ต้องให้ตั้งมั่นอยู่ในสุจริต จะจัดการสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ต้องให้อยู่ในขนบธรรมเนียม ถ้าประพฤติตัวเสมออยู่ได้ดังนี้แล้ว จะดีหรือจะชั่วมันก็แล้วแต่เสียงเต้คือพระอิศวรและเทพยดาฟ้าและดิน เพ่งหงีจึงตอบว่า ทุกวันนี้พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้พระองค์ทรงตั้งอยู่ในยุติธรรม ขุนนางตงฉินทั้งปวงก็รักใคร่สุจริต ขุนนางกังฉินพูดจาสอพลอนั้นไม่มีเลย ไพร่บ้านพลเมืองได้ความสุขสบายรื่นเริงอยู่เป็นนิจ กับเราทราบว่าราษฎรและแปะแซ่พากันจุดธูปเทียนบูชาพระแล้วอธิษฐานว่า ถ้าตายไปแล้วขอให้เกิดทันในแผ่นดินฮ่องเต้องค์นี้จะได้มีความสุข