๓๖

ฝ่ายพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้นั้น ตั้งแต่ได้เงินทองและสตรีมาแล้วก็มีพระทัยโสมนัส เล่นแต่การสนุกเพลิดเพลินไปทั้งกลางวันและกลางคืนยิ่งมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เสวยแต่สุราเป็นพระอารมณ์มิได้มีกำหนด ครั้นเสวยสุราเมาแล้วก็หมกมุ่นอยู่แต่ข้างในกับด้วยนางสนมและสตรีสาวที่ได้มาใหม่ ๆ นั้น บางทีก็ฟ้อนรำขับร้องไปตามประสาคนเมา บางทีก็หยอกเอินกับด้วยหมู่สตรีมิได้มีพระทัยละอาย ตั้งแต่นั้นก็มิได้ดูแลเอาพระทัยใส่ในราชการบ้านเมือง เพิกเฉยเสียมิได้เสด็จออกข้างหน้าช้านาน พวกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยที่มีความรำคาญก็ไม่รู้ที่จะทำการใด

ฝ่ายเอียงก๊กเฮ้าเจ้าเมืองหนึ่งแซ่อึงชื่อซ่อง คือเป็นวงศ์ญาติของอึงซิ้น ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระยี่นอ่องสีฮ่องเต้ เอียงก๊กเฮ้าเจ้าเมืองคนนี้มีความโกรธพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ว่า ประพฤติการผิดธรรมเนียมกษัตริย์ มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม จึงไม่ยอมให้แบ่งเงินทองและไม่ยอมให้เก็บสตรี แล้วก็มีหนังสือบอกแจกไปให้จูเฮ้าทั้งปวงรู้ทั่วกันว่า การบัดนี้พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ประพฤติการผิดธรรมเนียม ไม่ตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตธรรม ใช้ให้พระญาติพระวงศ์เที่ยวเบียดเบียนราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนต่าง ๆ ราษฎรมีความร้อนใจอย่างประหนึ่งว่าเหมือนอยู่บนกองถ่านเพลิง ครั้นเราจะนิ่งเฉยอยู่ดังนี้พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ก็จะกำเริบกระทำการทุจริตยิ่งขึ้นไปทุกที ๆ ที่ไหนบ้านเมืองราษฎรจะมีความสุขเล่า ณ เดือนเก้าขึ้นสิบห้าค่ำ ท่านทั้งปวงรู้หนังสือแล้ว จงยกกองทัพไปเมืองหลวงให้พร้อมกันจะได้ช่วยกันจัดแจงยกกษัตริย์ขึ้นใหม่ให้เรียบร้อย เอียงก๊กเฮ้าส่งหนังสือบอกไปถึงจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งหลายรวมได้สิบเก้าหัวเมืองเป็นยี่สิบเมืองด้วยกัน คือเอียงก๊กเฮ้าเจ้าเมืองที่ส่งหนังสือบอกไปนั้นเมืองหนึ่ง อุ๋นเจ๊ยเฮ้าแซ่อิวชื่อเซงเป็นวงศ์ญาติกื้อปิด ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้ายี่นอ่องสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือไต้ฮองเฮ้าแซ่หวนชื่อเกาเป็นวงศ์ญาติไท้อิดสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้ายี่นอ่องสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือเจ้าคี้เฮ้าแซ่ทองเงี้ยชื่อลี้ เป็นวงศ์ญาติสิ้นมีนสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้ายี่นอ่องสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือตี้ถี่เฮ้าแซ่พวยชื่อทวนเป็นเชื้อวงศ์ซินฮองสี ๆ ได้เป็นขุนนางอยู่ในแผ่นดินพระเจ้ายี่นอ่องสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือคุ่นอ้องเฮ้าแซ่เถงชื่อริบ เป็นเชื้อวงศ์ไต้เพ่งสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าไท้เฮ้าฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือกือเอียงเฮ้าแซ่กัดชื่อต๋อง เป็นเชื้อวงศ์หกซูสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าไท้เฮ้าฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือลี่เฮียเฮ้าแซ่กัวชื่อจี่ เป็นวงศ์ญาติเลียดเลกสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าไท้เฮ้าฮ่องเต้เมืองหนึ่ง เตงซิ้วเฮ้าแซ่มอกชื่อเจี้ย เป็นเชื้อวงศ์เซี้ยงฮองสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าไท้เฮ้าฮ่องเต้เมืองหนึ่ง เน่งจอกเฮ้าแซ่ซิ้มชื่อยีเป็นเชื้อวงศ์เฮาเฮงสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าไท้เฮ้าฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือแชบุนเฮ้าแซ่เจ้ย ชื่ออุ้ยเป็นเชื้อวงศ์อีมคังสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าไท้เฮ้าฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือบู้เพงเฮ้าแซ่จูชื่อหุด เป็นเชื้อวงศ์จูหลีสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าไท้เฮ้าฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือเอี้ยงคุ้นเฮ้าแซ่เมี้ยนชื่อปิด เป็นเชื้อวงศ์นีมคอสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือซั้งจี่เฮ้าแซ่กองชื่อม้วย เป็นเชื้อวงศ์ตี่ไล่สี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือเตงฮวยเฮ้าแซ่มอกชื่อสุน เป็นเชื้อวงศ์ตี่เซง ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือจีโตเฮ้าแซ่คอกชื่ออี้เป็นวงศ์ตีลี้สี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือม่งเต๊กเฮ้าแซ่หิมชื่อซุน เป็นเชื้อวงศ์ตีเม่งสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือคี้ตัดเฮ้าแซ่เหงชื่อเจ่ง เป็นเชื้อวงศ์ตีงีสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าเอี้ยมเต้สินล่งสีฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือเทียนจุ๋ยเฮ้าแซ่โหชื่อซุย เป็นเชื้อวงศ์โหโถลี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้เมืองหนึ่ง คือเตงเชี้ยวเฮ้าแซ่เจ้งชื่อเหียม เป็นเชื้อวงศ์เม่งย่องสี ๆ เป็นขุนนางครั้งแผ่นดินพระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้เมืองหนึ่ง รวมเป็นจูเฮ้ายี่สิบหัวเมืองด้วยกัน ครั้น ณ เดือนเก้าขึ้นสิบห้าค่ำก็ยกกองทัพมาห้าพันบ้างสามพันบ้าง คุมขุนนางฝ่ายพลเรือนทหารมาพร้อมกันที่ตำบลตุ้นคิวแล้ว

ฝ่ายเอียงก๊กเฮ้าเจ้าเมืองที่หนึ่งนั้นจึงให้จัดโต๊ะไว้สำหรับจะได้เลี้ยงพวกจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งปวง ครั้นจัดโต๊ะเสร็จแล้วเอียงก๊กเฮ้าจึงรินสุราใส่ในถ้วย แล้วไปคำนับเชิญจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งปวงว่า ข้าพเจ้าทุกวันนี้มีความร้อนใจนัก เหตุด้วยพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้เป็นกษัตริย์แล้วมิได้ตั้งอยู่ในยศในธรรม เบียดเบียนราษฎรไปเก็บเอาเงินทองและบุตรสาวของเขามา แล้วก็มิได้เอาพระทัยใส่ในราชการบ้านเมืองสิ่งใดเลย ครั้นเงี่ยมอ๋องทูลทัดทานก็มิได้เชื่อฟังคำเงี่ยวอ๋อง ยังประพฤติเสมออยู่ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้มีหนังสือบอกไปถึงท่านทั้งปวง หมายจะให้ท่านทั้งปวงมาช่วยกันว่ากล่าวกษัตริย์ซึ่งมิได้ตั้งอยู่ในยศในธรรม ซึ่งท่านทั้งปวงมาถึงแล้วควรจะต้องทำไมตรีกันเสียก่อน ในเวลาพรุ่งนี้เราจะต้องเข้าไปในเก๋งในพร้อมกัน แล้วก็จะต้องให้ออกจากกษัตริย์นั้นเสีย จะต้องยกท่านผู้ที่ตั้งอยู่ในยุติธรรมขึ้นเป็นกษัตริย์จึงจะควร ซึ่งเรากล่าวดังนี้ใช่ว่าเราจะมีความปรารถนาด้วยสมบัติบ้านเมืองนั้นหามิได้ เรามีความปรารถนาที่จะให้ไพร่บ้านพลเมืองเป็นสุขด้วยกันทั้งแผ่นดิน ท่านทั้งปวงมีใจสัตย์ซื่อดังข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ก็จะไม่เสียวงศ์ประเพณีของพระเจ้าอึ้งตี่ฮ่องเต้ซึ่งตั้งอยู่ในยุติธรรม พวกจูเฮ้าทั้งปวงจึงพร้อมใจกันว่าท่านกล่าวทั้งนี้ควรแล้ว

ขณะนั้นเอียงก๊กเฮ้าเจ้าเมืองจึงให้ตั้งเครื่องพลีกรรมกระทำสักการบูชา แล้วเอียงก๊กเฮ้าเจ้าเมืองซึ่งเป็นที่หนึ่งกับจูเฮ้าทั้งปวงนั้น ต่างคนต่างก็เชือดเอาโลหิตใส่ลงในถ้วยเหล้าทำไมตรีต่อกัน แล้วบวงสรวงประกาศเทวดา พวกข้าพเจ้าพากันยกกองทัพมาทั้งนี้ ใช่ว่าจะเป็นคนอกตัญญูและทรยศคิดกบฏปรารถนาด้วยสมบัติบ้านเมืองนั้นหามิได้ เหตุด้วยกษัตริย์องค์ใดมิได้ตั้งอยู่ในยศในธรรม เบียดเบียนราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนก็จะให้ออกเสียจากฮ่องเต้ แล้วจะยกท่านผู้ตั้งอยู่ในยุติธรรมขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไป บ้านเมืองและราษฎรจึงจะได้มีความสุขด้วยกันทั้งแผ่นดิน ขอเทพารักษ์ซึ่งเป็นใหญ่ในกรุงจีนนี้ จงเห็นเป็นพยานของข้าพเจ้าด้วย ครั้นพวกจูเฮ้าเจ้าเมืองประกาศดังนั้นแล้วก็เป็นหมอกมืดมัวครึ้มอยู่ประมาณครู่หนึ่ง แล้วก็มีรัศมีแสงสว่างงามปรากฏ แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นแสงอันใดแล้วก็หายไป พวกจูเฮ้าทั้งปวงก็มีความยินดี พากันมาเลี้ยงโต๊ะและเสพสุราพูดจากันเล่นตามสบาย

ฝ่ายพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้นั้น เมื่อจูเฮ้าพากันยกกองทัพมาถึงเมืองและเลี้ยงโต๊ะกันนั้นจะได้ทรงทราบนั้นหามิได้ มัวแต่เสพสุราเมาอยู่เป็นกำลังเล่นสนุกนี้เพลิดเพลินอยู่กับด้วยหมู่นางสนมจนเวลารุ่งเช้า พวกจูเฮ้ากับเงี่ยวอ๋องและเจ้าทั้งแปดองค์เข้าไปในเก๋งพร้อมกันที่ข้างหน้า พวกขันทีจึงทูลว่าบัดนี้พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองยกกองทัพมาเป็นอันมากแล้ว พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ตกพระทัย จึงตรัสถามว่า จูเฮ้าซึ่งยกทัพมานั้นจะเป็นจูเฮ้าหัวเมืองใด ขันทีทูลว่าไม่ทราบ เห็นแต่ผู้คนมากวุ่นวาย ได้ยินแต่เสียงเอิกเกริกจะตีเข้ามาในเก๋งของพระองค์ พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้จึงตรัสถามว่า ก็ทหารรักษาองค์ของเราไปข้างไหนหมด พวกขันทีทูลว่า พวกทหารรักษาองค์ของพระองค์นั้นพากันตกใจกลัวหนีไปหมดแล้ว พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ยิ่งไม่สบายพระทัยจึงตรัสถามว่า ก็เงี่ยวอ๋องเจ้าน้องของเรากับเจ้าทั้งแปดองค์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่นั้นพากันไปอยู่ที่ไหนหมดเล่า พวกขันทีจึงทูลว่าเงี่ยวอ๋องกับเจ้าทั้งแปดองค์นั้น ก็คอยเฝ้าอยู่ข้างหน้าว่าเมื่อไรพระองค์จะเสด็จออก พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็มิได้ทรงทราบว่าเหตุการณ์จะเป็นประการใด ตกพระทัยจนพระเสโทนั้นไหลอาบพระพักตร์ ไม่รู้ที่จะตรัสประการใด แข็งพระทัยเสด็จออกข้างหน้า พวกจูเฮ้ากับขุนนางทั้งปวงก็พากันคำนับ แล้วพระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้จึงตรัสถามพวกจูเฮ้าทั้งปวงว่า เราก็มิได้มีหนังสือบอกไปถึงให้ท่านมา ท่านมาทั้งนี้มีธุระราชการสิ่งใดหรือจะว่ากล่าวประการใด พวกจูเฮ้าทั้งปวงก็กล่าวขึ้นพร้อมกันว่า พระองค์ใช้ให้คนไปเบียดเบียนอาณาประชาราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนเป็นการผิดประเพณีธรรมเนียมกษัตริย์แต่ก่อน พระเจ้าจี่เต้ฮ่องเต้ได้ทรงฟังพวกจูเฮ้าพูดดังนั้นก็ตกพระทัย ทรงทราบว่าพวกจูเฮ้าทั้งปวงไม่เต็มใจให้พระองค์เป็นกษัตริย์โดยแท้ก็ทรงนิ่งอยู่มิได้ตรัสสิ่งใด ทรงเดินออกไปริมเงี่ยวอ๋องแล้วจึงตรัสกับเงี่ยวอ๋องว่า พวกจูเฮ้าเขาไม่ยอมให้เราเป็นฮ่องเต้ เราจะมอบสมบัติให้กับเจ้าน้อง ๆ จงรับเป็นกษัตริย์เถิด เงี่ยวอ๋องได้ฟังดังนั้นตกใจกลัวจนตัวสั่น คุกเข่าลงหมอบจนศีรษะโดนพื้น หน้าผากแตกโลหิตไหลออกมา พวกจูเฮ้าทั้งปวงเห็นเงี่ยวอ๋องกลัวเกรงจี่เต้ดังนั้น ก็พากันมาอุ้มเงี่ยวอ๋องให้สวมเสื้ออย่างฮ่องเต้ จูงมือไปนั่งยังที่ว่าราชการ เงี่ยวอ๋องขัดพวกจูเฮ้าไม่ได้ก็อยู่ที่ว่าราชการ พวกจูเฮ้าพร้อมกันทูลว่า ขอพระองค์จงมีพระทัยอันดีรับเป็นกษัตริย์เถิด เงี่ยวอ๋องจึงว่า ซึ่งท่านทั้งปวงจะยกเราขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น สติปัญญาเรายังน้อย สอดส่องไปในราชการทั้งปวงไม่ทั่ว ท่านทั้งหลายจงช่วยสั่งสอนเราด้วย แล้วขอท่านช่วยเป็นธุระเอาใจใส่ในการแผ่นดิน และช่วยทะนุบำรุงราษฎรให้เหมือนดังรักบุตร อย่าให้เสียทีที่ท่านยกเราขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน พวกจูเฮ้าจึงทูลว่าพระองค์อย่าได้ทรงพระวิตกเลย พวกข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ควรจะเป็นกษัตริย์ได้เป็นแท้แล้ว จึงได้พากันยกพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์จงครองราชสมบัติเถิด แล้วก็ขนานพระนามว่าพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้ ครั้นพระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้รับครองราชสมบัติแล้ว จูเฮ้าทั้งปวงจึงทูลว่าจี่เต้นั้นพระองค์จะให้ไปอยู่ที่ตำบลใด ขอพระองค์จงรีบจัดแจงเสียให้เรียบร้อย พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่า เราเห็นว่าเป็นพระญาติพระวงศ์ จะให้เป็นขุนนางอย่างก่อนก็จะเสียพระเกียรติยศของเราต่อไป รับสั่งดังนั้นแล้วจึงตั้งให้ไปเป็นเอี้ยวกังผู้รักษาเมืองเอี้ยวกัง รับสั่งว่าทีหลังประพฤติการวุ่นวายให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ความเดือดร้อนเหมือนแต่ก่อนแล้ว จะต้องทำโทษให้จงหนักตามโทษานุโทษ จี่เต้ก็คำนับลาพาครอบครัวไปอยู่ตำบลเอี้ยวกัง เมื่อจี่เต้ได้เป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติอยู่นั้นได้เก้าปีจึงออกจากกษัตริย์ ส่วนจูซือซึ่งเป็นน้าจี่เต้ที่ได้ทรัพย์และสตรีส่วนแบ่งปันนั้น รับสั่งให้ถอดออกจากขุนนาง แต่สิตปาอ๋องอีเปกอ๋องทั้งสองนั้นทรงเห็นว่ายังเป็นเชื้อพระวงศ์อยู่บ้าง จึงมิได้ฆ่าแล้วถอดออกจากที่ขุนนาง แล้วสั่งให้เจ้าพนักงานเอาเงินทองและบุตรสาวให้แก่จูเฮ้าทั้งปวง ให้ไปคืนแก่เศรษฐีและราษฎรลูกค้าซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์และบิดามารดา ให้ป่าวร้องประกาศไปให้ทั่วกันตามมากและน้อยโดยความจริง แล้วให้ทำโต๊ะเลี้ยงพวกจูเฮ้าทั้งปวงเสร็จแล้ว พวกจูเฮ้าเจ้าเมืองทั้งปวงจึงทูลว่า บัดนี้บ้านเมืองก็เรียบร้อยดี แต่ทหารซึ่งเข้ามาด้วยข้าพเจ้านั้น จะโปรดให้อยู่รับราชการในเมืองหลวงหรือจะโปรดให้กลับคืนไป พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงตรัสว่าทหารรักษาองค์และทหารรักษาเมืองมีอยู่หลายหมื่นแล้ว ท่านจงพาทหารของท่านกลับไปรับราชการบ้านเมืองอยู่ตามเดิมเถิด พวกจูเฮ้าผู้รักษาเมืองได้รับสั่งดังนั้นแล้ว ก็พากันถวายคำนับลา พาทหารกลับไปรักษาเมืองต่อไป พระเจ้าเงี่ยวเต้ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ปล่อยนักโทษแต่ครั้งแผ่นดินก่อนเสีย แล้วให้มีหนังสือไปให้จูเฮ้าผู้รักษาเมืองทั้งปวงให้ปล่อยนักโทษด้วยทุก ๆ เมือง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ