บทที่ ๔๙

ที่คาบารอฟสก์วันนั้น ฉู่หวา แซ่ลิ้ม หรือ ชูฟ้า นิ่มนิรันดร์ ได้ทิ้งความรู้สึกไว้ในใจข้าพเจ้าประการหนึ่ง คือความรู้สึกที่ว่าในห้วงคิดของคนหนุ่มคนสาวชาวจีนยุคปฏิวัติใหญ่ ๑๙๑๑ เราได้พบทั้งนักสร้างสรรค์และนักทำลาย นักสร้างสรรค์ก็มีทั้งนักประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ ส่วนนักทำลายข้าพเจ้าก็ได้พบในตัวของชูฟ้า นิ่มนิรันดร์ หนุ่มเลือดไหหลำเกิดในเมืองไทย มีนามสกุลเป็นไทยอย่างงดงาม พวกประชาธิปไตยซึ่งตั้งต้นจาก ดร. ซุนยัดเซน ได้มุ่งมั่นจะสร้างจีนใหม่ให้เป็นชาติที่ประชาชนมีอำนาจโดยรักษาวัฒนธรรมของเก่าไว้เป็นพื้นฐาน พวกคอมมิวนิสต์มุ่งมั่นจะสร้างจีนใหม่ให้เป็นชาติที่ชาวนาและกรรมกรเป็นผู้ครองอำนาจเด็ดขาด โดยทำลายวัฒนธรรมของเก่าทิ้งเสียให้หมด ส่วนพวกนักทำลาย ซึ่งข้าพเจ้าได้พบในตัวชูฟ้า และเพื่อน ๆ ของเขา เป็นพวกที่เบื่อชีวิต ที่กลายเป็นทาสของวัตถุนิยม ซึ่งหันหลังให้แก่ธรรมชาติ เดินห่างออกไปจากธรรมชาติไกลมากขึ้นทุกวัน คนพวกหลังนี้เห็นว่าโลกจะไม่สันติ ถ้ามนุษย์พากันหลงใหลในวัตถุ และทอดทิ้งธรรมชาติซึ่งเป็นแม่ของความสุขสงบ ปัญหาการเพิ่มของประชากรก็เป็นสิ่งที่ชูฟ้ากับพวกคัดค้านอย่างยิ่ง เพราะเห็นว่าวิทยาศาสตร์ทำให้โลกแคบลง โลกยิ่งแคบคนก็ยิ่งล้นหลาม จึงทำให้แก้ปัญหาการกินการอยู่ยากขึ้นทุกชั่วโมง ซึ่งในนาทีสุดท้าย โลกจะจลาจล ความเห็นของพวกชูฟ้า แม้จะเป็นความเห็นของคนส่วนน้อยที่สุด แต่ก็อันตรายที่สุด เพราะคนพวกนี้ถือว่าการทำลายเป็นทางออกทางเดียวที่จะกำจัดการเพิ่มพูน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มพูนทางวัตถุ หรือทางประชากร เขาเกลียดสงคราม เพราะสงครามทำให้โลกวุ่นวาย แต่เขาก็ว่าสงครามมีประโยชน์ เพราะช่วยทำลายมนุษย์ให้เหลือน้อยลง เป็นการต่อต้านการเกิด

ข้าพเจ้าได้ย้ายออกจากหอพักในโรงเรียนหวาเหวิน ที่ตงซื่อผายโล่วเข้าไปอยู่ในบ้านนายตู้หลิงเป็นที่เรียบร้อย ในวันที่หิมะตกหนักส่งท้ายเหมันต์ ข้าพเจ้าอำลาเพื่อนร่วมหอพักซึ่งเป็นพวกหมอสอนศาสนาชาติต่าง ๆ รวมทั้งมิสปอปอฟ และ ดร. เพทตัส ดร. เพทตัสยื่นมือให้จับแล้วบอกว่า “ทุก ๆ วันเสาร์ ขอให้มาคุยกันบ้าง เรายังมีเล็คเช่อร์ดี ๆ ให้เธอฟัง ถ้าเธอจะกลับเมืองไทย อย่าง ๆ สะกอล่าร์ ก็ขอให้มาฟังทุก ๆ เสาร์ เรายังมีน้ำชาเลี้ยงเธอเหมือนเดิม”

ข้าพเจ้าพบนายไลน์แมนฮูเว่อร์ หมอสอนศาสนาชาวอเมริกัน ที่ประตูใหญ่ทาสีแดง เขากำลังออกจากสนามวอลเลย์บอลล์ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น พอเห็นข้าพเจ้าก็โบกมือแล้วเดินตรงเข้ามาหา

“ว่ายังไง ซูตงปอ” เขาเรียกข้าพเจ้าตามต้องการจะเรียก เพราะข้าพเจ้าก็ใช้คำว่าซูเป็นชื่อนำตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองจีน “ไปแล้วมาคุยกันบ้างนะ อย่าหายตัวไปเสียล่ะ”

ข้าพเจ้าบอกฮูเวอร์ว่า ข้าพเจ้าจะมาเยี่ยมทุกวันเสาร์ เขาบอกว่าเขาก็จะต้องถูกส่งตัวไปหันเค้าในไม่ช้า เพราะจะต้องไปเปิดงาน วาย. เอ็ม. ซี. เอ. ที่นั่น ข้าพเจ้าเตือนเขาว่าระวังตัวให้ดี รอบ ๆ หันเค้า กองทัพรัฐบาลกับกองทัพคอมมิวนิสต์ กำลังรบกันอยู่แทบทุกวัน ฮูเว่อร์หัวเราะ บอกว่าเขามอบชีวิตให้พระเจ้าแล้ว พระเจ้าคงจะคุ้มครองเขา

ข้าพเจ้าชอบฮูเว่อร์ เขาเป็นคนเปิดเผย, ใจดี และสุจริต มีมนุษยธรรมสูงสมเป็นหมอสอนศาสนา เขาเคยเอาตัวข้าพเจ้าไปเข้าคลาสของเขาที่ วาย. เอ็ม. ซี. เอ. ใกล้ ๆ กับ พี. ยู. เอ็ม. ซี โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงมากในตะวันออกไกล เขาถามว่าข้าพเจ้าไม่รังเกียจหรือที่จะศึกษาไบเบิลของเขาบ้าง ข้าพเจ้าตอบว่า ชาวพุทธไม่เคยรังเกียจศาสนาอะไร เราเคารพศาสนาทุกศาสนา เพราะเราเห็นว่าศาสนาสอนความดีให้แก่มนุษย์ ข้าพเจ้าเรียนพระคัมภีร์กับฮูเว่อร์ทุกวันเสาร์ จนเขาจากไปหันเค้าพร้อมกับความรักของพระเจ้า เขาเชื่อว่า Faith is the Foundation of Strength เขาสามารถจะเผชิญกับความตายได้ด้วย Faith ของเขา ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกว่า Faith ตัวนี้ทำให้พวกคริสเตียน มีความกล้าหาญยอมตายได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่นในยุคที่ข้าพเจ้าอยู่ในปักกิ่ง หมอสอนศาสนาผัวเมียชาติฮอลันดาคู่หนึ่ง เข้าไปสอนศาสนาในดินแดนชั้นในลุ่มแม่น้ำแยงซี ซึ่งกำลังนองเลือด เพราะสงครามคอมมิวนิสต์ก๊กมินตัง พวกคอมมิวนิสต์จับคนทั้งสองไปตัดศีรษะต่อหน้าชาวบ้าน กล่าวหาว่าเป็นโจ๋วโก่วของตึ้กวอจู่อี้ หรือ the running dog of Imperialism พวกหมอสอนศาสนาได้เอากระดูกไปถมแผ่นดินจีนเสียมากมาย ตลอดห้าร้อยกว่าปีที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนาและวิทยาการในประเทศจีน ในยุคกบฏบ๊อกเซ่อร์ ค.ศ. ๑๙๐๐ หมอสอนศาสนาตายมาก เพราะชาวจีนพากันเกลียดชัง หาว่าเป็นผู้ถือธงเบิกทางให้กองทัพจักรวรรดินิยมเข้าไปยึดครองเมืองจีน ซึ่งในสมัยนั้น การล่าอาณานิคมในตะวันออก กำลังเป็นนโยบายการเมืองชั้นหนึ่งของประเทศมหาอำนาจตะวันตก มีอังกฤษ, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, เป็นต้น เมืองไทยก็น้ำตาตกในสมัยนั้นเอง แต่เราไม่ได้ตัดหัวหมอสอนศาสนา ตรงกันข้าม, เราให้ที่ดินสร้างโบสถ์, สร้างโรงพยาบาล, สร้างโรงเรียน, ซึ่งก็ทำประโยชน์ให้กับคนไทยไม่น้อย โดยเฉพาะการรักษาพยาบาล และการศึกษาเล่าเรียน ซึ่งหมอสอนศาสนาเป็นผู้บุกเบิกให้ ในยุคล่าอาณานิคมนั้น

วันที่ฮูเว่อร์เดินทางออกจากปักกิ่ง ข้าพเจ้าไปส่งเขาที่สถานีเฉียนเหมิน มีนักศึกษาชาวจีนที่เป็นคริสเตียนไปส่งเขาหลายคน ที่น่าสนใจก็คือ ชูฟ้า นิ่มนิรันดร์ ได้ไปส่งด้วย ฮูเว่อร์บอกว่า ชูฟ้าเคยไปเรียนภาษาอังกฤษกับเขาที่ วาย. เอ็ม. ซี. เอ. และชูฟ้าสนใจกับศาสนาคริสเตียนมาก เขาว่าศาสนาคริสเตียนเป็นพลังงานทางใจที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เหมาะกับประเทศจีน แต่เขาไม่เชื่อว่าพลังใหม่นี้จะต่อต้านลัทธิวัตถุนิยมที่คนจีนยุคใหม่กำลังคลั่งกันอยู่ได้สำเร็จ ฮูเว่อร์บอกว่าชูฟ้าดูจะเป็นคนหนุ่มคนเดียวที่บูชาลัทธิต้าว (Taoism) ของเหล่าจื่อ (เล่าจื๊อ) คำบอกเล่าของฮูเว่อร์ ทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจ เพราะลัทธิต้าว เจ้าของปรัชญา “หวูเหวย” เป็นลัทธิซึ่งเหลือแต่ซาก ที่นับวันนับจะผุพังไปเหมือนกะโหลกศีรษะของ Peking Man ซึ่งค้นพบที่ถ้ำโจวกู่เตี้ยน พวกเซียนเหรินหรือ “ต้าวหยิน” เรามองหาตัวไม่พบแล้ว ถ้าจะเห็นอยู่ตามยอดเขา ก็อาจเป็นคนเสียสติหรือคนที่หนี “เก๊กเหม็ง” มากกว่า แต่ชูฟ้านักศึกษาหนุ่มผู้มีความคิดก้าวหน้ารุนแรงกลับกลายเป็นลูกศิษย์เหลาจื่อไป ฟังแล้วข้าพเจ้าไม่อยากจะเชื่อเลย

ข้าพเจ้าตั้งใจจะชวนชูฟ้า นิ่มนิรันดร์ไปกินข้าวด้วยกัน จะได้ลองคุยกับเขาดูเรื่องลัทธิต้าว แต่เขาขอตัว อ้างว่านัดเพื่อนไว้ที่ตลาดตุงอัน ข้าพเจ้าเลยขี่จักรยานกลับหนานเฉิง ตรงไปยังบ้านนายตู้หลิง นายตำรวจสันติบาลที่แบ่งบ้านให้ข้าพเจ้าเช่า

อาหารมื้อเย็นที่บ้านนายตู้หลิงเย็นวันนั้นไม่มีข้าว มีแต่หม่านโท่วหรือซาละเปากับวอโถว ซึ่งข้าพเจ้าก็ทานได้ดี เพราะคุ้นเคยกับรสชาติของมันเสียแล้ว “เสี่ยวเม่” หรือน้องสาวคนสุดท้ายของตู้หลิง ทำจี๊ซื่อเมี่ยนอร่อยมาก เธอมีรสมือไม่แพ้พ่อครัวตามเหลาเก่า ๆ ซึ่งมีอายุกว่าร้อยสองร้อยปี “เสี่ยวเม่” ชื่อ เจี้ยนถาง แต่ข้าพเจ้าชอบเรียกเธอว่า “เสี่ยวเม่” และดูเธอก็พอใจ เสี่ยวเม่ เพิ่งมีอายุได้ ๑๗ ปี เรียนอยู่โรงเรียนหวายิงซึ่งเป็นโรงเรียนตั้งโดยทุนพวกหมอสอนศาสนานิกายโรมันแคทอลิค เธอกำลังอยู่ปีสุดท้าย ทุก ๆ เวลาเย็น ข้าพเจ้าช่วยเธอกวดวิชาภาษาอังกฤษและคำนวณให้ และเธอก็ตอบแทนด้วยการเป็นคู่สนทนาภาษาพื้นเมือง คือภาษาแมนดาริน ซึ่งเธอออกเสียงได้ชัดมาก เพราะเกิดในปักกิ่ง เสี่ยวเม่เป็นเด็กนิสัยร่าเริง มองชีวิตอย่างพวกทีนเอจที่ทันสมัย เห็นเด็กหญิงคนนี้แล้ว ก็ทำให้นึกไปถึงนกกางเขนที่ร้องเพลงไพเราะ โลดเต้นอยู่ตามกิ่งต้นเถาในฤดูชุนเทียน เสี่ยวเม่กับข้าพเจ้าสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว เราไปเที่ยวตามกงหยวนกันบ่อย ๆ พร้อมด้วยครอบครัวนายตู้หลิง

กลับจากส่งฮูเว่อร์วันนั้น ข้าพเจ้าคุยกับตู้หลิงครู่ใหญ่ก่อนจะอำลาไปทำงานในห้องพักส่วนตัว ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของย่วนหรือลานซีเมนต์ ข้าพเจ้าเล่าเรื่องชูฟ้า นิ่มนิรันดร์ให้ฟัง ตู้หลิงบอกว่าเขารู้จักดี ชื่อของชูฟ้า หรือหลินฉู่หวา พวกตำรวจคุ้นหูมาก เพราะชูฟ้าเป็นคนชอบเขียนบทความที่รัฐบาลไม่นิยม บทความภาษาจีนของเขามีคนอ่านมาก ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่สนใจของตำรวจเป็นพิเศษ

“แต่ฉู่หวาไม่ใช่คอมมิวนิสต์หรอก” ตู้หลิงกล่าวขึ้นในตอนหนึ่ง “แต่ว่าความคิดเห็นของเขาแอนตี้สังคมอย่างรุนแรง รัฐบาลว่าเขาเป็นอะนาคิสต์”

“อะนาคิสต์” ข้าพเจ้าทวนคำ แล้วพูดกับเขาเป็นภาษาปักกิ่งต่อไป “ฉู่หวาน่ะหรือเป็นอะนาคิสต์”

“อะนาคิสต์หรืออะไรฉันก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าเขาต้องการทำลายหมดไม่ว่าอะไร เขาว่าความทุกข์ของมนุษย์เกิดเพราะมีมากเกินไป” ตู้หลิงอธิบาย

“มากไป–อะไรมากไป คงไม่ใช่อาหาร คนจีนกำลังอด” ข้าพเจ้ามองหน้านายตำรวจปักกิ่งซึ่งมีอายุแก่กว่าข้าพเจ้าเพียงแค่พี่ชาย

“ก็คงจะไม่ใช่อาหาร เรากำลังขาดอาหาร” ตู้หลิงหัวเราะ “ฉู่หวาเคยเขียนไว้ว่าทุกวันนี้โลกมีมนุษย์มากเกินไป, นิยมวัตถุมากไป, ความต้องการที่ไม่จำเป็นจึงยิ่งมีมากขึ้น, ผลที่เกิดก็คือความทุกข์, ต้องเบียดเบียนกัน, ต้องรบราฆ่าฟันกัน ต้องเอาแรงงานที่ควรจะเอาไว้ทะนุบำรุงความสุข ไปสร้างอาวุธไว้ทำลายกัน มันเป็นสถาบันที่สร้างแต่ทุกข์ เพราะฉะนั้นจึงต้องทำลายเสีย”

“ฉันยังไม่ได้อ่านบทความที่เขาเขียน” ข้าพเจ้าพูดอย่างสารภาพ

“ฉันตัดเก็บเข้าแฟ้มไว้ทุกบท อยู่ในตู้สมุด อนุญาตให้เธอหยิบเอามาอ่านได้ ถ้าอยากอ่าน” ตู้หลิงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาใบจิ๋วทั้ง ๖ ใบ “ชาหลุงจิ่ง ดื่มซี แล้วเธอจะติดใจ”

ข้าพเจ้าหยิบถ้วยชาลายมังกรขึ้นซดอึกเดียวหมด

“พี่ตู้เคยคุยกับฉู่หวาบ้างหรือเปล่า ?” ข้าพเจ้าถามขณะที่วางถ้วยเปล่าลงในถาดทองเหลือง

“เราเคยรู้จักกัน ตอนตำรวจเชิญตัวมาสอบถามบทความชิ้นหนึ่ง” เขาตอบ

“ฉู่หวาถูกจับ ?”

“เปล่า, เราปล่อยตัวไป เพียงแต่ตักเตือน ที่ปล่อยเพราะนายคนนี้ด่าคอมมิวนิสต์แทนรัฐบาล”

“แต่ก็ด่ารัฐบาล”

“ด่าหมดไม่ว่าใคร เขาไม่ต้องการรัฐบาล ไม่ต้องการกฎข้อบังคับอะไรทั้งนั้น เขาว่ามนุษย์จะต้องอยู่อย่างธรรมชาติ กฎข้อบังคับเป็นโซ่ตรวน”

“เขาก็คิดแปลกดีเหมือนกัน ถ้าไม่มีรัฐบาล เราจะอยู่กันยังไง”

“ก็ต้องไปจำศีลอยู่บนยอดเขาแบบพวกต้าวของเหลาจื่อ” ตู้หลิงหัวเราะ “อ้อ, เธอคงไม่รู้ว่าฉู่หวาบูชาลัทธิต้าว ?”

“ฮูเว่อร์เคยบอก”

“คนสมัยนี้ไม่น่าจะเดินถอยหลังไปหาเหลาจื่ออีก หรือเธอว่าไง ?” ตู้หลิงถามพลางมองหน้าข้าพเจ้า

“โลกมันกำลังยุ่งเป็นยุงตีกันเหมือนสมัยชุนชิวจ้านกวอ บางทีคนอาจกลายเป็นนักธรรมชาตินิยมไปก็ได้” ข้าพเจ้าตอบ

“เธอมีเหตุผล เดี๋ยวนี้คนเมื่อชีวิตไปตาม ๆ กัน ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ตะวันออกยุ่งเพราะพวกล่าอาณานิคมเมื่อร้อยปีก่อน เดี๋ยวนี้ยุ่งเพราะคอมมิวนิสต์ คนอย่างฉู่หวาอาจมีมากขึ้นทุกทีก็ได้”

“แต่เราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว เราจะอยู่โดยไม่มีสถาบันของชีวิตนั้น เห็นจะไม่มีทาง ปัญหามันอยู่ที่ว่า เราจะทำสถาบันของเราให้เป็นสถาบันอะไร มีวิธีการอย่างไรที่จะให้มนุษย์ครองชีวิต ครองสังคมได้อย่างยุติธรรมที่สุด” ข้าพเจ้าพูดแล้วก็อำลาเขากลับไปห้องทำงาน ซึ่งอยู่ทางอีกฟากหนึ่งของย่วน

ที่เฉลียงเล็กหน้าห้องทำงานของข้าพเจ้า แสงเดือนฉายสว่างพอมองเห็นอะไรได้ถนัด ข้าพเจ้าพบเสียวเม่ยืนพิงเสาแหงนหน้าดูฟ้าอยู่คนเดียว

“ยังไม่นอนหรือ, เสี่ยวเม่” ข้าพเจ้าถามเมื่อเดินเข้าไปใกล้

“ฉันกำลังสร้างวิมานในท้องฟ้า” หญิงสาวน้องคนสุดท้องของตู้หลิงตอบ แล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน “เอ้อเกอ, พี่คุยอะไรอยู่ตั้งนาน ?” เธอเรียกข้าพเจ้าว่าเอ้อเกอ แปลว่าพี่ที่สอง

“เรื่องลูกศิษย์คนใหม่ของเหลาจื่อ” ข้าพเจ้าตอบ

“ใคร–ลูกศิษย์คนใหม่ ?”

“ชูฟ้า”

“อ๋อ, ฉู่หวาใช่ไหม ฉันเป็นแฟนบทความของเขา ฉันเห็นใจ แต่ไม่เห็นด้วย” เสี่ยวเม่ชี้แจงโดยไม่ต้องถาม “พี่ล่ะ, เห็นยังไง พี่รู้จักฉู่หวาไม่ใช่หรือ ? เห็นวันนั้นพูดถึง”

ข้าพเจ้าโคลงศีรษะไปมา

“เป็นความคิดที่อันตราย น้อง ๆ คอมมิวนิสต์”

“แต่ก็น่าเห็นใจ เขาให้เหตุผลไว้น่าฟัง”

“เธอก็ต้องการล้มสถาบันของมนุษย์อีกคนหนึ่งหรือ, เสี่ยวเม่ ?”

หญิงสาวหัวเราะเสียงใส

“ฉันยังต้องการเต้นรำบนลานน้ำแข็ง ต้องการไปงานปาร์ตี้ ต้องการกินไอสครีมรสใหม่ ๆ ต้องการดูเหมยหานฟาง, ฉันจะล้มสถาบันของมนุษย์ได้ยังไง ?”

“ดีแล้ว ที่เธอไม่คิดล้ม” ข้าพเจ้าหัวเราะ “ถ้าเธอคิด ฉันก็คงจะอยู่บ้านเธอไม่ได้”

“อ้าว, ทำไมล่ะจ๊ะ, พี่ ?” เสี่ยวเม่จ้องมองข้าพเจ้าตาโต

“ฉันไม่อยากติดโรคล้มสถาบันกลับไปเมืองไทย” ข้าพเจ้าตอบ

“แต่ฉู่หวาเขาจะต้องกลับเมืองไทย”

ข้าพเจ้านิ่งคิดก่อนจะตอบ

“มีคนสองคนที่ทำให้ฉันหนักใจ สนานกับชูฟ้า เดิมคิดว่าจะมีแต่สนานเพียงคนเดียว แต่เดี๋ยวนี้เกิดมีชูฟ้าอีกคนหนึ่ง”

“เคราะห์ดีที่เจียงเฟไม่ได้อยู่ในเมืองไทย”

“เธอรู้จักเจียงเฟ ?”

เสียวเม่พยักหน้า

“นักเรียนทุกคนรู้จักเจียงเฟ เขาเป็นคอมมิวนิสต์จริง ๆ หรือพี่ ?”

ข้าพเจ้าสั่นศีรษะทันที

“ถ้าเมืองจีนเป็นของเมาเซตุงวันไหน, วันนั้น เจียงเฟจะถูกยิงเป้า แต่รัฐบาลนานกิงอาจยิงเขาเสียก่อนก็ได้”

สีหน้าเสี่ยวเม่สลดไปทันที จนข้าพเจ้าสังเกตเห็นได้จากแสงจันทร์ มีอะไรบางอย่างในแววตาของหญิงสาวที่ส่อพิรุธว่า จิตใจกำลังได้รับความสั่นสะเทือนจากความรู้สึกบางอย่าง

“เธอมีอะไรหรือ, เสี่ยวเม่ ?” ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ

ไม่มีคำตอบ อาการนิ่งทำให้ข้าพเจ้าสงสัยมากขึ้น

“เธอรู้อะไรจากพี่ชายของเธอใช่ไหม ?” ข้าพเจ้าถามค่อนข้างรีบร้อน “ตู้หลิงว่ายังไง ? เขาจะเอาเจียงเฟไปยิงเป้า–ใช่ไหมเสียวเม่ ? หรือว่า—เขายิงเจียงเฟเสียแล้ว”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ