- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๒๐
๑
หิมะของชีวิตยังไม่ละลาย ชุนเทียนที่ชีวิตต้องการจึงยังมาไม่ถึง ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าในชีวิตของข้าพเจ้า ชุนเทียนจะมีมาหรือไม่ และถ้ามี, จะมาถึงเมื่อไร หรือว่ากรรมลิขิตได้กำหนดไว้แล้วว่าข้าพเจ้ายังจะต้องเดินต่อไปอีกบนถนนแห่งความเหี้ยมโหดนี้–เดินไปแบบมาเดี่ยวแล้วก็ไปเดี่ยว–ไปตามรอยเกวียนที่ไม่มีจุดสุดท้ายเพราะมันเป็นวงกลม
พฤติการณ์ของสนานที่เป๋ห่ายในวันนั้น ทำให้ข้าพเจ้าต้องเก็บเอามาคิด เมื่อกลับมาถึงห้องพักในเวสท์บิลดิ้ง ภายในกำแพงโรงเรียนหวาเหวินแล้ว ข้าพเจ้าพบบัวในห้องอาหารตอนค่ำ เรารื้อเอาเรื่องที่เป๋ห่ายมาพูดกัน
“สนานเขาคุยอะไรกับคุณบ้าง ?” ข้าพเจ้าถาม
“คุณหมายถึงที่เป๋ห่ายใช่ไหม ?” บัวถาม
“เขาว่าเขาพบคุณ แล้วก็ชวนไปเป๋ห่าย”
บัวมองหน้าข้าพเจ้าอย่างแปลกใจ
“มีอะไรหรือ ?” เขาถาม
“เปล่า, ผมอยากรู้ คุณรู้จักสนานก่อนผม”
“แล้วยังไง ?”
“สนานเขาพายเรือข้ามมาหาเจียงเหมย”
“สนานเขาบอกผมว่า เขาจะไปคุยกับเจียงเหมย เขาเห็นคุณนั่งคุยอยู่ มีเรื่องอะไรหรือ ?”
“ผมไม่มีเรื่องอะไร” ข้าพเจ้าตอบแล้วหยุดคิดก่อนจะพูดต่อไป “ผมฟังเจียงเหมยพูดแล้วก็ชักไม่เข้าใจ มันแปลกหูอยู่หลายคำ”
“คุณคงไม่ได้ทำให้เขาทะเลาะกัน ?” บัวหัวเราะด้วยอารมณ์ขันของเขา
ข้าพเจ้ามองตาเขาแล้วก็ยิ้ม
“ถ้าเขาจะต้องทะเลาะกัน ก็เป็นเรื่องของเขาสองคน ผมไม่เกี่ยว”
“คุณปฏิเสธ ?” บัวยั่วอย่างมีเจตนา
“ผมไม่มีอะไรจะต้องเกี่ยว คุณเลิกหาเรื่องกับผมดีกว่าน่า, บัว”
บัวหัวเราะเสียงดัง
“ถ้าคุณไม่เกี่ยว ผมก็ว่าคุณมีทางเอาตัวรอด”
“คุณหมายความว่ากระไร, บัว”
บัวควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ แล้วพ่นควันโขมง หน้าของเขาแสดงว่ากำลังใช้ความคิด
“เจียงเหมยมีหัวการเมืองเหมือนเจียงเฟ ต่างกับวารยามาก เป็นผู้หญิงคนละแบบ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม ?” ข้าพเจ้าเลิกคิ้วมองหน้าเขา
“อ้าว, เกี่ยวซี ผมรู้ว่าคุณสนใจเจียงเหมย” บัวตอบเสียงหนัก “คุณจะไปสนใจกับความเป็นผู้หญิงของวารยา ผมไม่ว่าอะไร แต่สำหรับเจียงเหมย ผมอยากจะเตือนว่า คุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากเรื่องยุ่ง”
“คุณเข้าใจว่าอย่างไร, บัว?”
“ผมเข้าใจว่าคุณจะหาเหาใส่หัว”
“เหา ? คุณเห็นคนเป็นเหาไปเสียแล้วหรือ ?”
“คุณคงไม่เข้าใจ ผมจะบอกให้ คนพวกนี้มีเหาทั้งนั้น คุณต้องระวังตัว อย่าลืมนะว่าเราเป็นคนไทย”
ข้าพเจ้าฟังบัวไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเขาจะเอาอะไร บัวคงจะเข้าใจดีว่า เขายังทำความกระจ่างให้แก่ข้าพเจ้าไม่ได้ จึงชะโงกหน้าเข้ามา แล้วพูดเบา ๆ ว่า
“คุณรู้ไหมว่าหลูกวงเป็นคอมมิวนิสต์”
“ผมก็อยากจะพูดว่ารู้ แต่มันเกี่ยวอะไรกับผมด้วยล่ะ ?”
“เกี่ยวซี คุณสนใจกับคนพวกนี้ คุณหาเหาใส่หัว เราเป็นคนไทย เราไม่อยากมีเหา”
“อ๋อ, เข้าใจ คุณกลัวว่าผมจะเป็นคอมมิวนิสต์ ? ใช่ไหม, บัว ?”
“ผมก็ไม่อยากจะคิดหรอกว่าคุณจะชอบคอมมิวนิสต์ แต่ผมคิดว่าคุณสนใจกับคนพวกนี้ คุณพูดถึงหลูกวงบ่อย ๆ คุณชอบไปพบเจียงเหมยกับสนาน ผมว่าคุณจะเอาตัวไม่รอด”
“บัว” ข้าพเจ้าเรียกชื่อเขาค่อนข้างดัง “นี่คุณคงจะคิดว่า เจียงเหมยเป็นคอมมิวนิสต์ ?”
“ผมไม่ยืนยัน แต่เขาสนิทกับหลูกวงมาก สนิทขนาดเรียกพี่”
ข้าพเจ้าโคลงศีรษะช้า ๆ แล้วถอนใจยาว ๆ
“นี่แหละนะ, โลกมันยุ่งก็เพราะคนไม่เข้าใจกัน คุณเข้าใจผิดหมด เจียงเหมยไม่ใช่คอมมิวนิสต์”
“คุณรู้ได้ยังไง ?”
“วันนั้น–” ข้าพเจ้าหยุดเพื่อจะลำดับเรื่อง “ที่เป๋ห่าย–คุณคงจำได้ สนานเขาทิ้งคุณไว้ฝั่งหนึ่ง แล้วพายเรือข้ามไปหาเจียงเหมย ผมได้ยินเจียงเหมยพูดเรื่องหลูกวง”
“ยังไง ?”
“เขาไม่ชอบให้สนานไปคบหลูกวง แม้แต่ผม เขาก็เตือน”
บัวมองตาข้าพเจ้าคล้ายกับไม่เชื่อ
“เอ้อ–แล้วคุณก็เลยเชื่อว่าเจียงเหมยไม่ใช่คอมมิวนิสต์?”
ข้าพเจ้าส่ายหน้าอย่างรำคาญ
“ผมกล้าพูดว่าเจียงเหมยไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ตรงกันข้าม–เจียงเหมยเป็นคนแอนตี้คอมมิวนิสต์, แต่สำหรับสนาน–ผมแปลกใจ ผมได้ยินเจียงเหมยพูดกับสนานแล้วก็ชักงงๆ”
“ยังไง ?”
“เจียงเหมียบอกกับสนานว่า ถ้ายังแอบพบกับหลูกวงอยู่ ก็จะต้องเสียใจภายหลัง”
“แอบพบ ? ก็เขาอยู่เยียนจิงด้วยกัน ทำไมจะต้องแอบพบ ?”
“ผมไม่รู้ แต่ฟังเจียงเหมยกับสนานโต้ตอบกันแล้ว ผมก็รู้ว่าสนานมาแอบพบหลูกวงที่หอสมุดแห่งชาติ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เขาพบกันทุกวันที่เยียนจิง ทำไมถึงต้องมาแอบพบกันที่หอสมุดในเมือง”
“อาจมีบุรุษที่สามอีกก็ได้”
“ไม่รู้ซี แต่เจียงเหมยบ่นว่าสนานมากมาย สนานก็มีพิรุธเต็มตัวเรื่องแอบมาพบหลูกวง คุณอาจเดาถูกก็ได้ คงจะมีบุรุษที่สามมาพบด้วย”
บัวส่ายหน้าไปมา
“แปลว่าคุณเชื่อว่าเจียงเหมยไม่ใช่คอมมิวนิสต์”
“ผมเชื่อ ผมมั่นใจ เจียงเหมยเป็นคนรักชาติ มีความคิดเห็นรุนแรงเรื่องชาติ ผมสนใจเจียงเหมยก็เพราะเหตุนี้ ไม่ใช่เพราะเจียงเหมยเป็นราชินีของเยียนจิง”
“ผมอยากให้คุณระวังตัว ถึงคุณจะไม่เชื่ออย่างผมเชื่อ”
“ผมว่าผมคงมองผู้หญิงคนนี้ไม่ผิด” ข้าพเจ้าพูดอย่างมั่นใจ “เวลานี้ผมเกิดห่วงขึ้นมากที่ตัวสนาน ถ้าสนานเป็นคอมมิวนิสต์ เจียงเหมยจะลำบากใจมาก”
“คุณคิดหรือว่าเจียงเหมยรักสนาน ?” บัวตั้งคำถามที่เขาไม่เคยตั้งเลย
ข้าพเจ้านิ่งอึ้งไปประเดี๋ยวหนึ่งจึงได้ตอบ
“ผมเข้าใจว่าเขารักกัน แล้วก็–ผมหนักใจ ความรักครั้งแรกของหญิงมันลืมไม่ได้ง่าย ๆ เจียงเหมยจะทำยังไงถ้าสนานเกิดเป็นคอมมิวนิสต์ขึ้นมาจริง ๆ มันจะต้องเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ยิ่งของผู้หญิงคนนี้”
๒
ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าข้าพเจ้าเป็นอะไรไป ข้าพเจ้ายังรู้จักตัวเองไม่พอเช่นนั้นหรือ ? ทำไมข้าพเจ้าจึงจะต้องไปสนใจกับเจียงเหมย ? บัวเขาพูดถูกแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนไทย มันเรื่องอะไรจะต้องไปยุ่งกับผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนไทยเพียงเพราะเหตุว่า ผู้หญิงคนนี้เกิดไปรักคนไทยเลือดจีนคนหนึ่งชื่อสนาน ตั้งเรืองแสง ซึ่งมีพิรุธว่าจะเป็นพวกหลูกวง ?
ข้าพเจ้าตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไม ข้าพเจ้าจึงสนใจเจียงเหมยน้องสาวเจียงเฟ ข้าพเจ้ารักเจียงเหมยยังงั้นหรือ ? ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าข้าพเจ้ารักผู้หญิงคนนี้ ไม่มีอะไรในโลกจะทำให้ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้นได้ ข้าพเจ้ารู้แต่ว่าข้าพเจ้ายังไม่เคยพบผู้หญิงคนไหนไม่ว่าจะเป็นชาติใดภาษาใด ที่คิดอย่างองอาจและกว้างขวางเหมือนเจียงเหมย มีความเข้าใจมนุษย์เป็นอย่างดี มีความเห็นใจมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาเพื่อจะพบกับความทุกข์ทรมาน ที่นับวันจะทับทวีมากขึ้นเพราะวัตถุธรรมกำลังท่วมโลก เจียงเหมยเป็นผู้หญิงคนละแบบกับวารยา ข้าพเจ้าเป็นคนชอบยกย่องคนเก่งคนดี โดยเฉพาะผู้หญิง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าผู้หญิงเป็นเพศที่เคยอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน เมื่อผู้หญิงออกมานอกประตูเหย้า เลิกเฝ้าเรือนแล้วแสดงความเก่งความกล้า เลิกเห็นแก่เล็กแก่น้อย เลิกเล่นไพ่ เลิกนินทา ยอมเสียสละเรื่องส่วนตัว เพื่อประโยชน์สุขของชนกลุ่มใหญ่ เธอก็ต้องเป็นผู้หญิงที่ควรแก่ความสนใจ ข้าพเจ้าไม่คิดว่าได้ทำผิดอะไร ถ้าข้าพเจ้าจะสนใจเจียงเหมย, ยกย่องเธอ หรือแม้แต่จะขอบูชาเธอ ตลอดเวลาที่เราได้รู้จักและคุ้นเคยกัน ข้าพเจ้าโดมโอกาสเรียนรู้จิตใจของเจียงเหมย ซึ่งคนอื่นอาจไม่สนใจจะสังเกต เจียงเหมยเป็นผู้หญิงที่ข้าพเจ้าเทอดทูน ส่วนวารยาเป็นผู้หญิงที่ข้าพเจ้าสงสาร
วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเข้าห้อง “ติวเดี่ยว” กับเจียงเฟ ผู้ได้รับมอบหมายจาก ดร. เพทตัส ให้ติวภาษาให้ข้าพเจ้าวันละสองชั่วโมงเป็นประจำ ส่วนบัวเข้าติวกับจางเซียนเซิง ในห้องอีกห้องหนึ่งใกล้ ๆ กัน เช้าวันนั้นเจียงเฟมีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาเอาข่าวใหญ่ ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์มาเป็นหัวข้อการฝึกพูด แทนการเอาคำใหม่ที่ได้จากชั้นมาฝึกตามที่ทำมาเป็นประจำ หัวข้อของข่าวที่ได้จากหนังสือพิมพ์ก็คือ เรื่องญี่ปุ่นจะยึดแมนจูเรีย ซึ่งกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริงมากขึ้นทุกวัน เจียงเฟเผลอตัวระบายอารมณ์ที่ถูกกดดันอยู่ตลอดเวลาออกมาว่า ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นของนักศึกษาทั่วประเทศ จะต้องทำหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับที่ได้ทำมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน คือขบวนการหวู่ซื่อยุ่นตุ้ง ซึ่งเมาเซตุงกับโจวเอินไหลก็มีส่วนร่วมอยู่ด้วย ขบวนการหวู่ซื่อยุ่นตุ้งได้ปลุกชาวจีนทั้งประเทศให้ลุกขึ้นคัดค้านรัฐบาล ที่ยอมอ่อนข้อให้แก่รัฐบาลญี่ปุ่นผู้รุกราน จนถูกสงสัยว่าได้สมคบกันขายแผ่นดินจีน ให้แก่ศัตรูเก่า เจียงเฟบอกข้าพเจ้าว่า ถ้าญี่ปุ่นยึดแมนจูเรีย และถ้ารัฐบาลจีนไม่สู้ นักศึกษาจะยืนขึ้นสู้ เลือดจะนองแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือมติของนักศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งผู้แทนได้ประชุมกันที่มหาวิทยาลัยฝู่เหริน เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่คราวนี้” เจียงเฟเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง “เราจะพยายามตัดพวกคอมมิวนิสต์ออกไป ไม่ให้เข้ามายุ่งอีกเหมือนเมื่อคราวหวู่ซื่อยุ่นตุ้ง เราไม่ต้องการให้คอมมิวนิสต์ฉวยโอกาสแทรกแซง เราไม่ต้องการให้พวกรัสเซียเข้ามายุ่งกับบ้านเมืองของเรา”
ในการฝึกการสนทนาตามหัวข่าวหนังสือพิมพ์เช้าวันนั้น ตอนหนึ่งข้าพเจ้าเตลิดออกไปนอกทางอย่างเผลอตัว ข้าพเจ้าถามเจียงเฟว่า
“เธอรู้เรื่องหลูกวงไหม ?”
“หลูกวงที่เยียนจิงน่ะหรือ ?”
“นั่นแหละ”
“เธอต้องการรู้อะไรล่ะ ?”
“หลูกวงเป็นพวกซ้าย–ใช่ไหม ?”
“ใช่ ใครบอกเธอ”
“เจียงเหมย”
“เธอเคยพบหลูกวงแล้วไม่ใช่หรือ ?”
“พบแล้ว เป็นคนน่ากลัว, เลี้ยงเคราไว้รุงรัง, ไว้ผมแบบฤๅษี, พูดจาดุดันเหมือนคนสติไม่ดี เป็นคนคบยาก”
“ไม่คบเสียได้แหละดี พวกนี้บ้าลัทธิคลั่งการเมือง เป็นพวกสุดโต่ง, ไม่เดินสายกลาง ใจเหี้ยมไม่แพ้พวกซามูไร”
“ฉันว่าถ้าหลูกวงเป็นใหญ่ขึ้นมา เขาต้องเผด็จการแน่”
“อ๋อ, แน่นอน ระบอบคอมมิวนิสต์ ถ้าไม่เผด็จการ–ไม่ทารุณ–ไม่เหี้ยม, มันก็สำเร็จยาก แต่ฉันว่ามันไม่มีทางสำเร็จ เพราะมนุษย์เรามีธรรมชาติทางใจ ที่ต้องการเสรีภาพมากเท่ากับต้องการอากาศหายใจ ระบอบที่เผด็จเสรีภาพของคน–เอาคนเป็นทาสแรงงาน–คลั่งแต่งาน งาน งานทั้งกลางวันกลางคืน แบบฟาโรห์คลั่งพิรามิดหรือพระเจ้าฉินสื่อหวงคลั่งกำแพงเมืองจีน” เขาหยุดหัวเราะ “ฉันว่ามันเป็นระบอบทาส มันสำเร็จไม่ได้ มันจะยืนอยู่ได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น แล้วประชาชนก็จะโค่นมันลงอย่างที่เคยโค่นมาแล้วในประวัติศาสตร์–ถ้าไม่วันนี้–วันหน้า”
“ฉันคิดว่าเธอเข้าใจถูกแล้ว” ข้าพเจ้าพูดช้า ๆ เป็นภาษาปักกิ่ง “ฉันเคยคุยกับเจียงเหมยน้องสาวของเธอ เขาก็เห็นเหมือนเธอ”
“เจียงเหมยเกลียดคอมมิวนิสต์มาก แต่เขาไม่เกลียดหลูกวง”
“ทำไม ?”
เจียงเฟหัวเราะ
“เพราะหลูกวงเป็นคนซื่อตรงเหมือนกวนอู ทุกวันนี้คนซื่อหาทำยายาก”
“แต่คนซื่อไม่ควรเป็นคอมมิวนิสต์” ข้าพเจ้าขัดขึ้น
“ทำไม ?”
“เพราะคอมมิวนิสต์เป็นพวกกลับกลอก มุ่งแต่ความสำเร็จของลัทธิ ไม่คิดถึงศีลธรรม ไม่ไยดีกับมนุษยธรรม คอมมิวนิสต์โกหกได้เชือดเนื้อคนได้, ฆ่าพ่อฆ่าแม่ฆ่าผัวฆ่าเมียได้, ฆ่าผู้มีพระคุณได้, ความกตัญญูไม่มีความหมาย, ความดีไม่มีความหมาย สิ่งเดียวที่มีความหมายก็คือโลกใหม่ที่เขาคิดจะสร้างขึ้นบนกองกระดูก ฉันว่าคนซื่อไม่ทำความชั่วเหล่านี้”
เจียงเฟหัวเราะอีก ก็พอดีมีเสียงกริ่งดังกร่างใหญ่ เป็นสัญญาณว่าถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว
ออกจากชั้น “ติวเดี่ยว” ข้าพเจ้าตรงไปยังแผงจดหมายหน้าประตูห้องมิสปอปอฟในตึกฮอลล์ ค้นหาจดหมายจากเมืองไทยและฮ่องกง มีจดหมายถึงข้าพเจ้าสามฉบับ ฉบับหนึ่งจาก Lo Kwong Tong, St. Stephen ’s College, Hongkong ฉบับหนึ่งจาก Dawee Aswan, Philippines, อีกฉบับหนึ่งจากคุณโชติ แพร่พันธุ์
ข้าพเจ้าวิ่งกลับห้องพักทันที ฉีกจดหมายของคุณโชติ เพื่อนเก่าเทพศิรินทร์ออกอ่านก่อนด้วยความตื่นเต้น มันเป็นจดหมายฉบับแรกที่ข้าพเจ้าได้รับจากเพื่อนเก่าที่รักคนนี้ จดหมายของเขาทำให้ข้าพเจ้านึกถึงภาพที่เราฟาดแข้งกันมาในสนามหญ้าหน้าตึกแม้นนฤมิตร ในรั้วเขียวเหลือง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ ซึ่งเป็นปีที่ข้าพเจ้าก้าวขึ้นไปเรียนชั้นมัธยม ๑ ภาพของคุณโชติที่โผล่เข้ามาในสำนักงานหนังสือพิมพ์ “ธงไทย” ของคุณเฉวียง เศวตะทัต ที่ตึก
คุณโชติ แพร่พันธุ์ เอ่ยถึงคุณมาลัย ชูพินิจ ผู้มักจะทำต้นฉบับ “หาย” บ่อยที่สุดในกลุ่มพวกเรา เมื่อถูกหัวหน้าทีม คือคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ทวงต้นฉบับ คุณโชติบอกว่าคุณมาลัยยังคงเป็นพรานป่าอยู่–ยังคงเขียนหนังสือตลอดรุ่ง–แล้วก็ต้นฉบับไม่ค่อย “หาย” เหมือนเมื่อสมัยข้าพเจ้าไปนั่งจับกลุ่มกินเสียโปอยู่ด้วยแถวสะพานผ่านฟ้าเวลาเที่ยงคืน สำนวนของคุณโชติได้รื้อฟื้นความหลังขึ้นมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ข้าพเจ้าคิดถึงคุณมาลัย จึงเปิดแฟ้มจดหมายหยิบจดหมายของคุณมาลัยขึ้นมาอ่าน เพื่อระบายอารมณ์คิดถึงอีกครั้งหนึ่ง จดหมายนั้นเขียนที่บ้านเลขที่ ๔๖๗ เชิงสะพานมัฆวาฬ พระนคร ลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๒
ต่อไปนี้คือจดหมายของคุณมาลัย ชูพินิจ:–
-
๑. หมายเหตุ : คือที่ตั้งตึก น.ส.พ. “ชาวไทย” ปัจจุบัน–ผู้เขียน ↩