- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๔๘
๑
จังหวะนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาทางประตูห้อง แล้วชายชราเคราสำลีก็โผล่เข้ามา พอเห็นข้าพเจ้าก็ร้องทักด้วยความดีใจ รีบเดินเข้ามาหาอย่างงกเงิ่น
เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันเป็นเรื่องอื่นโดยไม่ตั้งใจ วลาดิมีร์ถามว่าข้าพเจ้าหายไปไหนหลายวัน แล้วก็เลยพูดถึงเหลียงกวงต้าน วิศวกรแห่งบอสตัน
“เมื่อวานฉันพบเหลียงที่ฮาตะเหมิน เขาออกมาจากโรงอาบน้ำ”
“อ้อ—” ข้าพเจ้ายิ้มอย่างเข้าใจ เพราะบัวกับข้าพเจ้าก็เคยออกมาจากโรงอาบน้ำเหมือนกัน หลังจากที่เข้าไปย่ำรังเกาหลีมาจนรุ่งสาง ในหูทุ่ง (ตรอก) แถวฮาตะเหมิน
“ฉันไปหาสเวนเฮดินที่ลีเกชั่นควอเตอร์ คุยกับเขาเรื่องสำรวจมณฑลซินเกียง” วลาดิมีร์พูดต่อไป “เธอเคยพบสเวนเฮดินไหม ?”
ข้าพเจ้ารับว่าเคยพบ
“ผมเคยฟังเล็คเช่อร์ของสเวนเฮดินที่หอประชุมหวาเหวิน แกพูดเรื่อง Peking Man, กับ Java Man”
“แกพยายามค้นหา Missing Link ของมนุษย์ ทะเลยทรายโกบี แกสำรวจเสียปรุ กระโหลกมนุษย์ยุคนั้น ก็พบในทะเลทรายแห่งนี้”
“แต่ผมไม่อยากให้พวกคุณปู่คุณทวดของเราเป็นลิงเลย” ข้าพเจ้าพูดพลางหัวเราะ วารยาก็พลอยหัวเราะไปด้วย
“ทำไม ?” วลาดิมีร์ถามแล้วยิ้ม
“ผมเกลียดลิงครับ มันอยู่ไม่สุข” ข้าพเจ้าตอบ “ทุกวันนี้ โลกมนุษย์วุ่นวายก็เพราะมนุษย์อยู่ไม่สุข”
“มันเป็นสัญชาตญาณ” ชายชราพึมพำ
วารยาพยักหน้ารับรอง
“จริงของพ่อ, เรามีสัญชาตญาณเป็นบาป”
“ผมว่า เรามีทางจะอยู่ให้เป็นสุขได้” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงจัง “ทางที่เราจะเดินมันมี แต่เราก็ไม่เดิน”
“จริงของเธอ” วลาดิมีร์สวนขึ้นทันที “เราเดินทางผิดกันมาทุกยุค เราเบียดเบียนกันตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนยุค Peking Man หรือ Java Man ฝ่ายที่ถูกเบียดเบียนก็ต้องป้องกันตัว หรือมิฉะนั้นก็ต้องโต้ตอบ การโต้ตอบทำให้เกิดปฏิกิริยา, การปฏิวัติในเมืองจีน เป็นอาการของปฏิกิริยา, การปฏิวัติในรัสเซีย หรือในฝรั่งเศส ในเยอรมันนี่ ก็เป็นอาการของปฏิกิริยา เดี๋ยวนี้เมืองจีนก็กำลังมีปฏิกิริยาแบบใหม่ คนแก่ทุกข์ไม่ได้ก็บ้าคลั่ง พอบ้าคลั่ง ก็ทำลาย สถาบันทุกอย่างกำลังถูกทำลาย”
“คอมมิวนิสต์ใช่ไหมครับ ?” ข้าพเจ้าถาม
“ไม่ใช่”
ข้าพเจ้ามองหน้าชายชราด้วยความแปลกใจ
“แล้วอะไรเล่าครับ ?”
วลาดิมีร์โคลงศีรษะช้า ๆ
“เมื่อวานซืน ฉันพบเจ้าหนุ่มโอเวอร์ซีคนหนึ่งที่เยียนจิง พ่อเป็นไหหลำ แม่เป็นไทย ชื่อชูฟ้า”
“อ้อ ชูฟ้า” ข้าพเจ้าอุทาน “ชูฟ้า...ผมพอจะนึกออก...ชื่อจีนเขาก็มี ดูเหมือนชื่อฉู่หวา”
“เธอรู้จัก ?”
“ครับ, ผมเคยได้ยินชื่อ คิดจะไปคุยกับเขาเหมือนกัน เป็นดาราฟุตบอล หรือวอลเล่ย์บอลล์—หรือบาสเก้ตบอลล์ ผมก็จำไม่ค่อยได้ แต่เป็นนักกีฬาเต็มตัว”
“ชูฟ้าเป็นหัวหน้าทีมวอลเลย์บอลล์ของเยียนจิง” วลาดิมีร์บอก
“เจียงเหมยเล่าให้ผมฟัง ชูฟ้าควรจะรู้จักกับผมนานแล้ว แต่คลาดกันทุกที ผมไปเยียนจิง เขาเข้าเมือง เลยยังไม่ได้พบกัน”
“ถ้าพบกัน เธอจะได้ความรู้ใหม่ ๆ แต่ระวังอย่าไปติดโรคมา เธอจะอยู่เมืองไทยไม่ได้”
“โรคหรือครับ ? โรคอะไรกันครับ ?”
ข้าพเจ้าถามอย่างฉงน
ชายชราเคราสำลีหัวเราะ
“โรคปฏิกิริยาน่ะซี โรคปฏิวัติ”
“อ้อ, เป็นนักปฏิวัติหรือครับ ?” เสียงของข้าพเจ้าแสดงความสนใจยิ่งขึ้น
“ชูฟ้าเป็นนักปฏิวัติ แต่ปฏิวัติอย่างบ้าคลั่ง เกลียดโลก เกลียดชีวิต เกลียดมนุษย์ เกลียดสังคม เกลียดสถาบัน เกลียดทุกอย่าง เขาว่ามันล้วนแต่หลอกลวง ไม่มีความจริง”
“แล้วเขาชอบอะไรล่ะครับ ?”
“เขาก็ไม่บอกว่าชอบอะไร แต่เขาต้องการทำลายทุกอย่าง เหตุผลของเขาก็คือทุกสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ล้วนเป็นของปลอม, ของสมมุติ, เป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ยื้อแย่งทำลายกัน, เป็นศัตรูของความยุติธรรมความสงบ”
“เขามีความคิดแปลกดี แล้วเขาจะเอายังไง ?”
“สงสัยว่าจะไปเป็นเซียน นั่งอยู่ในถ้ำบนยอดเขา” วลาดิมีร์หัวเราะ
ข้าพเจ้าหัวเราะบ้าง ได้ยินวารยาเอ่ยขึ้นว่า
“เป็นพวกเต้าเหรินเสียก็ไม่รู้”
“บางทีโลกมันยุ่ง ๆ คนเราก็เลยแอนตี้ไปหมด ไม่ว่าอะไร” ข้าพเจ้าพูดอย่างเดา “เราเกิดมาก็หวังพึ่งพ่อแม่พี่น้อง, พึ่งครูบาอาจารย์, พึ่งญาติมิตรเพื่อนฝูง, พึ่งรัฐบาล, พึ่งสังคม, พึ่งสถาบันต่าง ๆ แต่มนุษย์มันวุ่นวายกันมากขึ้นทุกวัน, บ้านเมืองเหลวแหลก, คนเลวลงจนเกือบจะหมดความเป็นคน, สถาบันทุกแห่งล้วนแต่มีอยู่เพื่อคนหมู่เดียว, กลุ่มเดียว, หรือเพื่อชื่อเสียง, เพื่อประโยชน์ที่ตัวเองจะได้, เมื่อโลกมันหมดความจริง, คนก็พึ่งความจริงไม่ได้, ไม่รู้จะไปพึ่งอะไร ผลที่สุดก็มุ่งแต่จะทำลายทุกอย่างที่เห็นเป็นเท็จ เพราะขืนรักษาไว้ก็เท่ากับเก็บเอาความเท็จไว้ ผมว่าบางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนพวกนี้เบื่อโลก คิดแต่จะทำลาย แต่แล้วก็ไม่รู้จะสร้างอะไรขึ้นมาแทน”
วลาดิมีร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ศาสนาช่วยอะไรไม่ได้” เขาถอนใจเบา ๆ “คนเราห่างศาสนามากขึ้นทุกวัน คอมมิวนิสต์ก็ช่วยทำลายอีกแรงหนึ่ง ในเมืองจีนเดียวนี้คนจีนสมัยใหม่มักไม่ถือศาสนาอะไรเลย มีถือคริสเตียนกันบ้าง แต่ก็ไม่จริงจัง คนที่เป็นคริสเตียนจริง ๆ ฉันยังไม่เคยพบ”
“ผมเสียดายศาสนาพุทธในเมืองจีน กำลังยืนตายเหลือแต่ซาก”
“ฉันชอบพุทธปรัชญา รู้สึกว่าเป็นความจริงที่ค้านไม่ได้” วลาดิมีร์พูดอย่างใช้ความคิด “เธอนับถือศาสนาพุทธไม่ใช่หรือ ?”
“ครับ, ผมเป็นพุทธ คนไทยมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นพุทธ” ข้าพเจ้าตอบ
เมื่อพูดกันถึงตรงนี้มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น วารยาเดินเข้าไปรับสาย แล้วหันมาพูดกับวลาดิมีร์ว่า
“ฉู่หวาจ้ะ พ่อ”
๒
ฉู่หวา ดาราวอลเลย์บอลล์ แห่งมหาวิทยาลัยเยียนจิง โทรศัพท์มาบอกว่าจะมาหาวลาดิมีร์ในสิบนาที เขากำลังอยู่ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์เป่ผิงฉื่อป้าว ข้าพเจ้าเตรียมตัวจะลากลับ แต่วลาดิมีร์บอกว่าข้าพเจ้าจะนั่งคุยอยู่ต่อไปก็ได้ เพราะเขาไม่มีธุระอะไรสำคัญกับฉู่หวา และอีกประการหนึ่ง เขาต้องการให้ข้าพเจ้าได้พบกับฉู่หวาซึ่งเป็นลูกจีนเกี่ยวข้องกับเมืองไทย บางทีจะมีเรื่องอะไรที่น่าสนใจคุยกันก็ได้ ข้าพเจ้าไม่ขัดข้องเพราะตั้งใจจะพบฉู่หวา หรือชูฟ้าผู้นี้อยู่แล้ว
ดาราวอลเล่ย์บอลล์ เลือดไหหลำปนไทยมาถึงบ้านวลาดิมีร์ตรงตามเวลา ร่างของเขาสูงระหง เอวคอด หน้าอกใหญ่ ตาคมวาว ผมหยักโศก เราทักทายกันอย่างตื่นเต้นเมื่อได้รับการแนะนำให้จับมือกันแล้ว
“เรียกว่าชูเฉย ๆ ก็แล้วกัน ผมไม่อยากมีคำว่าฟ้า” เขาพูดเป็นภาษาไทย “ฟ้ามันหนัก ผมชูมันไม่ไหว เวลานี้ผมไม่ชูอะไร แม้แต่มือ เพราะขืนชูมือ ผมก็จะกลายเป็นคนแพ้”
ข้าพเจ้าแปลให้วลาดิมีร์และวารยาฟัง คนทั้งสองหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ต่อจากนั้นเราก็ใช้ภาษาอังกฤษสนทนากันปะปนไปกับภาษาปักกิ่งตามโอกาส
ชูฟ้ายื่นหนังสือสองเล่มปกเก่าคร่ำให้ชายชราเคราสำลี แล้วพูดว่า
“ผมเอามาคืน ผมอ่านจบแล้วทั้งสองเล่ม ตอลสะตอยส์ เขียนได้วิเศษเหลือเกิน ผมเห็นใจแอนนา”
“เธอเข้าใจคนอื่นดีเท่ากับที่เธอเข้าใจตัวเอง” วลาดิมีร์พูดยิ้ม ๆ
“ฉันคิดว่าเธออ่านหนังสือมาก จึงเข้าใจคนอื่นได้ดีกว่าคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ” วารยาเอ่ยขึ้นบ้าง “วันนั้นเธอเล่าเรื่องสวยหู่ ฉันยังติดใจอยู่เลย”
ชูฟ้ายิ้มไม่ตอบ ข้าพเจ้าจึงพูดว่า
“ในเมืองไทย เราแปลออกเป็นภาษาไทยแล้ว”
“ผมอ่านภาษาไทย” ชูฟ้าพูดอย่างใช้ความคิด “ผมคิดว่าผมตั้งต้นคิดเพราะหนังสือเล่มนี้”
“ตั้งต้นคิด ?”
เขาผงกศีรษะรับ แล้วพูดต่อไป
“คุณคงเคยทราบมาบ้างว่า เมาเซตุงต้องอ่านสวยหู่หลายสิบเที่ยว แต่ผมไม่ได้คิดอย่างเมาเซตุง”
ข้าพเจ้ามองตาเขาเป็นเชิงถาม ชูฟ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปอึดใจหนึ่งจึงพูดต่อไปว่า
“หนังสือเล่มนี้ผมอ่านหลายจบ อ่านแล้วผมเลยเบื่อโลก เกลียดมนุษย์ เกลียดสังคม ผมต้องการมีโลกของผมเอง ไม่ยุ่งกับใคร แต่เมาเซตุงไม่คิดอย่างผม เขาอ่านแล้วเขาก็เลยตั้งตัวเป็นหัวหน้าแก๊งคอมมิวนิสต์”
“ทำไปถึงไปคนละทางล่ะ ?” วลาดิมีร์ยิ้มอย่างขบขัน
“ต่างคนต่างมองครับ” ชูฟ้าหัวเราะเบา ๆ ท่าทางสุภาพตามนิสัย
“คุณมองยังไงถึงได้เกลียดโลก เกลียดมนุษย์” ข้าพเจ้าถาม “ผมอ่านสวยหู่แล้ว ผมก็ไม่เห็นเกลียดอะไร แล้วก็–ผมก็ไม่เห็นอยากเป็นหัวหน้าแก๊งคอมมิวนิสต์”
“ก็เห็นจะมีผมกับเมาเซตุงเท่านั้น ที่อ่านสวยหู่แล้วก็เกิดความคิดแปลก ๆ” ชูฟ้าพูดช้า ๆ ท่าทางเคร่งขรึม “คุณคงอยากทราบว่าผมคิดอย่างไร มันเป็นเรื่องยาว”
“ผมเตรียมตัวฟังอยู่แล้ว”
“แต่ผมไม่ได้เตรียมตัวมาคุยเรื่องนี้วันน แล้วก็ผมไม่นึกว่าจะได้มาพบคุณที่นี่ สนานเขาเคยพูดถึงคุณ”
“ผมก็เคยได้ยินเรื่องของคุณจากสนาน”
“คุณคงจะอยู่ปักกิ่งอีกนาน ?” ชูฟ้ามองตาข้าพเจ้าอย่างมีความหมาย
“ถ้าญี่ปุ่นไม่ยึดจีนเหนือเสียก่อน” ข้าพเจ้าตอบ
ชูฟ้าขมวดคิ้ว มีสีหน้าเครียดทันที
“โลกมนุษย์–ถ้าผมทำลายได้–ผมจะทำลายเสียให้ราบ เราอย่าอยู่กันดีกว่า !”