บทที่ ๒๓

วารยา ราเนฟสกายา เดินตรงมายังข้าพเจ้าด้วยดวงหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เธอร้องทักว่า

“มานานแล้วหรือจ๊ะ ระพินทร์ ขอโทษ ฉันมัวจัดชั้นหนังสือให้พ่อ”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้วารยานั่ง คอสซาเรฟขอตัวเข้าไปข้างใน บอกว่าจะเตรียมอาหารเครื่องดื่มให้เรียบร้อย ในห้องเล็กข้างห้องโถงซึ่งเป็นห้องอาหารส่วนตัวของเขา

“มีอะไรกันวันนี้ ?” ข้าพเจ้าถามทั้ง ๆ ที่ได้รับทราบจากคอสซาเรฟแล้วว่า วลาดิมีร์เชิญข้าพเจ้ามาทำไม

“วันสำคัญของพ่อ” วารยาตอบเรียบ ๆ “ทุก ๆ ปีเรามีอะไรกันนิดหน่อยในวันนี้ ปีกลายเราเชิญ ดร. เจียง ฉันชอบหมอคนนี้จัง เป็นผู้หญิงที่กล้าหาญ ไม่เคยพบ”

“อ้อ เธอรู้จัก ดร. เจียง ?” ข้าพเจ้ามองตาวารยา

หญิงสาวชาวสลาฟพยักหน้า

“ดร. เจียงช่วยชีวิตฉันไว้”

“งั้นหรือ ?” ข้าพเจ้าแสดงความสนใจออกมาทั้งในน้ำเสียงและสีหน้า

“ฉันเกือบเอาตัวไม่รอด”

“เธอเป็นอะไร ?”

วารยานิ่งอึ้ง แต่แล้วก็ตอบว่า

“เคราะห์ร้ายนิดหน่อย ฉันพลาดลงมาจากบันไดที่เวสเทิร์นฮิล”

“เธอหมายถึงบันไดสูงที่ยู่ฉวนซาน ?”

“ใช่ เราไปเที่ยวยู่ฉวนซานกัน”

“น่ากลัวมากทีเดียว ฉันเคยไปยู่ฉวนซานมาแล้ว มันชันมาก”

“มันก็ไม่น่าจะตกลงมา ไม่น่าเลย”

“คงจะลื่น หิมะคงจะกำลังละลาย” ข้าพเจ้าออกความเห็นด้วยความอยากรู้

“มันซัมเมอร์ ไม่ใช่สปริง ฉันมันไม่ดีเอง”

“ไม่ดียังไง ?”

วารยานิ่งอึ้ง แต่แล้วก็พูดตัดบทว่า

“อย่าไปพูดถึงมันเลย ฉันไม่อยากคิดถึงมันอีก เพราะไม่อยากจะทำอย่างนั้นอีก”

“ทำอย่างนั้น ?” ข้าพเจ้าทวนคำอย่างไม่เข้าใจ

“เปล่า ฉันหมายความว่าไม่อยากจะตกบันได้อีก ไม่อยากจะกวน ดร. เจียง เขา”

พูดแล้ววารยาก็หัวเราะ ข้าพเจ้ายังคงสนใจกับคำว่า ‘ไม่อยากทำอย่างนั้นอีก’ ทำอะไร ? วารยาแกล้งตกบันไดเช่นนั้นหรือ ? เสียงหัวเราะของวารยามีกังวานผิดปกติ ไม่ใช่ร่าเริงแจ่มใส มันมีกังวานของความเจ็บช้ำ คล้าย ๆ กับจะสมน้ำหน้าตัวเอง

นิ่งกันไปประเดี๋ยวหนึ่ง วารยาก็พูดขึ้นก่อน คล้ายกับจะพยายามกลบเกลื่อนเรื่องตกบันไดสูงที่ยู่ฉวนซานหรือ Jade Fountains

“เธอรู้จัก ดร. เจียง ไม่ใช่หรือ ระพินทร์ ?”

“ดร. เจียง เป็นเพื่อนที่ฉันยกย่องที่สุด” ข้าพเจ้าตอบ

“ยกย่องยิ่งกว่าฉันใช่ไหม ?” วารยาหัวเราะอย่างร่าเริง

“คนละคน ไม่เหมือนกัน”

“เออ ลองพูดมาหน่อยซิ ว่าเธอมองฉันยังไง” วารยาจ้องตาข้าพเจ้า แววตาของเธอลุกวาวเป็นประกาย เหมือนแววตาเด็ก ๆ ที่กำลังรอฟังนิทานที่กำลังสนุก

ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าจะตอบอย่างไรดี จึงนิ่งอึ้งอยู่ วารยาก็รบเร้าต่อไป

“เธอยกย่องอะไร ดร. เจียง ?”

“ถามอย่างนี้ค่อยตอบง่ายหน่อย ฉันยกย่องความกล้าหาญ การเสียสละ แล้วก็–น้ำใจ”

“น้ำใจ–” แววตาของวารยาคลายความแจ่มใสลง

“ดร. เจียง เป็นคนมีน้ำใจ เป็นมิตรกับคนทุกคน คนยากคนจนแม้กระทั่งขอท่านก็เป็นเพื่อนกับ ดร. เจียง ได้ น้ำใจอย่างนี้ประเสริฐสุด ฉันไม่ค่อยจะได้พบ”

“เธอพูดถูกต้องที่สุด ระพินทร์ ดร. เจียงเป็นเพื่อนของคนทั้งโลก ฉันก็บูชา ดร. เจียงเรื่องน้ำใจ ดร. เจียงคงได้แสดงน้ำใจต่อเธอมากนะ ระพินทร์”

ข้าพเจ้ารู้สึกแปลบที่หัวใจเมื่อวารยาพูดประโยคสุดท้าย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจจะหาเหตุผล

“ฉันป่วยมาหลายปี เป็นโรคนอนไม่หลับ” ข้าพเจ้าชี้แจง “ดร. เจียง ไม่เคยลืมโรคของฉัน พบทีไรก็ต้องถาม ฉันรู้จัก ดร. เจียง เพียงไม่กี่เดือน ดร. เจียง น่าจะลืม เพราะวันหนึ่ง ๆ ก็พบคนไข้ร้อยโรคพันโรค”

“บางที ดร. เจียง จะสนใจ เพราะเธอเป็นคนไทยคนเดียวที่เคยพบก็ได้”

“ไม่จริง ที่ P.U.M.C. มีคนไทยมาเรียนแพทย์ ดูเหมือนชื่อ ติลกะ เป็นผู้หญิง ดร. เจียง ก็เคยรู้จัก ฉันไม่ใช่คนไทยคนแรก”

“แต่เธอก็คงจะถูกใจ ดร. เจียง มากกว่าใคร ๆ เพราะเธอเป็นคนเข้าใจคนอื่นได้มากที่สุด เธอให้ความเห็นใจคนทุกคนที่เธอพบ เธอเป็นคนใจดีที่สุดในกรุงปักกิ่ง”

“ในกรุงปักกิ่ง !” ข้าพเจ้าหัวเราะ “เธอรู้ได้ยังไง วารยา เรายังไม่เคยมีการประกวดคนใจดีกันเลย”

วารยาหัวเราะ ดวงตาเป็นประกาย

“แต่ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนใจดีที่หาได้ยาก”

“ยอฉันหรือเปล่า ?” ข้าพเจ้าสบตาเธอ

วารยาหลบตาลงต่ำ ถอนใจเบา ๆ

“ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันยอ เธอไม่ให้เกียรติฉันบ้างหรือจ๊ะ ระพินทร์”

“ฉันให้เกียรติเธออย่างสูงสุดอยู่ทุกวัน”

“ขอบใจ ฉันคิดว่าเธอคงคิดว่าฉันมีเกียรติที่จะต้องพูดความจริง ว่าเธอเป็นคนใจดีที่สุดที่ฉันเคยพบ”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวกำลังลอยขึ้นจากเก้าอี้ จึงกำท้าวแขนไว้แน่น วารยาเป็นอะไรไป วันนี้จึงทิ่มแทงจิตใจข้าพเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขณะนั้นวลาดิมีร์ลงบันไดเดินตรงเข้ามา ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืนเพื่อรับคำทักทายของเขา เขามีสีหน้าเบิกบานร่าเริง หวีผมเรียบผิดกว่าทุกครั้งที่พบ เคราสีขาวของเขาก็หวีเรียบเช่นเดียวกัน

“ฉันให้วารยาเขาลงมาก่อน” วลาดิมีร์เอ่ยขึ้นขณะนั่งลง “ยิ่งแก่ตัวก็ยิ่งงุ่มง่ามมากขึ้นทุกวัน เดี๋ยวนี้หัวเข่าหมดแรง ลงบันไดแต่ละขั้นแสนจะลำบาก ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคนแก่เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง”

“แต่วันนี้ผมว่าท่านสดใสกว่าทุกวันครับ” ข้าพเจ้าพูดยิ้ม ๆ

ชายชราเคราขาวหัวเราะเสียงดัง ท่าทางกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที

“งั้นหรือ ? ฉันอยากให้เธอพูดอย่างนี้บ่อย ๆ” เขาว่า “ว่าไง, ลูก, พ่อยังไม่แก่มากไม่ใช่หรือ ?”

“พ่อหนุ่มขึ้นทุกวันค่ะ โดยเฉพาะวันนี้” วารยายิ้มตอบ “ระพินทร์เขาชมพ่อเสมอค่ะ ว่าพ่อเหมือนอายุสักสี่สิบ”

“สี่สิบ” วลาดิมีร์หัวเราะ “แปลวาชีวิตเพิ่งจะตั้งต้น ก็เห็นจะจริงของเขา ชีวิตพ่อกำลังจะตั้งต้น” เสียงของเขาคลายจากความร่าเริง เป็นเครียดและเกือบจะกร้าว “พ่อกำลังจะเริ่มชีวิตใหม่วันนี้ พ่อกำลังตั้งต้นเดินทางไปบนถนนสายใหม่”

“ถนนสายใหม่หรือครับ ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ

“เธอคงจะแปลกใจ” ชายชราเคราสำลียกมือขึ้นลูบเคราสีขาวเป็นเงางามอย่างใช้ความคิด “วันนี้ฉันจะฉลองการเปิดถนนสายใหม่ เธอเป็นแขกคนเดียวที่ฉันเชิญ”

“ขอบคุณครับ ผมได้รับเกียรติมากเหลือเกิน” ข้าพเจ้ายิ้มกับเขา “แต่ผมยังติดใจเรื่องถนนสายใหม่ครับ มันถนนอะไรกันครับ”

วลาดิมีร์ครางในคอ แต่ไม่ปรากฏว่ามีคำพูดคำใดหลุดออกมา วารยาจึงเอ่ยขึ้นว่า

“พ่อกำลังมีความสุข ระพินทร์ วันนี้พ่อสบายใจเป็นพิเศษ ที่มีเธอมาร่วมด้วย”

“ฉันดีใจ” ข้าพเจ้ายิ้ม ตาจับอยู่ที่สีหน้าของวลาดิมีร์ ซึ่งลดความแจ่มใสลงอย่างที่ยากจะเข้าใจได้ “แต่ว่าถนนสายใหม่ของท่านยังติดใจอยู่ ฟังแล้วมันซาบซึ้งใจชอบกล”

“เธอเป็นคนมีความรู้สึกลึก ระพินทร์ ฉันชอบคนอย่างเธอ” วลาดิมีร์พูดช้า ๆ ยิ้มนิดหนึ่งที่มุมปาก “ถนนสายใหม่ของฉัน เธอไม่น่าจะเก็บเอามาสนใจ แต่ดูเหมือนเธอจะมีความคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับถนนสายนี้ก็ได้ เพราะเธอเป็นคนคิดลึก”

“คำพูดของท่านเต็มไปด้วยปรัชญาครับ” ข้าพเจ้าพูดเสียงเบา แต่ค่อนข้างจริงจัง “ผมเข้าใจว่าท่านผ่านชีวิตมามาก คำว่าถนนสายใหม่คงจะมีอะไรที่จะทำให้วารยาสบายใจ”

“เธอเข้าเป้าเผงเลย” วลาดิมีร์หัวเราะอยู่ในคอ “เมื่อฉันได้เดินไปในถนนสายใหม่ของฉันแล้ว วารยาจะมีความสุข”

ข้าพเจ้าสบตาหญิงสาวที่อยู่ในชุดสีโศก วารยามองตาข้าพเจ้าแล้วก็หันไปมองหน้าพ่อ เธอมีท่าทีซึ่งแสดงว่ายังไม่เข้าใจว่าวลาดิมีร์หมายความว่ากระไร

“ฉันก็มีความสุขอยู่แล้วนี่พ่อ” วารยาท้วงด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล

วลาดิมีร์เอื้อมมือมาจับแขนธิดาสาวแล้วบีบด้วยความรู้สึกที่แสดงออกมาทางแววตา ซึ่งข้าพเจ้าเดาได้ว่าเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย

“พ่อรู้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่พ่อไม่รู้” เขาพูดเสียงเบาแต่หนัก “ความสุขของลูก พ่อยังไม่แน่ใจนัก แล้วก็–ลูกไม่ปลอดภัย”

“ไม่ปลอดภัยอะไรคะ ?” วารยาขมวดคิ้วทวีความสนใจมากขึ้น

“โลกมีหมาป่ามากเหลือเกิน พอคิดว่าลูกไม่ควรจะอยู่กับหมาป่า”

“หมาป่า ?”

“แต่ละตัวมันคอยจะกินลูก”

“อะไรกันคะ พ่อ ?” สีหน้าวารยาเริ่มเคร่งเครียด

วลาดิมีร์ยิ้มน้อย ๆ โคลงศีรษะช้า ๆ คล้ายกับเบื่อหน่ายอะไรสักอย่างหนึ่ง ความยิ้มแย้มแจ่มใสที่เขาพาลงมาจากบันไดในตอนแรก ได้หายไปเกือบหมดสิ้น เหลืออยู่แต่ความวิตกกังวล ที่แผ่ซ่านอยู่ในสีหน้าและแววตา เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์พอใช้ อารมณ์ของเขาเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว แบบเดียวกับคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจวาสนา ซึ่งข้าพเจ้าเคยพบ “วลาดิมีร์จะต้องเป็นคนใหญ่” ข้าพเจ้าคิด “เขาจะต้องเคยมีอำนาจ อำนาจทำให้เขาเปลี่ยนอารมณ์ได้ง่าย ตามใจตัวเอง ต้องการอะไรต้องได้ ใครขัดใจไม่ได้” นี่คือลักษณะของคนมีอำนาจที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา แม้แต่ในเมืองไทย คนพวกนี้มักจะใจน้อย โกรธง่าย ไม่อดกลั้น เอาแต่ใจ เพราะเขาไม่จำเป็นต้องอดกลั้นในเมื่อเขามีอำนาจ

ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะได้มาพบเหตุการณ์อย่างนี้ ในวันที่จะมาร่วมกันดื่มฉลองวันแห่งอิสรภาพ ตามที่คอสซาเรฟได้บอกไว้ เรื่องมันหนักเกินไป และละเอียดเกินไปที่จะเอามาพูดกันในเวลาเช่นนี้ และต่อหน้าแขกต่างชาติอย่างข้าพเจ้า

นิ่งอึ้งไปสักครู่คล้ายกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แล้ววลาดิมีร์ก็พูดว่า

“ระพินทร์ ขอโทษนะ ที่เธอต้องมานั่งรับอารมณ์ของฉัน ฉันไม่ควรจะพูดอะไรในวันนี้ เราควรจะดื่มกันให้สนุก แล้วมันก็เป็นวันสำคัญ เพราะมันเป็นวันอิสรภาพที่ฉันฉลองทุกปี นอกจากนี้–มันยังเป็นวันที่ฉันจะตั้งต้นเดินไปในถนนสายใหม่ที่ฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเดิน แต่ว่า–ฉันก็ต้องพูดถึงเรื่องหมาป่าออกมา เพราะมันติดแน่นอยู่ในใจตลอดเวลา เธอคงแปลกใจ แต่เธอก็คงจะรู้ได้เองว่าวารยาไม่ปลอดภัย”

“พ่ออย่าพูดเลยค่ะ วันนี้เราฉลองอิสรภาพ” วารยาขัดขึ้นค่อนข้างร้อนรน

“พ่อไม่ควรพูด พ่อเข้าใจ” วลาดิมีร์ยิ้มอย่างอ่อนโยนคล้ายกับได้สติ “แต่มันไม่ใช่เรื่องฉลองอิสรภาพเรื่องเดียว มันเป็นวันที่พ่อตัดสินใจจะไปในทางของพ่อ”

“ทางอะไรคะ ?” วารยายังคงมีเสียงเครียดอยู่ตามเดิม

“ทางสงบที่พอจะมีความสุข แล้วลูกก็จะมีอิสรภาพที่แท้จริง” ชายชราเคราสำลีบีบแขนธิดาแน่น “เราได้ฉลองอิสรภาพกันมาทุก ๆ ปี แต่มันเป็นอิสรภาพทางการเมือง คือเราพ้นจากการเป็นทาสของพวกคอมมิวนิสต์ มันไม่ใช่อิสรภาพทางใจ พ่อต้องการให้ลูกมีอิสรภาพทางใจ”

“ลูกก็มีนี่คะ”

“ลูกไม่มี”

“ลูกไม่เข้าใจค่ะ พ่อคิดมากไปเอง”

“ไม่ได้คิดมาก พ่ออยู่กับความจริง ทุกวันนี้ลูกไม่มีอิสรภาพทางใจเลย พ่อทนไม่ได้ที่เห็นลูกเป็นอย่างนี้ พ่อตายเสียดีกว่าที่จะยอมให้ลูกเสียเกียรติ”

“พ่อ” วารยาครางแล้วก็นิ่งอั้น

“ระพินทร์ เธอเป็นเพื่อนที่ดีของเรา เธออย่าประหลาดใจ” วลาดิมีร์หันมาทางข้าพเจ้า

“ผมไม่มีอะไรครับ ผมจะพยายามเข้าใจ” ข้าพเจ้าตอบอย่างสุภาพ

“แล้วเธอจะเข้าใจ ชายชราเคราขาวหัวเราะ “ฉันได้คุยกับเธอหลายครั้ง ฉันคิดว่าเธอจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีของวารยา”

“ผมพร้อมที่จะเป็นครับ”

“ฉันรู้ว่าเธอพร้อม” เขาหัวเราะอีก “วารยาก็ควรจะรู้ นี่, ระพินทร์ เรามาพูดถึงข้างหน้ากันหน่อย เธอรู้ดีว่าฉันแก่มากแล้ว”

ข้าพเจ้าสบตาเขาแทนคำตอบ วลาดิมีร์มีแววตาแสดงความพอใจ จึงพูดต่อไป

“ทุกคนต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า วันหนึ่งฉันก็จะต้องตาย แต่เธอกับวารยายังจะต้องอยู่”

ทั้งวารยาและข้าพเจ้านิ่งเงียบ ตกใจนิด ๆ ที่ได้ยินวลาดิมีร์พูดถึงความตาย น้ำเสียงของเขาเน้นหนักพิกล

“ถ้าฉันตาย–” เขาพูดต่อไปอีก “เธอต้องช่วยให้วารยามีอิสรภาพทางใจ เธอจะทำได้ไหม ?”

ข้าพเจ้างงมาก หาคำตอบไม่ได้ วลาดิมีร์จึงเป็นฝ่ายพูดอีก

“เธอคงไม่เข้าใจ แต่เธอก็ควรจะเข้าใจ ฉันอยากให้วารยาเป็นคนที่มีใจเป็นอิสระไม่ผูกพันกับอะไร คนเราถ้าจิตใจเป็นอิสระแล้ว ก็ไม่เป็นทาสของความทุกข์ เรามีทุกข์ทุกวันนี้ ก็เพราะเราตัดสาเหตุของทุกข์ไม่ขาด เธอรู้ไหมว่าอะไรเป็นสาเหตุของทุกข์ ?”

“ลึกซึ้งไปหน่อยครับสำหรับผม” ข้าพเจ้าพยายามทำเสียงให้ร่าเริงชวนขบขัน เพื่อลดบรรยากาศที่เคร่งเครียดมากขึ้นทุกที

วลาดิมีร์หัวเราะเบา ๆ

“สาเหตุของทุกข์ก็คือการยอมแพ้สิ่งแวดล้อม ปล่อยให้มันเข้ามาทำลายความสงบของจิต จิตของเราต้องการความสงบ นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่คนเราฝืนธรรมชาติ ปล่อยให้ชีวิตมันหลอกตัวเอง ความสงบก็ไม่มี ความทุกข์เกิด ตัดชีวิตมันออกไปเสีย...ตัดความผูกพัน....ตัดความเพ้อฝัน....ตัดความต้องการ...แล้วจิตก็สงบ ฉันทำผิดมาแล้วหลายสิบปี ฉันเคยคิดว่าอำนาจกับเงินเป็นความสุข นั่นผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ อำนาจกับเงินเป็นความทุกข์แน่นอน ฉันมาสำนึกได้แล้วเมื่อฉันอ่านหนังสือ สูตรเว่ยหล่างภาษาอังกฤษที่เธอให้ฉันวันนั้น หนังสือเล่มนี้สอนว่าจิตต้องเป็นอิสระ”

“ครับ ผมก็คิดว่าจิตต้องเป็นอิสระ” ข้าพเจ้ายืนยัน วารยานั่งกระสับกระส่าย เพราะดูจะไม่เข้าใจว่าเรากำลังพูดอะไรกัน ข้าพเจ้าเห็นใจวารยา เพราะอารมณ์ของวลาดิมีร์ดูจะเพ้อฝันมากไป จนเกือบจะเข้าใจไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่า ชายชราผู้นี้ต้องการอะไร และอะไรคืออันตรายของวารยา ราเนฟสกายา

คอสซาเรฟเดินยิ้มออกมาจากห้องชั้นใน มีเด็กหญิงสวมฉีผาวสีเขียว เดินตามติดมาสองคน คนหนึ่งถือถาดเบียร์ห้าดาวกับว้อดก้า อีกคนหนึ่งถือถาดโอเดิฟแบบรัสเซียแท้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ