- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๓๕
๑
เมื่อตอนข้าพเจ้าไปถึงปักกิ่งในฤดูใบไม้ร่วง พ.ศ. ๒๔๗๓ เป็นเวลาที่สงครามคอมมิวนิสต์กำลังเริ่มต้น คำว่าสงครามคอมมิวนิสต์ ข้าพเจ้าหมายถึงการต่อสู้ระหว่างกองทัพจีนโซเวียต อันมีเมาเซตุงเป็นผู้นำ กับกองทัพจีนชาติอันมีจอมพลเจียงไคเช็คเป็นประมุข ขณะนั้นจีนโซเวียตกำลังปักหลัก เปิดจักรวรรดิคอมมิวนิสต์ซ้อนประเทศจีนเสรีขึ้นในภาคใต้ของลุ่มน้ำแยงซีเกียง โดยมีมณฑลหูหนาน บ้านเกิดของเมาเซตุงเป็นศูนย์ดำเนินการ จอมพลเจียงได้ยกพลเข้าโจมตีอาณาจักรฆ้อนกับเคียวของประธานเมา แต่ก็ต้องแพ้บ้างชนะบ้างไม่สามารถจะขุดรากธงตราฆ้อนกับเคียวออกไปจากภาคใต้ของลุ่มน้ำแยงซีเกียงได้ เมาเซตุงได้รับโอกาสแบบ “สวรรค์บันดาล” หลายอย่าง เช่น เกิดการแตกแยกระหว่างพวกขุนพลเลือดสีน้ำเงินบนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งต่างก็พยายามแย่งชิงอำนาจและตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่บนศีรษะของราษฎร เพื่อทำน้ำเหงื่อของราษฎรให้กลายเป็นทองคำโดยไม่คำนึงถึงความวอดวายของชาติ ที่อ้าปากตะโกนกันออกไปว่าจะขอตายเพื่อชาติจะได้อยู่ และจะขอรับผิดชอบคนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยว นอกจากการแตกแยกรบราฆ่าฟันกันเองเพื่อแสวงอำนาจแล้ว ชาติจักรวรรดินิยม เช่นซามูไรญี่ปุ่นยังก่อกวนหาทางบุกรุกเข้ามาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่สมัยสัญญาสงบศึกที่ปารีส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ ซึ่งไม่ใช่สัญญาสงบศึก แต่เป็นสัญญาพักรบ เพื่อจะทำศึกต่อไป เป็น Peace Treaty ที่บัดซบที่สุดฉบับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติมนุษย์ ที่มีฝรั่งเศสเป็นตัวชูโรง สัญญาปารีสได้ทั้งช่องโหว่ไว้ให้ญี่ปุ่นรุกจีนต่อไป จนเกิดคดี “แมนจูเรีย” เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๔ และเกิดชนวนสงครามแปซิฟิค เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ ขุนพลจีนผู้ทรยศต่อชาติ กับซามูไรญี่ปุ่นผู้คลั่งชาติเพราะหลงชาติอย่างหน้ามืดตามัว ได้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุด ที่เป็นโอกาสให้เมาเซตุงยึดครองประเทศจีนได้ทั้งประเทศ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒
จอมพลเจียงไคเช็คเป็นเสาหินเสาเดียวในทวีปตะวันออกที่เข้าปะทะเมาเซตุงไว้เป็นคนแรกเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน และได้ยืนหยัดประจันหน้ากับประธานเมามาจนกระทั่งทุกวันนี้ จอมพลเจียงเป็นผู้เจนจัดในเรื่องจิตวิทยาของพวกคอมมิวนิสต์ดี ไม่ว่าจะเป็นค่ายสตาลินหรือค่ายเมาเซตุง เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้รู้แพ้รู้ชนะ รู้ว่าเมื่อไรจะรุก เมื่อไรจะถอย เวลานี้จอมพลเจียงตั้งป้อมอยู่ในไต้หวันอายุร่วมร้อย แต่ก็ยังไม่ยอมถือไม้เท้า เป็นนักการเมืองที่ชราที่สุดในโลก แต่ก็ยังแข็งแกร่งที่สุดทั้งทางจิตใจและร่างกาย จอมพลเจียงเป็นผู้แอนตี้ลัทธิคอมมิวนิสต์มาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ดร. ซุนยัดเซ็นถูกเซ้าซี้จากพวกเอเย่นต์คอมมิวนิสต์ ที่สตาลินส่งเข้ามาต้มยำ หมายจะเอาเมืองจีนเป็นบริวาร เพราะมีแรงงานมากมาย ดร. ซุนไม่ยอมถูกต้มง่าย ๆ จึงส่งจอมพลเจียงไปโซเวียตรัสเซีย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ เพื่อไปดูว่ารัสเซียคือประเทศอะไรกันแน่ เจียงดูรัสเซียอยู่ ๓ เดือนก็กลับมารายงานว่า รัสเซียไม่ใช่มิตรแต่เป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด คบไม่ได้แน่ ๆ ดร. ซุนเป็นคนมีอายุ ได้ฟังแล้วก็นิ่งอยู่ นึกหาวิธีว่าจะทำอย่างไรกับพวกเอเย่นต์คอมมิวนิสต์ของสตาลินซึ่งทะลักเข้ามาเต็มประเทศ และกำลังทำใต้ดินคิดยึดอำนาจในพรรคก๊กมินตั๋งและในสภา ระหว่างที่ยังคิดอยู่ไม่ทันได้ตัดสินใจเด็ดขาด ดร. ซุนยัดเซ็นก็ถึงแก่กรรมด้วยมะเร็งโรคร้ายที่ PU.M.C. ในปักกิ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ จอมพลเจียงไคเช็คต้องตัดสินใจตัดไมตรีกับพรรคคอมมิวนิสต์อย่างขาดสะบั้นหั่นแหลกในทันที บ้านเมืองวุ่นวายกันใหญ่ หน้ากากของมิตรถูกกระชากออกจากหน้าของศัตรูคอมมิวนิสต์ทุกคน พวกคอมมิวนิสต์ถูกจับเป็นระนาว เอาตัวไปจำคุกก็มี ยิงเป้าก็มี พวกคอมมิวนิสต์ก็แสดงปฏิกิริยารุนแรง ทำการเผาเมืองแคนตอนเสียใน พ.ศ. ๒๔๗๐ ตั้งแต่นั้นจนบัดนี้ คอมมิวนิสต์ซึ่งมีเมาเซตุงเป็นผู้นำที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับจอมพลเจียงไคเช็คอย่างเปิดเผย ทำศึกขับเคี่ยวกันมา จนกระทั่งจอมพลเจียงพลาดท่าเสียทีถูกต้อนตกทะเลไปปักหลักอยู่บนเกาะไต้หวัน ซึ่งกำลังเป็นเกาะที่เจริญที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
๒
ควรจะเล่าไว้สักเล็กน้อยว่า เมื่อข้าพเจ้าไปถึงปักกิ่ง ยังไม่ทันจะรู้จักกับเจียงเหมย เจียงเฟดีนั้น คณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ที่เซี่ยงไฮ้ หรือที่เรียกกันตามเมืองแม่คอมมิวนิสต์รัสเซียว่า Politiburo ได้มีมติให้เปิดการโจมตีเมืองใหญ่ ตลอดลำน้ำแยงซีเกียง เพื่อยึดอำนาจการปกครองขยายขึ้นไปทางภาคเหนือ เมืองเหล่านี้ก็มีฮ่านโป่ว (หันเค้า), ฉางซา, หวู่ฮั่น, เจี่ยวเจียง, ฯลฯ ในการประชุมที่เซี่ยงไฮ้เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๗๒ นั้น ที่ประชุมได้แบ่งออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งนำโดยหลีลี่ซาน คอมมิวนิสต์อาวุโส อีกพวกหนึ่งนำโดยเมาเซตุงคอมมิวนิสต์หนุ่ม หลีลี่ซานมีความเห็นว่าต้องยึดเมืองใหญ่ เพราะเมืองใหญ่เป็นที่รวมของมันสมองของชนชั้นปกครอง จึงจำเป็นจะต้องทำลายมันสมองเสียก่อน หลีลี่ซานมีความเห็นว่า การต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพในตัวเมืองสำคัญกว่าการต่อสู้ของชาวนาผู้โง่เขลา ถ้าชนกรรมาชีพในตัวเมืองไม่นำแถวปฏิวัติขึ้นมา, ไม่ลุกฮือขึ้นมา, การปฏิวัติของคอมมิวนิสต์ก็จะสำเร็จไม่ได้ หลีลี่ซานเหยียดหยามความคิดของเมาเซตุงมาก ว่าเป็นความคิดที่ไร้สาระ เพราะเมาเซตุงต้องการตั้งต้นการปฏิวัติจากชาวบ้าน โดยใช้ชาวบ้านล้อมหมู่บ้าน, ใช้หมู่บ้านล้อมตำบล, ใช้ตำบลล้อมตัวเมือง เมื่อเมืองถูกล้อมแล้วก็เข้ายึดได้ง่าย และเมื่อเมืองถูกยึดหมดประเทศก็ต้องอยู่ในเงื้อมมือไปเอง ได้มีการโต้เถียงกันในที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ที่เซี่ยงไฮ้ในปีนั้นอย่างรุนแรงมาก ระหว่างคนแก่กับคนหนุ่ม แต่แล้วคนแก่ก็ได้ชัยชนะไปโดยคะแนน และก็เกิดมี “แนวหลีลี่ซาน” เกิดขึ้น เปิดการโจมตีเมืองริมน้ำตลอดลำน้ำแยงซีเกียงทันที
อย่างไรก็ดี “แนวหลีลี่ซาน” ได้พิสูจน์ให้จีนคอมมิวนิสต์แลเห็นได้ชัดว่าใครถูกใครผิด กองทัพหลายสายที่ส่งเข้าบดขยี้เมืองต่าง ๆ ตลอดลุ่มน้ำแยงซีเกียง ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ได้ถูกตีโต้แตกยับไปหมดสิ้น คอมมิวนิสต์แพ้อย่างไม่มีทางสู้ จอมพลเจียงไคเช็คสามารถป้องกันเมืองสำคัญตามริมน้ำได้อย่างเข้มแข็ง หลีลี่ซานคอมมิวนิสต์อาวุโสสิ้นชื่อไปทันที ! นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเมาเซตุงก็เริ่มครองค่ายคอมมิวนิสต์หนุ่มมั่นคงยิ่งขึ้นทุกวัน ศรัทธาในตัวเขาทวีขึ้นไม่รู้จักหมดสิ้น โจวเอินไหลซึ่งสนับสนุน “แนวหลีลี่ซาน” ในที่ประชุมพรรคก็หันมาร่วมมือกับเมาเซตุงตามวิถีทางของการเมือง แต่เมื่อปากกับใจหาใช่อวัยวะสิ่งเดียวกันไม่, โจกับเมาก็กำลังจะแตกแยกกันอีกในปีนี้ (๒๕๑๓)
ศึก “หลีลี่ซาน” คอมมิวนิสต์อาวุโสสมัย พ.ศ. ๒๔๗๓ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ ๆ ทั้งทางฝ่ายเมาเซตุงและฝ่ายเจียงไคเช็คในปีนั้นเอง และปีต่อ ๆ มาระหว่างที่ข้าพเจ้าอยู่ในปักกิ่ง เมาเซตุงได้รับความนับถือบูชาจากพลพรรคคอมมิวนิสต์อย่างอุ่นหนาฝาคั่งมากขึ้น เมาเซตุงเองได้ทวีความเชื่อมั่นในความคิดของตนยิ่งขึ้นกว่าเดิม คือความคิดที่ว่า การปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องไปจากชาวนา จะเริ่มจากในเมืองไม่ได้ วิธีการปฏิวัติจะต้องเข้าครอบครองหมู่บ้านเสียก่อนเพื่อล้อมเมือง เมื่อล้อมเมืองสำเร็จจึงจะเข้ายึด การตีวงล้อมเป็นชั้น ๆ เริ่มตั้งแต่บ้านชาวไร่ชาวนา เป็นวิธีการอันเดียวที่จะช่วยให้เกิดความสำเร็จได้ และเพื่อให้มีการแก้ไขไม่ให้มี “หลีลี่ซาน” คนที่สองมาสร้างประวัติศาสตร์แห่งความพ่ายแพ้ซ้ำรอยขึ้นอีก เมาเซตุงก็จัดให้มีการประชุมบอลเชวิคชั้นนำ ๒๘ คน เพื่อแก้ไขสถานการณ์ ใน ๒๘ คนนี้มี ปาเวล มีฟ อาจารย์ใหญ่คอมมิวนิสต์ ซึ่งเดินทางมาจากมอสโคว์เข้าประชุมร่วมด้วย
และทางด้านจอมพลเจียงไคเช็ค ก็มีการตื่นตัวอย่างใหญ่โตในเรื่องการปราบคอมมิวนิสต์โดยกำลังทหาร ซึ่งได้มีการกรีธาพเข้าล้อมตีเมาเซตุงอีกถึง ๕ ครั้ง ติด ๆ กัน ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่ในปักกิ่งจนกระทั่งเมาเซตุงยอมถอนเสาธง เดินนำทัพลุยหิมะไปรอความตายอยู่ในถ้ำชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือนับเป็นปี ๆ ซึ่งถ้าไม่เกิดสงครามญี่ปุ่น ก็ไม่มีทางจะกลับมามีอำนาจได้เลย นอกจากจะตื่นตัวในการปราบปรามทางทหารแล้ว, จอมพลเจียงได้เกิดสำนึกขึ้นได้ว่า ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศ มีนักศึกษาพวกเมาเซตุงอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เพราะระหว่างศึก “แนวหลีลี่ซาน” ใน พ.ศ. ๒๔๗๓ นักศึกษาฝ่ายซ้ายเหล่านี้ได้แสดงตัวออกมาสู้รบตบมือกับรัฐบาลอย่างออกหน้า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา, จอมพลเจียงไคเช็คก็เข้มงวดกวดขันกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษามากขึ้นทุกที ทุกก้าวที่นักศึกษาเดินออกไป จะต้องสงสัยไว้ก่อนว่า เป็นก้าวแห่งความไม่สงบ เป็นก้าวแห่งการแทรกแซงของคอมมิวนิสต์ และข้าพเจ้าก็เห็นอยู่ตำตาว่า มีคอมมิวนิสต์แทรกแซงอยู่จริง ข้าพเจ้าได้พบหลูกวง–ได้พบสนานลูกชายมหาเศรษฐีถนนเยาวราช ได้พบเจียงเฟซึ่งรู้ดีว่าทุกครั้งที่มีการประชุมนักศึกษา ต้องมีคอมมิวนิสต์มานั่งอยู่ด้วย
เราจะทำอย่างไรกับนักศึกษาพวกนี้ ? เขามีสิทธิมีเสรีภาพที่จะคิด เขามีเหตุผลที่จะอ้าแขนออกรับลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งกำลังจะกลายเป็นศาสนาของชาวจีนยุคใหม่ มากมายหลายคนผู้ไร้ศาสนาของตัวเอง ชาวจีนในวัยฉกรรจ์และในวัยที่กำลังเติบโต ส่วนใหญ่เช่นเดียวกับคนไทยจำนวนไม่น้อย กำลังผจญกับความมืดที่ตัวเองคิดว่าเป็นความสว่าง ความมืดนี้ก็คือความบอดของจิตที่โลดแล่นไปในทะเลของชีวิตเสมือนเรือที่ขาดหางเสือ วัตถุธรรมยิ่งท่วมโลกมากเท่าใด จิตก็ยิ่งมืดบอดมากเท่านั้น, คงแต่เดินคลำตามรอยวัตถุไป โดยไม่รู้ว่าทางแห่งวัตถุธรรมนั้น, ปลายสุดของมันก็คือเหวนรกของไฟบรรลัยกัลป์ ที่มนุษย์วิทยาศาสตร์จะจุดเผาโลกให้ไหม้ เป็นโลกที่ไม่มีชีวิต วัตถุธรรมที่ขาดจิตธรรม คือทางแห่งความพินาศฉิบหาย, หาใช่ทางแห่งความร่มเย็นเป็นสุขไม่ หลายคนคงคิดว่าข้าพเจ้าพูดบ้า ๆ ไม่มีสาระ คอยดูไปก็แล้วกัน ถ้าท่านไม่เชื่อ
ข้าพเจ้าเคยพูดกับเจียงเฟ เรามีความเห็นใกล้เคียงกัน เราเห็นว่าโลกจะพินาศถ้าโลกเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะเหตุใด ? เหตุสำคัญเหตุหนึ่งของหลายเหตุก็คือ คอมมิวนิสต์บูชาวัตถุธรรมอย่างเดียว ทางจิตใจ, ศีลธรรมจรรยา, ความกตัญญูรู้คุณ แม้พ่อแม่บังเกิดเกล้า เขาไม่ถือว่าสำคัญ ความสำเร็จอย่างเดียวที่เขาต้องการ ก็คือความสำเร็จของวัตถุ วัตถุต้องมาก่อน ราษฎรจะอดโซผอมซีดจนตัวเหลืองก็ไม่เป็นไร, ขอแต่ให้มีระเบิดปรมาณูไว้เป็นเครื่องมือสำหรับแผ่อำนาจเป็นใช้ได้ เขาปฏิวัติเพื่ออำนาจของตัวเอง หรือเพื่อความสมบูรณ์พูนสุขของประชาชน ? เขากับเราพูดกันไม่รู้เรื่องเลย เพราะพูดกันคนละภาษา หลูกวงตาขวางเมื่อเขาตอบไม่ได้ เขาได้แต่พูดว่าความสุขมาจากความสำเร็จ เขาต้องทุ่มชีวิตลงไปเพื่อความสำเร็จ เขาจะเสียดายชีวิตไม่ได้ เพราะเขายังทำงานไม่สำเร็จ เขาหมายความว่าราษฎรมีหน้าที่ต้องเอากระดูกถมแผ่นดิน สำเร็จเมื่อไหร่ไม่รู้ ถมลงไปก็แล้วกัน เกิดเป็น สัตว์สังคมมันก็ต้องเสียสละให้สังคมอย่างสิ้นเนื้อประดาตัว นี่คืออุดมคติของเรา ฟังเพลินแต่เอามาคิดแล้วก็สลดใจ อนิจจาเอ๋ย เจ้ามนุษย์ผู้เจริญ, เจ้าหมดปัญญาแล้วหรือ ? เจ้าไม่มีทางออกทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้วหรือ ? เจ้ามีแต่วิธีทำลายเท่านั้นหรือ ? วิธีสร้างสรรค์โดยสันติไม่มีเลยหรือ ? เจ้าเรียกตัวเองว่าอะไร Civilized man หรือ Barbarian ?
๓
ข้าพเจ้าได้พบเจียงเหมย อีกสองวันต่อมาหลังจากที่ได้สนทนากับวารยา เจียงเหมยสร้างบรรยากาศใหม่ ๆ ที่ผิดแผกแตกต่างกับวารยามาก เธอเริ่มด้วยเรื่องของหลูกวงกับสนาน ท่าทางของเธอจริงจังและเคร่งเครียด, ไม่อ่อนช้อยนุ่มนิ่มเหมือนราชินีแห่งเปโตรกราด
เราพบกันที่เสี่ยวถิงข้างบึงใหญ่ในเยียนจิง ถัดเจ่เม่โหลวไปทางทิศเหนือ ที่นั่นต้นหลิวสยายกิ่งกระจายอยู่เหนือผิวน้ำโดยรอบ มันกวัดไกวไปมาเมื่อถูกลมพัด
ตอนหนึ่งเจียงเหมยพูดว่า
“ฉันพูดไม่ออก, ระพินทร์ เรากำลังพบวันสุดท้าย แต่ฉันทนได้”
ข้าพเจ้าตบแขนเธอเบา ๆ ด้วยความรู้สึกของพี่ชาย
“ฉันรู้ว่าเธอทนได้ เธอเป็นผู้หญิงที่ทุนชีวิตได้ดีกว่าผู้หญิงธรรมดา ตามปกติผู้หญิงก็ทนชีวิตได้ดีกว่าผู้ชายอยู่แล้ว แต่สำหรับเธอฉันถือว่า เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งกว่าผู้หญิงทุกคน เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เธอต้องทนได้–เขาไปได้กี่วันแล้ว”
“สามวัน”
“ใครรู้บ้าง ?”
“ไม่มีใครรู้ เขาลาโรงเรียน บอกว่ากลับไปเยี่ยมบ้าน”
“ไปวันเดียวกับหลูกวงหรือเปล่า ?”
“คนละวัน เขานัดพบกันที่ หวู่ ฮั่น”
“เขาบอกเธอละเอียดถึงเพียงนี้เทียวหรือ ?”
เจียงเหมยพยักหน้า
“สนานบอกว่า เขาต้องทำตามมติของพรรค แต่เขามีฉันคนเดียวที่ไว้ใจ เขาเชื่อว่า ฉันไม่ฆ่าเขา เธอก็อย่าพูดไปนะ, ระพินทร์”
“รับรอง ฉันให้สัญญา เขาพูดกะเธอว่ากระไรบ้าง ?”
“ก็อย่างที่ฉันบอกเธอน่ะแหละ–เมาเซตุงเรียกประชุมหัวหน้านักศึกษาฝ่ายซ้ายทั่วประเทศ ที่หูหนาน”
“จิ่งหวากัง”
“นั่นแหละ”
“จะประชุมสักกี่วัน ?”
“ไม่น้อยกว่า ๑ สัปดาห์”
“แปลว่าจะต้องมีอะไรวุ่นวายกันใหญ่ในเดือนหน้า”
“ก็ไม่รู้ซี แต่เหตุการณ์ทางแมนจูเรียกำลังรัดตัวเข้ามา ฉันว่าคงเป็นเพราะเรื่องทางแมนจูเรีย เมาเซตุงจึงเรียกประชุมนักศึกษา คงจะมีการเดินขบวน”
ข้าพเจ้าพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก ทางของเจียงเหมยแคบลงทุกทีแล้ว ทางแห่งความรักที่ไม่มีเสรีภาพจะรัก–สนานรับเจียงเหมย แต่พวกคอมมิวนิสต์ เขารักได้แต่ลัทธิ–ความรักพ่อ รักแม่ รักเมีย รักผู้หญิง ไม่มีความหมาย มันเป็นชีวิตใหม่ที่มนุษย์ถูกล้างสมองเพื่อไม่ให้มีหัวใจ แต่ถึงจะมีก็เป็นหัวใจที่ทำด้วยหิน, ไม่ใช่ทำด้วยเนื้อ–เรากำลังเดินทางเป็นวงกลม ตามกฎของวัฏฏะธรรม เรากำลังเดินกลับไปหาสมัยหินอีกครั้งหนึ่ง–สมัยแห่งความเหี้ยมเกรียม, มีแต่ความทารุณโหดร้าย เหมือนสัตว์ป่า!