- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๔
๑
ภาพที่ส่งความประทับใจให้แก่ข้าพเจ้าอย่างไม่คาดฝันภาพนั้นก็คือภาพของหญิงสาววัยรุ่นในชุดฉีผาว ปล่อยผมยาวให้ปลิวไปตามลม ผมและหน้าไม่มีการตกแต่งอะไร แต่ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตกแต่ง ความงามที่อธิบายออกเป็นตัวอักษรไม่ได้ ก็ปรากฏอยู่ในหน้านั้นอย่างครบบริบูรณ์ ที่ว่าครบบริบูรณ์ก็เพราะทุกส่วนและทุกสิ่งในดวงหน้าของเธอได้มีอำนาจเหนือจิตใจของข้าพเจ้า เบืนอำนาจประหลาดที่ข้าพเจ้าไม่เคยพานพบในชีวิตแห่งความเป็นหนุ่ม
บัวคงจะเกิดความรู้สึกว่า ข้าพเจ้ากำลังถูกสะกดจิตจนถึงกับนิ่งเงียบไป จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ผมถ่ายภาพนี้มา ก็คงเป็นเพราะใจเดียวกับคุณ”
ข้าพเจ้าสะดุ้ง พยายามยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกใหม่ ๆ ที่เกิดจากดวงหน้าและแววตาของหญิงสาววัยรุ่นในภาพถ่ายที่เขาเจาะจงยื่นมาให้ข้าพเจ้าดู
“ใจเดียวยังไง ?” ข้าพเจ้าถามพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ
“อ้าว–” บัวหัวเราะ “คุณก็ตอบตัวเองได้ไม่ใช่หรือ ? คุณว่ายังไงล่ะผู้หญิงคนนี้ ?”
ข้าพเจ้าส่งรูปถ่ายนั้นคืนให้เขา มองลอดกระจกหน้าต่างออกไปข้างนอก เห็นยอดสนกำลังกวัดไกวอยู่ในสายลมฤดูออตัมน์
“คุณมาอยู่ปักกิ่งเจ็ดวัน คุณมีเพื่อนผู้หญิงเป็นนางฟ้าอย่างนี้ทีเดียวหรือ บัว ?” ข้าพเจ้าหันมาสบตาเขาเพื่อจะค้นหาความจริง
“ผมเคยได้ชื่อว่าเป็นนักค้นคว้ามาตั้งแต่อยู่กระทรวงธรรมการ” บัวพูดพลางหัวเราะอยู่ในคอตามนิสัยของเขา “เจ็ดวันผมท่องเที่ยวไปเกือบทั่วแล้ว บังเอิญเขาหยุด ฮอลิเดย์ ชิวเทียน ๑๕ วัน ผมค้นคว้าตั้งแต่เป็ดปักกิ่งจนถึงดาวของเยียนจิง–ชิงหวา”
“เจอเข้ากี่ดวงล่ะ ?” ข้าพเจ้าหงายหลังพิงเก้าอี้ในท่าสบาย
“ก็มีอยู่หลายดวง” บัวตอบอย่างรวดเร็ว “แต่ดวงนี้...” เขาชูภาพถ่ายภาพนั้น “กำลังได้คะแนนนิยมสูงมาก คงจะได้เป็นมิสเยียนจิงอย่างไม่มีปัญหา”
“มิสเยียนจิง” ข้าพเจ้าทวนคำด้วยความสนใจ
“ที่มหาวทยาลัยเยียนจิงเขามีประเพณีเลือกดาวที่เด่นที่สุดขึ้นเป็นมิสเยียนจิง” บัวอธิบาย “มิสเยียนจิงมีเกียรติสูงมาก แล้วก็เด่นเป็นดาวพระศุกร์ทีเดียว หอมยิ่งกว่าทุเรียน–มีคนตอมเต็มไปหมด”
“พวกแมลงวัน”
“แต่ไม่โสโครกอย่างแมลงวันหรอก เขาตอบอย่างให้เกียรติ”
“คุณก็คงมีแผนการที่จะตอมเพื่อจะให้เกียรติ ?”
“ยังไม่ได้วางแผน แต่ผมมักไม่มีแผน ผมชอบกลอนสด”
“เดี๋ยวก่อน–ผู้หญิงคนนี้ผมยังไม่รู้ชื่อแซ่ ไม่ใช่ความลับไม่ใช่หรือ ?”
บัวเอามือลูบคางที่โกนไว้อย่างเกลี้ยงเกลา แล้วถามว่า
“คุณคงอยากไปตอมบ้างใช่ไหม ?”
“ผมยังไม่เคยตอมใครเลย” ข้าพเจ้ายืนยัน “ผมอยู่เทพศิรินทร์ตั้งแต่ปถมหนึ่งถึงมัธยมแปด สายปัญญาก็อยู่แค่จมูก ก็ไม่เคยไปตอม แล้วก็–พวกเราก็ชอบแต่เป็นนักเรียน–ไม่ชอบเป็นนักตอม”
“ถ้าเช่นนั้นคุณก็คงไม่สนใจกับเยียนจิง มหาวิทยาลัยของคนสวย ?”
“ผมอยากไปเที่ยว–” ข้าพเจ้าตอบแล้วนิ่งคิดนิดหนึ่ง “แต่ว่าคุณยังไม่ได้บอกผมเลยนะ ว่าดาวเยียนจิงดวงนี้มีชื่อแซ่ว่าอย่างไร”
บัวหัวเราะ
“จะเค้นเอาให้ได้ ผมไม่หวงหรอกเรื่องชื่อแซ่ คุณคงเคยเห็นดอกเหมย ?”
“เคยเห็นในรูปถ่าย”
“นั่นแหละชื่อของดาวดวงนี้ เธอแซ่เจียง”
“เจียงเหมย”
“ใช่ เจียงเหมย เป็นน้องสาวของเจียงเฟ ประธานนักศึกษามหาวิทยาลัยฝู่เหริน”
“เจียงเฟ” ข้าพเจ้าทวนคำอย่างแปลกใจ “เจียงเฟที่มาสมัครเป็นครูอยู่ในโรงเรียนของเราน่ะหรือ ?”
“ใช่” บัวพูดเสียงแน่น “เป็นทิวเต้อร์ภาษาปักกิ่ง สอนแต่พูด”
“ผมพบเจียงเฟแล้ว” ข้าพเจ้ามองเห็นภาพของหนุ่มฉกรรจ์ลูกแม่น้ำหวงเหือ ที่มีบุคลิกลักษณะเป็นผู้นำที่น่าสนใจ “ผมคงจะต้องชอบเขา ท่าทางเอาเรื่องทีเดียว”
“เมืองจีนสมัยปฏิวัติ พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ มักจะเอาเรื่อง” บัวอธิบาย “เมื่อสมัยปลายสงครามโลกครั้งแรก คนหนุ่มแบบเจียงเฟก็เคยเอาเรื่องมาแล้ว พอสงครามเลิกรัฐบาลทำท่าจะเข่าอ่อน พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ ๆ ก็หาว่าขายชาติ เลยเดินขบวนเล่นงานรัฐบาลวุ่นวายกันใหญ่ พวกคอมมิวนิสต์ที่เป็นใหญ่อยู่ในลุ่มน้ำแยงซีเดี๋ยวนี้ ตอนนั้นก็กำลังหนุ่มกำลังสาว เข้าไปเดินขบวนกับเขาเหมือนกัน นักศึกษาที่ก่อความวุ่นวายครั้งนั้น เวลานี้ก็นำการปฏิวัติอยู่ทั้งพวกซ้ายพวกขวา เป็นพวกมีอิทธิพลมากในวงปัญญาชน”
“เจียงเฟมีอะไรที่ทำให้ผมต้องคิด” ข้าพเจ้าพูดช้า ๆ อย่างไตร่ตรอง “ผมเคยอยู่ฮ่องกงสองปีกว่า ยังไม่เคยพบใครที่องอาจปราดเปรียวน่าเกรงขามเหมือนเจียงเฟ บางทีเขาอาจจะเติบโตไปเป็นประธานาธิบดีของริปับลิคจีนก็ได้”
“ก็มีแววที่น่าคิด” บัวพยักหน้าเห็นด้วย “แต่ผมได้ยินอยู่เสมอว่าชีวิตของมนุษย์มันอยู่ที่ฟ้าดิน เราจะเป็นอะไรได้ก็เพราะฟ้าดิน ถ้าฟ้าดินไม่เข้าด้วยแล้วต่อให้วิชาท่วมหัวก็เอาตัวไม่รอด ความรู้ความสามารถมันช่วยเราได้ไม่ถึงครึ่ง อีกกว่าครึ่ง อยู่ที่ฟ้าดินทั้งนั้น”
“ปกาศิตของฟ้า” ข้าพเจ้าหัวเราะ “ฟ้าปกาศิต กรรมเก่า...พรหมลิขิต...โชค...โอกาส...เราบังคับมันไม่ได้ จริงของเขามันเรื่องของฟ้าดินทั้งนั้น บางที่ที่คุณไปดอดถ่ายรูปเจียงเหมยมาก็เป็นเรื่องของฟ้าดินเหมือนกัน”
“เออ จริงแฮะ ! ฟ้าดินโปรดผมเสียก็ไม่รู้ !” บัวเลิกคิ้ว แย้มตากว้าง “ผมรู้สึกว่าเจียงเหมยสนใจเมืองไทยมาก วันนั้นผมคุยกับเขาชั่วโมงกว่าที่ซิสเต้อร์ฮอลล์ในบริเวณมหาวิทยาลัยเยียนจิง แล้วก็–ผมยังได้พบกับสนาน ตั้งเรืองแสงอีกคนหนึ่ง เป็นนักศึกษาอยู่ที่นั่น”
“สนาน ? มีคนไทยด้วยหรือ ?” ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ
“มีเชื้อจีน แต่ต่อไปก็เป็นคนไทย” บัวอธิบาย “สนานมีเลือดแต้จิ๋วแม่เป็นหลานจีนพ่อมาจากซัวเถาเป็นอาเสี่ย เขาเกิดที่เยาวราช–ไชนาทาวน์ของเมืองไทย”
“เขามาเรียนอะไรอยู่ที่นี่ ?”
“โซซิโอโลยี่”
“ผมอยากรู้จัก คงจะไม่เหงาแน่”
บัวหัวเราะ
“คุณไม่เหงาหรอก ระพินทร์ ถ้าคุณไปเยียนจิง อย่างน้อยเจียงเหมยก็จะทำให้คุณเป็นนกในฤดูใบไม้ผลิ”
๒
ข้าพเจ้าใช้เวลาฮอลิเดย์ แห่งฤดูออตัมน์ ตระเวนปักกิ่ง เพื่อให้มีความหลังโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้มี แม้ว่าวันคืนจะได้ล่วงไปถึง ๓๙ ปีแล้วในบัดนี้ แต่ความหลังเหล่านั้น ก็ยังมองเห็นอยู่, ยังรู้สึก, และยังมีแรงดลใจให้คิด
๓๙ ปีของการเห็นด้วยตา, การได้ยินด้วยหู ทำให้สมองทำงานแม้ในเวลาหลับ ข้าพเจ้าฝันเห็นโลกใหม่–ชีวิตใหม่ เห็นมนุษยภาพที่เคยอยู่ในโซ่ตรวน ถูกกาลเวลาอันเป็นพระเจ้าของจักรวาลถอดโซ่ตรวนออก กลายเป็นมนุษยภาพที่มีวิญญาณของฤดูดอกไม้บาน, สวยงาม, อิ่มเอิบ, และอิสรเสรี ! ข้าพเจ้าหลับไป–ฝันไป–แล้วก็ตื่นขึ้นมาใหม่ในวันนี้ ดวงตะวันในปักกิ่งยังคงโผล่ขึ้นทางขอบฟ้าเบื้องบูรพาในอ่าวเป่จือลี่เหมือนเมื่อ ๓๙ ปีก่อน ดอกเหมยดอกเถายังคงบานในฤดูชุนเทียน, หิมะยังคงตก, แล้วก็ละลายไปใต้ปีกของตัวผึ้ง ธรรมชาติของพระเจ้าผู้สร้างโลกและจักรวาลยังไม่เปลี่ยน จนแลเห็นได้ รู้สึกได้, แม้มันจะเป็นทาสของกาลเวลาเช่นเดียวกับชีวิต แต่ว่า–หลายอย่างของมนุษย์ได้เปลี่ยนไป มนุษยภาพที่ข้าพเจ้าได้เห็นในมหานครปักกิ่ง–ในลุ่มแม่น้ำเหลือง–ในลุ่มแม่น้ำแยงซี ในลุ่มแม่น้ำจูเจียง หรือแม่น้ำไข่มุก ซึ่งข้าพเจ้าเคยหลับตาฝันว่า กาลเวลาจะถอดโซ่ตรวนออก กลับตกอยู่ในความมืดมิดที่น่ากลัวน่าสยดสยองยิ่งขึ้น ดูประหนึ่งว่าดวงอาทิตย์กำลังจะดับ มนุษย์หลายร้อยล้านที่ลอดหลุดออกมาจากใต้บัลลังก์มังกรของระบอบแมนจู แล้วเดินด้วยความหวังเข้าไปในกรงเล็บของมังกรตัวใหม่–คือระบอบนายพลที่ขูดรีดและกดขี่ บัดนี้กลับถลำลงไปในเหวลึกของความเป็นทาสแรงงานทาสของความเมาและความคลั่ง ทาสของความหวังที่มีแต่เลือดและน้ำตาเป็นรางวัล หิมะในปักกิ่งได้เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดง ตงฟางหง....กระโดดไปข้างหน้า คอมมูนมดที่เทิดสังคมใหม่เหนือหยาดเหงื่อและชีวิตอันเสรี....เหล่านี้คือปักกิ่งอีก ๓๙ ปีต่อมา
ตระเวนไปในปักกิ่ง ระหว่างวันหยุดแห่งฤดูออตัมน์ครั้งแรก ไม่มีแท้กซี่มีแต่รถยนต์รับจ้างรุ่นประธานาธิบดียวนซีไข ซึ่งนับคันถ้วน พาหนะที่ดีที่สุดก็คือรถลากที่นั่งเดียวเบาะนุ่ม ตัวถังไม้ขัดมันประกบทองเหลืองสุกปลั่ง ผู้ลากร่างเพรียวลมสวมรองเท้าผ้า กางเกงรัดขา มีความเชี่ยวชาญในการพารถพุ่งไปตามถนนที่ราดยางและโรยหิน หรือตามหูทุ่งอันเป็นซอยเล็กใหญ่นับพัน ซึ่งมีฝุ่นหนาเป็นนิ้ว ไม่เหนื่อยและรวดเร็วน่าอัศจรรย์ บัวนำข้าพเจ้าท่องนครโบราณตลอดวันหยุด, ตะลุยหวางฝูจิ่งอันเป็น “กินซ่า” ของปักกิ่ง ท่องไปทั่วตงเจียวหมินเสี้ยง อันเป็น “เมืองกำแพง” ของสถานทูต ๑๑ ประเทศซ้อนอยู่ในกำแพงเมืองโบราณแห่งนี้ และตรงนี้ได้เคยเป็นสนามรบของกบฏบ๊อกเซอร์เมื่อ ๑๙๐๐ ในเมืองทูตนี้แหละเห็นทหารต่างชาติเดินกางข้ออยู่เต็มถนนส่อสัญญลักษณ์ของจักรวรรดินิยมที่บุกตะวันออกตลอดศตวรรษที่ ๑๙ และต้นศตวรรษที่ ๒๐ ข้าพเจ้าคิดถึงเมืองไทย นึกภาวนาขออย่าให้มีกรรมมากจนต้องเห็นทหารที่ไม่ใช่คนไทยเข้ามาเดินเพ่นพ่านอยู่ในท้องถนนกรุงเทพพระมหานครเลย เมืองไทยก็เต็มไปด้วยสถานทูต แต่ไม่มีกองทหารเข้ามาตั้งรักษาการณ์อยู่ในสถานทูตอย่างที่ปักกิ่งยุคข้าพเจ้าเข้าไปถึง มันเป็นภาพที่สะเทือนใจ...ภาพของการรุกรานและข่มขี่ ข้าพเจ้าได้เผชิญหน้ากับนักรบผู้แสวงอาณานิคม ด้วยอำนาจเงิน และแสนยานุภาพอันเกรียงไกรอย่างจังที่สุด ข้าพเจ้าพูดกับบัวว่า
“เราคงจะทนไม่ไหว ถ้ากองทหารต่างชาติเข้ามาตั้งคุมเชิงอยู่กลางใจเมืองถึงสิบเอ็ดชาติแบบนี้ หรือคุณว่ายังไง ?”
บัวโคลงศีรษะ ขว้างก้นบุหรี่ไปข้างถนน
“เราคงไม่ทนแน่” เขาหัวเราะหึ ๆ “แต่เมืองไทยไม่ใช่เมืองจีน เราให้ความคุ้มครองสถานทูตนานาชาติได้ เขาก็ไม่ต้องเอาทหารเข้ามาป้องกันตัวเอง กบฏบ๊อกเซ่อร์ลุกขึ้นฆ่าพวกทูตเมื่อสามสิบปีก่อน เพราะทนถูกฝรั่งรังแกไม่ได้ แต่ผลที่ติดตามมา ก็คือเมืองทูตที่เราเห็นอยู่นี่แหละ เขาสร้างกำแพงป้องกัน, ตั้งกองทหารรักษาการณ์อย่างเข้มแข็ง มันเป็นการตบหน้ากันอย่างไม่เกรงใจ”
“แต่เราก็ถูกตบหน้ามาแล้วเหมือนกัน เมื่อตอนผมเกิด” ข้าพเจ้าพูดเสียงค่อนข้างเครียด “เราถูกพวกนักล่าอาณานิคมพวกนี้ ปล้นดินแดนไปถึงครึ่งล้านตารางกิโลเมตร เกือบเท่าเมืองไทยเดี๋ยวนี้ ผมยังไม่ลืมชื่อนายปาวีไอ้เศษของฝรั่งตัวการ ผมไม่ลืมจันทบุรีที่ถูกมันยึดไปครองถึง ๑๐ ปี ผมเกิดที่จันทบุรี ผมลืมไม่ลง”
จากตงเจียวหมินเสี้ยง บัวพาข้าพเจ้าไปเป๋ห่าย, หนานห่าย, จุงห่าย ซึ่งเป็น “ทะเลสาบ” อันสวยงามที่สุด ขึ้นกลางใจเมืองข้าง Forbidden City ที่เหมซาน หรือ Coal Hill ซึ่งเป็นเนินเขาสูง ๑๕๐ ฟิตกลางใจเมือง สร้างขึ้นจากดินที่ขุดมาจาก “ทะเลสาบ” และคูเมือง เราไปดูสถานที่ซึ่งกษัตริย์ราชวงศ์เหม็งองค์สุดท้ายปลงพระชนม์เอง เมื่อกองทัพแมนจูได้หลายประตูเมืองเข้ามา ข้าพเจ้าพูดกับบัวว่าถ้าเอาลูกหลานกษัตริย์ราชวงศ์เหม็ง ซึ่งเป็นคนจีนขึ้นมานั่งเมืองแบบกษัตริย์ประชาธิปไตยใต้กฎหมายหลังการปฏิวัติ ๑๙๑๑ คนจีนคงไม่ต้องฆ่ากันเอง แล้วก็คงไม่มีเมาเซตุง หรือโจวเอินไหล บัวหัวเราะแล้วตอบว่ามันเรื่องของฟ้าดิน ช่วยอะไรไม่ได้ แล้วเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจังว่า
“เมื่อตอนผมอยู่โตเกียว ก่อนจะมาปักกิ่งเดือนกว่าๆ พวกเราที่ญี่ปุ่นได้รับจดหมายจากเมืองไทยฉบับหนึ่ง เล่าให้ฟังว่ามีคนคิดจะปฏิวัติ”
“ปฏิวัติ” ข้าพเจ้าหันมาจ้องหน้าเขา
“เขาจะเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย” บัวพูดต่อไป “คนเขียนบอกว่ากรุงเทพกำลังลือกัน หนังสือพิมพ์บางฉบับถูกปิด เพราะเขียนด่ารัฐบาลรุนแรง”
“เป็นข่าวประหลาด” ข้าพเจ้าหยุดคิดสักครู่ “แต่คงไม่ปฏิวัติแบบเมืองจีน เราเลิกกษัตริย์ไม่ได้ บ้านเมืองแหลกแน่ ถ้าขืนเห่อรีปับลิค”
“ผมก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าให้นักปฏิวัติสำแดงความโง่ออกมาเลย” บัวพูดขณะที่ก้าวออกมาจากประตูรั้วชายเนินเหมซาน เขาหยุดนิ่งไม่เดินต่อไป สะกิดข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “นั่นยังไง ผู้หญิงรัสเซียที่ผมพบคืนนั้น”
ข้าพเจ้ามองไปตามสายตาของเขา รถลากเพรียวลมคันหนึ่งวิ่งผ่านไปตามถนนระหว่างเหมซานกับ Forbidden City ผู้หญิงสาวผิวขาวซีดคนหนึ่งนั่งอยู่บนรถ มีผ้าแบลงเก้ทสีน้ำตาลอ่อน คลุมตั้งแต่ขาลงไปจนถึงปลายเท้า ความเร็วของรถที่ผ่านหน้าไปทำให้ข้าพเจ้ามองหน้าเธอไม่ถนัด แต่ก็ได้รับความรู้สึกที่ประทับอยู่ในใจว่า เธอสวยกว่ามิสปอปอฟมาก
“ใคร ?” ข้าพเจ้าถาม
“วารยา” บัวตอบ
“อ้อ” ข้าพเจ้าไม่สนใจที่จะถามอะไรอีก
บัวชวนพูดต่อไปว่า
“คืนนี้ถ้าคุณไม่ไปไหน ผมจะพาไปคาราซาร์ วารยาจะต้องอยู่ที่นั่น ไปดูชีวิตกลางคืนกันสักนิด หรือคุณจะไปลองคุยกับพวกเกาหลีแถวฮาตะเหมินก็ได้ ตอนเช้าเราไปอาบน้ำร้อนกันที่หนานเฉิง”
“ผมจะต้องทำอะไรบ้าง ?” ข้าพเจ้าพูดอย่างไม่แน่ใจนัก
“จ่ายเงิน แล้วคุณก็เตรียมตัวเป็นเจ้าชาย เท่านั้นเอง”
เมื่อกลับถึงตึกเวสท์บิลดิ้งในโรงเรียนหวาเหวิน ข้าพเจ้าก็พบโน้ตภาษาอังกฤษเสียบอยู่ที่บานประตู ในโน้ตมีข้อความซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “หลอชาง เหล่าเซียนเซิงให้โทรศัพท์ไป”
ข้าพเจ้าตรงไปที่ห้องของบัว ยื่นโน้ตให้ดู บัวควักสมุดพกให้แล้วพูดว่า
“เลขหมายอยู่ในสมุด บางทีเราจะอดไปคาราซาร์เสียแล้ว”
ข้าพเจ้ารีบไปโทรศัพท์ถึงนายหลอชาง เสียงที่แล่นมาตามสายข้าพเจ้าจำได้ดี การ์เดียนที่เสด็จพระองค์ชายทรงฝากฝังข้าพเจ้าไว้ บอกว่าอยากให้ข้าพเจ้ากับบัวไปกินอาหารค่ำที่บ้าน เพราะอยากให้พบกับนักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกันคนหนึ่ง ซึ่งควรจะเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นคนเขียนหนังสือพิมพ์ในเมืองไทยและเซี่ยงไฮ้ ข้าพเจ้ารับคำ เพราะไม่มีทางจะปฏิเสธได้
“วันแรกที่ผมมาถึง นายหลอชางก็ให้ไปกินข้าว แต่คุณมาช้าเลยต้องบอกงด” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นเมื่อกลับมาที่บัว “นี่แกก็เชิญอีก ว่าจะแนะนำให้รู้จักนักหนังสือพิมพ์”
“แต่เราก็ได้ไปเยี่ยมแกแล้ว เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ผมไปหาแกมาหลายครั้ง” บัวหันไปหยิบเสื้อสักหลาดสีน้ำเงินเข้ม ที่ตัดมาจากโตเกียวขึ้นมาสวม “เราจะไปกันไม่ใช่หรือ ?”
ข้าพเจ้าพยักหน้า
“ผมรับคำแล้ว คงจะต้องงดคาราซาร์”
“ก็ไม่จำเป็น ไปกันตอนดึกก็ยังได้ ผมอยากให้คุณรู้จัก วารยา”
ข้าพเจ้านิ่ง ไม่แสดงความสนใจไยดี แต่ข้าพเจ้าหลอกตัวเองไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ตื่นเต้น และไม่ได้มีอารมณ์เปลี่ยวเกิดขึ้นเมื่อได้ยินชื่อที่รื่นหูของผู้หญิงรัสเซียคนนี้
ชีวิตเป็นสิ่งสมมุติที่มีเกิดมีดับเป็นสันตติ บัดนี้ ๓๙ ปีของชีวิตก็ได้ดับไปแล้ว แต่ในส่วนลึกของหัวใจ วารยาไม่เคยดับ
เมื่อข้าพเจ้าหลับตา ข้าพเจ้าก็ยังคงเห็นดวงหน้าและดวงตาคู่นั้น....ยังสาวและสวยเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเปลี่ยน บางที–ความตายอย่างเดียวเท่านั้นจะเปลี่ยนดวงใจของเราได้