- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๓๘
๑
ชีวิตรัดวงเข้ามาแล้ว จริงอย่างจรินทร์ว่า ปักกิ่งกำลังเป็นศูนย์กลางของความวุ่นวาย จรินทร์ขึ้นมาปักกิ่งเพื่อจะดูความวุ่นวายตามประสาของนักเผชิญโชคเผชิญภัย แต่ข้าพเจ้าขึ้นมาปักกิ่งเพื่อจะศึกษาเรื่องเมืองจีน ข้าพเจ้าเป็นนักศึกษา ไม่ใช่นักเผชิญโชค แต่การเผชิญโชคเผชิญชีวิตก็เป็นการศึกษาอย่างหนึ่งเหมือนกัน ข้าพเจ้าพบเจียงเฟ เจียงเหมย ข้าพเจ้าได้ศึกษาชีวิตของหนุ่มสาวชาวจีนที่รักชาติและต้องการจะนำชาติออกไปจากความมืดที่เกิดจากสงครามนายพลและสงครามคอมมิวนิสต์ ข้าพเจ้าได้พบหลูกวงและสนาน ตั้งเรืองแสง ซึ่งเป็นคนหนุ่มของเมืองจีนอีกฝ่ายหนึ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจสังคมและการปกครองของเมืองจีนจากเก่าเป็นใหม่ หรือจะพูดให้ชัดก็เปลี่ยนจากระบอบทุนนิยมเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ คนหนุ่มพวกนี้ได้อ่านหนังสือของหลีต้าเจา, เฉินตู๋ซิ่ว, ซึ่งเทิดทูนทฤษฎีของมาร์คซ์และเลนิน ทั้งหลีต้าเจาและเฉินตู๋ซิ่วเป็นปรมาจารย์ของเมาเซตุง จึงย่อมจะเป็นปรมาจารย์ของหลูกวงกับสนานไปด้วย สิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบในสมองของหลูกวงกับสนานและหนุ่มสาวชาวจีนที่มองเห็นประตูออกคือประตูชัยประตูเดียว ได้เตือนข้าพเจ้าว่าไม่ช้าไม่นานมันสมองเหล่านี้จะรวมกันเป็นก้อนใหญ่ และถ้าฝ่ายขวาหรือพวกนายพลทั้งหลายยังตกลงกันไม่ได้ ยังคงฆ่าฟันกันต่อไปหรือยังคงกดขี่ประชาชนและโกงประชาชนต่อไป พวก “ตาอยู่” ก็จะขึ้นมาครองเมืองอย่างไม่มีปัญหาเลย สงครามกลางเมือง คอร์รัปชั่น ระบบข้ารัฐการหรือระบบเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งมิได้ลดความเลวร้ายลงกว่าระบบข้าราชการยุคฮ่องเต้ ระบอบเศรษฐกิจที่กดขี่เอาเปรียบกินแรงประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม ความอดอยากยากจนที่เกิดจากความเลวของระบบนายพลและภัยธรรมชาติ การคุกคามข่มเหงรังแกจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยมต่างประเทศ ฯลฯ เหล่านี้จะสร้างคอมมิวนิสต์ในเมืองจีนให้มีมากขึ้นทุกวัน จนสร้างคอมมิวนิสต์ในเมืองจีนให้มีมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งวันสุดท้ายของเสรีภาพและอิสรภาพของประชาชนชาวจีนในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งก็จะมาถึง แล้วประชาชนผู้เป็นเจ้าของชาติเจ้าของแผ่นดิน ก็จะกลายเป็นทาสของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นได้เพียงนักบุญคนบาปเท่านั้น
๒
ข้าพเจ้าไปปักกิ่ง–ไปด้วยความฝันความทะเยอทะยาน–ไปด้วยเลือดรักชาติที่ร้อนแรง ไปด้วยความหวังว่าจะกลับมาทำอะไรให้แก่เมืองไทยที่รักบ้าง ในฐานะของมนุษย์ไทยคนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เห็นปักกิ่ง–เห็นเมืองจีน–ได้คิด–และได้หวาดกลัวเมืองจีนมาก ข้าพเจ้าตั้งใจว่าเมื่อกลับเมืองไทยแล้ว ข้าพเจ้าคงจะได้ทำอะไรที่อย่างน้อยก็ทำให้คนไทยรู้จักคนจีนและเมืองจีนดีขึ้น เพื่อจะได้มีเวลาคิดกันว่าเราจะป้องกันภัยจากลุ่มแม่น้ำเหลือง–ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงได้อย่างไร แต่ความคิดของข้าพเจ้าต้องด้วนลง เพราะเมืองไทยที่ข้าพเจ้าได้พบเมื่อได้กลับมาถึงกรุงเทพ ฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ เป็นเมืองไทยที่หมดเสรีภาพแล้ว ชีวิตไทยทุกชีวิตได้ตกอยู่ในกำมือของชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่ฆ่าฟัน กันเองเพื่อแย่งอำนาจกันเอง คนคิดทุกคนกลายเป็น “คนที่ชาติไม่ต้องการ” ผู้ใดบังอาจมีความเห็นที่ขัดแย้งกับผู้ครองอำนาจ ผู้นั้นก็เป็นคนเคราะห์, ถูกเกลียดน้ำหน้า, ถูกหมายหัว เป็นนักโทษในบัญชีดำ ข้าพเจ้ามาถึงกรุงเทพฯ สัปดาห์แรกก็ประกาศชักชวนเพื่อนร่วมชั้นเทพศิรินทร์ที่ได้จากไป ๘ ปี ให้ไปกินข้าวกันที่ห้อยเทียนเหลา วันนั้นตอนกลางวัน ขณะที่ข้าพเจ้านั่งทำราชการอยู่ในแผนกโรงเรียน ราษฎร์ กระทรวงธรรมการ หน้าวัดเลียบ เจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่กระทรวงมหาดไทย ก็ได้รับบัญชาจากนายเหนือหัว ให้โทรศัพท์ถามมาว่าที่ข้าพเจ้าประกาศเชิญเลี้ยงที่ห้อยเทียนเหลานั้น ข้าพเจ้ามีความมุ่งหมายอย่างไร ข้าพเจ้างุนงงเกือบตอบไม่ถูก เพราะไม่เคยคิดว่าจะได้รับโทรศัพท์ประหลาดแบบนี้ ในระบอบประชาธิปไตยที่ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามีเสรีภาพ ข้าพเจ้าได้ตอบเจ้าหน้าที่มหาดไทยผู้นั้นไปว่า เป็นการเลี้ยงเพื่อนเก่า ไม่มุ่งหมายอะไร วางหูโทรศัพท์แล้วข้าพเจ้าก็มานั่งคิดด้วยความพิศวงงงงวย แต่ก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้ว่า ทำไม กระทรวงมหาดไทยจึงสนใจกับการกินเลี้ยงระหว่างเพื่อนเทพศิรินทร์ที่ข้าพเจ้าจัดขึ้นด้วยความบริสุทธิ์ใจถึงขนาดโทรศัพท์มาสอบถาม ข้าพเจ้ามารู้เอาในตอนหลังว่า คืนวันนั้นที่ห้อยเทียนเหลา ได้มีสันติบาลนอกเครื่องแบบไปด้อมมองอยู่ ไม่ทราบว่าเขาจะไปรายงานกันอย่างไร จึงทำให้เกิดการหมายหัวข้าพเจ้าขึ้นตั้งแต่วันนั้น ข้าพเจ้าถูกสันติบาลติดตามอยู่มากกว่าสิบปี ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็คอยตามไปเป็นเพื่อน แม้ขณะที่น้ำท่วมกรุงเทพ ฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ เขาก็เอาเรือไปจอดดูอยู่หน้าโรงพิมพ์อักษรนิติ ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ากำลังอยู่ในรัสเซีย ซึ่งคนไม่มีเสรีภาพ ถูกสงสัยง่ายและติดคุกง่าย อนิจจา, เมืองไทย ! ข้าพเจ้าได้พยายามมองเมืองไทยให้เป็นเมืองที่สวยงาม เพราะคณะผู้ก่อการเพียงไม่กี่คน ท่านได้ประกาศระบอบเสรีภาพของประชาธิปไตยออกมาอย่างครึกโครม ถึงขนาดเขียนใบปลิวด่าเจ้านายผู้ทรงรักประชาชนด้วยน้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ โดยมิได้เกรงใจประชาชนแม้แต่น้อย แต่แล้วเสรีภาพของท่านไปอยู่เสียที่ไหนเล่า ?
ข้าพเจ้าไม่ลืมชีวิตที่ขมขื่นที่สุดในระบอบประชาธิปไตยอันแสนจะเลวในยุคนั้น ซึ่งนักการเมืองกำลังเป็นโรคเส้นประสาท มีอาการชักกระตุกเช้ากระตุกเย็น กลัวแต่จะถูกปฏิวัติเพราะกรรมเก่าที่ตัวเองได้ทวนสาบานทำไว้ได้ทำให้นอนตาไม่หลับ คอยมองใครต่อใครว่าจะคิดร้าย เห็นราษฎรเป็นศัตรู เห็นหนังสือพิมพ์เป็นดาบที่คอยแต่จะเชือดคอ เห็นพรรคพวกของตัวเองเป็นคู่แข่งบารมี เป็นหอกข้างแคร่ คอยแย่งชิงอำนาจ ต้องหาวิธีเอาเข้าคุกหรือมิฉะนั้นก็ปั้นพยานส่งตัวไปยิงเป้าเพื่อขู่เข็ญคนไทยเจ้าของชาติให้คร้ามเกรง ยอมให้เขาเสวยอำนาจกันไปตามแต่เขาจะปรารถนา นั่นคือเมืองไทยที่ข้าพเจ้าได้พบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ เป็นต้นมา นั่นคือเมืองไทยที่ข้าพเจ้าต้องทนอยู่ เพราะข้าพเจ้าลาออกจากการเป็นราษฎรไม่ได้ ข้าพเจ้าถูกเขาสงสัย ความงอกงามของชีวิตถูกกดไว้ใต้ส้นเกือกของผู้มีอำนาจบาทใหญ่ ที่แสดงแต่อำนาจและความร่ำรวย แล้วก็ถึงวันสุดท้ายของการพยายามทำราชการ และมันก็เป็นวันสุดสิ้นของความหวังที่ได้หวังไว้ในปักกิ่ง คือหวังจะทำอะไรให้แก่เมืองไทยสักอย่างหนึ่งในหน้าที่ราชการที่เกี่ยวกับเมืองจีน ซึ่งข้าพเจ้าคาดว่าจะเป็นอาณาจักรที่น่าจะร้ายต่อไทยมากกว่าจะดี
๓
ชีวิตรัดวงเข้ามาทุกวัน ลมพัดแรงจัด ฝุ่นจากทะเลทรายโกบีเต็มท้องฟ้า มันดูจะเป็นสัญญลักษณ์ของความโศกที่กำลังจะผ่านเข้ามาบนหลังคากระเบื้องในกรุงปักกิ่ง จรินทร์รับปากว่าจะไปพบกับนายหลี่ป่าวหรือหลี่เค่อจ่าง สันติบาลใหญ่ ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะสำเร็จได้อย่างราบรื่น เพราะเราไม่มีเงินสดไปวางให้เขา การติดสินบนเป็นประเพณีของเมืองจีนที่แก้ไม่หาย เป็นของจำเป็นมากไม่ว่าจะทำอะไร จรินทร์มีแต่ส่วนแบ่งชามอ่างหยกอย่างเดียวที่ควรจะทำให้สันติบาลใหญ่คนนี้พอใจได้ แต่มันก็คนละเรื่องไม่น่าจะเกี่ยวมาถึงเจียงเฟได้ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่เงินสด...เงินสดอย่างเดียวเท่านั้น แต่เราจะไปเอาเงินที่ไหนมาให้เขาได้ ในเมื่อทุกคนมีอยู่ในกระเป๋าเพียงเดือนละไม่กี่ร้อยเหรียญ
ความเลวร้ายของชีวิตกำลังเริ่มขึ้นแล้วในปักกิ่ง ซึ่งข้าพเจ้าคาดไม่ถึงว่า มันจะติดตามมาทำลายข้าพเจ้าในเมืองไทย หลังจาก พ.ศ. ๒๔๗๙ ข้าพเจ้าไม่คิดว่า ข้าพเจ้าจะกลายเป็นคนที่เขาสงสัยอยู่ถึงสิบปี และแม้จะออกจากราชการแล้วอีกหลายปีก็ตาม ความงอกงามของชีวิตข้าพเจ้าถูกเขากดอยู่ใต้ส้นเกือก เพียงเพราะเหตุที่ข้าพเจ้าไปปักกิ่งและกลับมาคัดค้านระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ข้าพเจ้าเห็นว่ามันไม่ต่างกับที่ข้าพเจ้าได้เห็นมาในเมืองจีนมากนัก ความเลวร้ายที่เริ่มขึ้นในปักกิ่งตอนนั้นก็คือการรังแกนักศึกษาอย่างไม่เลือกหน้า ซึ่งข้าพเจ้าในฐานะของคนหนุ่มคนหนึ่งไม่อาจจะทนดูอยู่ได้ แต่ข้าพเจ้าเป็นคนไทย ไม่มีหน้าที่และไม่มีสิทธิอะไรจะเข้าไปเกี่ยวข้อง ความสำนึกอันนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องเขียนวงให้ตัวเองยืนอยู่ด้วยความทรมาน แต่ความทรมานนั้นมันมีแต่จะเพิ่มขึ้น มันจึงระเบิดออกมาเป็นตัวอักษร ข้าพเจ้าเริ่มเขียนบทความโจมตีลัทธิเผด็จการทั้งฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย โจมตี Communism และโจมตี Nazism กับ Fascism บทความบทหนึ่งที่โจมตี Hitler ได้ถูกสถานทูตเยอรมันในเซี่ยงไฮ้ส่งมาให้รัฐบาลไทย และนั่นคือจุดตั้งต้นของการถูกเอาปูนหมายหัว เพราะเมืองไทยก็กำลังเผด็จการ !
ข้าพเจ้าพบจรินทร์อีกสองครั้ง การเจรจากับสันติบาลใหญ่นายหลี่ป้าวหรือหลี่เค่อจ่างไม่ได้ผลอะไรมากนัก เจียงเฟยังคงอยู่ในกรงขังด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์
ในเมืองจีนสมัยนั้น ใครก็เป็นคอมมิวนิสต์ได้ ถ้าเขาคัดค้านรัฐบาลนานกิง ข้าพเจ้าเคยจุดไต้ตำตอ ไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนานกิงเข้าเรื่องคอร์รัปชั่น ผู้ฟังเป็นญาติของผู้ยิ่งใหญ่ เขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และเขาสงสัยว่าข้าพเจ้าเป็นคอมมิวนิสต์
เราถูกแต่งตั้งให้เป็นคอมมิวนิสต์กันง่ายเหลือเกิน มันเป็นการกระทำที่โง่บัดซบที่จะคิดว่าคนนั้นคนนี้เป็นคอมมิวนิสต์ เพราะมันเป็นการแสดงความหวาดกลัวศัตรูของเสรีภาพที่เราร่วมกันต่อสู้
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าจรินทร์คงจะทำการไม่สำเร็จแน่ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจในชั่วโมงสุดท้ายโทรศัพท์ถึงเจียงเหมยที่มหาวิทยาลัยเยียนจิง ขอพบเธอเป็นการด่วน
เจียงเหมยให้ข้าพเจ้าออกไปยังเยียนจิงได้ในทันที ดังนั้นอีกสองชั่วโมงต่อมาหลังอาหารกลางวันที่ P.U.M.C. กับ ดร. เจียง กับ ดร. เผิง ข้าพเจ้าก็ไปรถบัสที่ Y.A.C.A. บัสสีเทามาถึงตามเวลา มันควบไปบนถนนหินซึ่งฮองไทเฮาเคยหนีกบฏบ๊อกเซ่อร์เมื่อ ๓๐ ปีก่อน พาข้าพเจ้าไปถึงประตูใหญ่ทาสีแดงเลือดนก ซึ่งมีสิงโตหินยืนยามอยู่สูงตระหง่าน ห่างออกไปทางทิศตะวันตกของปักกิ่งราวสิบไมล์เศษ นั่นคือเยียนจิง–อาณาจักรน้อยนิดอันเสรีที่แวดล้อมด้วยต้นหลิวและต้นหยาง อาณาจักรที่สอนให้คนคิดอย่างอิสระด้วยดอลล่าร์ของคนอเมริกัน