บทที่ ๔๖

เรานั่งอยู่ด้วยกันบนเก้าอี้นวมในห้องโถงใหญ่ตึกเจ่เม่โหลว ซึ่งเป็นตึกหลังคาทรงจีนจัดไว้สำหรับมีงานชุมนุมและรับแขกโดยเฉพาะ เจียงเหมยฟังข้าพเจ้าเล่าเรื่องหลูกวงด้วยความสนใจ เธอแสดงความเป็นห่วงเมื่อข้าพเจ้าบอกว่า หลี่เค่อจ่างสันติบาลใหญ่แห่งกรุงปักกิ่งเห็นข้าพเจ้าอย่างจัง ขณะที่ยืนพูดอยู่กับลูกศิษย์ปลายแถวของคาร์ลมาร์กซ์ผู้นี้

“เธออาจจะเคราะห์ร้ายก็ได้” ราชินีแห่งเยียนจิงพูดอย่างวิตก “หลี่เค่อจ่างเขารู้จักหลูกวงดี”

“ไม่เห็นแปลกนี่” ข้าพเจ้าพยายามยิ้มทำสีหน้าให้ร่าเริงแจ่มใส “ฉันไม่มีอะไรกับเขา แล้วก็–ฉันเป็นชาวต่างประเทศ”

“แต่เธอไม่มีสถานทูตไทยอยู่ที่นี่” เจียงเหมยเตือน “เธอไม่มีใครจะคุ้มครอง อย่าลืมว่าจีนกับไทยยังไม่ได้เปิดความสัมพันธ์ทางการทูต–เธอต้องอาศัยสถานทูตไทยในโตเกียวไม่ใช่หรือ ?”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“คงไม่มีอะไรหรอก อย่างมากหลี่เค่อจ่างเขาก็ตั้งข้อสังเกตเอาหน่อย”

“เธออาจโดนสะกดรอยก็ได้”

ข้าพเจ้าหัวเราะ

“ก็ยิ่งดี เขาจะรู้ได้ว่าฉันบริสุทธิ์”

เจียงเหมยสั่นศีรษะ

“เธอมองชีวิตในแง่ดีเกินไป ระพินทร์ คนที่สะกดรอยเธอมันอาจรายงานในทางที่ตรงกันข้ามก็ได้ เพื่อมันจะได้ความดีความชอบ”

“เป็นวิธีหากินของตำรวจที่นี่งั้นหรือ ?”

“ฉันว่ามันก็แบบนี้ทุกประเทศ–ฉันหมายถึงประเทศที่ปกครองกันอย่างเละเทะ อำนาจอยู่กับชนส่วนน้อย เขาก็เลยเอาอำนาจมาหากิน”

ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของหลูกวงตอนหนึ่งได้ ก็ถามว่า

“เจียงเฟมีทางอะไรบ้างไหม ? ลุงเธอว่ายังไง”

“เรากำลังจะได้เงิน” เจียงเหมยตอบเนือย ๆ คล้ายกับยังไม่แน่ใจ

“ไอ้หลี่เค่อจ่างมันกินคำใหญ่”

“ก็ต้องให้มัน”

“ฉันได้ยินหลูกวงพูดถึงเจียงเฟ”

เจียงเหมยมองตาข้าพเจ้าอย่างสนใจ

“เขาพูดว่าอย่างไร ?”

ข้าพเจ้านิ่ง ไม่ตอบออกไปทันทีเพราะเกรงจะเป็นผลร้ายต่อผู้ฟัง ซึ่งมีพี่ชายอยู่เพียงคนเดียว

“เขาว่าต้องรีบ” ข้าพเจ้าพยายามตอบอย่างกว้าง

“หมายความว่า–เขารู้อะไรมางั้นหรือ ?” หญิงสาวสวนขึ้นทันที

“หลูกวงเขาว่า พวกเขาในสันติบาลบอกว่าเจียงเฟเหลือเวลาน้อยแล้ว”

“ลุงฉันว่าจะขึ้นมาปักกิ่งในสัปดาห์นี้ ฉันจะต้องโทรเลขเร่งไป เงินมันหายากเหลือเกิน พวกนายพลเขาเก็บเอาไปหมด”

เราพูดถึงเจียงเฟอีกสักครู่เจียงเหมยก็เอ่ยถึงสนานว่า

“สนานเขาเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่ไปหูหนานคราวนี้ เขาถูกฉีดยาล้างสมองจนเกือบจะเป็นคนละคน”

“เขาพูดอะไรกับเธอบ้าง ?” ข้าพเจ้าถาม

“เขาเล่าตามตรงว่าเขาหลบลงไปหูหนานกับหลูกวง–มีเพื่อนที่เซี่ยงไฮ้สมทบไปอีกหลายคน เมาเซตุงประชุมเยาวชนที่ภูเขาจึ่งกาง–มีผู้แทนนักเรียนทั่วประเทศไปรับการอบรมที่นั่นมากมาย สนานบอกว่ามันเป็นการชุมนุมเยาวชนที่ใหญ่ยิ่งที่สุด ตั้งแต่เมืองจีนปฏิวัติ”

“เมาเซตุงหากำลังจากเยาวชน แต่รัฐบาลนานกิงจับเยาวชนเข้าคุก–เขากำลังเดินสวนทางกัน” ข้าพเจ้าโคลงศีรษะไปมาช้า ๆ “เยาวชนคือเมืองจีนในอนาคต ถ้าเยาวชนเป็นแดง เมืองจีนก็ต้องแดง”

“สนานเขาเล่าว่าพวกเยาวชนคึกคักมาก มีความเชื่อมันอย่างสูงว่าเมาเซตุงจะต้องเป็นผู้นำของจีนใหม่ เขาร้องเพลงกันตลอดวัน เนื้อเพลงเมาเซตุงแต่งให้เป็นพิเศษ นี่ไง, เนื้อเพลงบทหนึ่ง ชื่อจิ่งกางซานที่สนานเขาเอามาให้ฉันดู”

ข้าพเจ้ารับมาอ่านดู เป็นเนื้อเพลงปลุกใจ

“เมาเซตุงเป็นกวี” ข้าพเจ้าพึมพำ “กวีกับนักปฏิวัติช่างมาอยู่ในคนคนเดียวกันได้ !”

“เรามีกวีเป็นแม่ทัพหลายคนในประวัติศาสตร์” เจียงเหมยชี้แจง “กวีบทนี้สนานเขาบอกว่าเมาเซตุงแต่งตอนรบชนะกองทัพของรัฐบาลที่หวงหยางเจียเมื่อ ค.ศ. ๑๙๒๘”

“กวีมักมีจิตใจละเอียดอ่อน มีอารมณ์สวยงาม แต่นักปฏิวัติมีแต่อารมณ์คลุ้มคลั่งอยู่กับอุดมคติ จิตใจแข็งกร้าว ฆ่าคนได้เหมือนผักปลา มันควรจะเป็นคนละคน” ข้าพเจ้ายังคงพลิกบทกวีของเมาเซตุงต่อไป “อันนี้แต่งด้วยอารมณ์ของนักปฏิวัติ” ข้าพเจ้าอ่านตอนหนึ่งให้เจียงเหมยฟัง

เจียงเหมยพูดว่า “ซูตงปอยอดกวีเมื่อพันปีก่อนเขียนไว้คล้าย ๆ กัน บางทีเมาเซตุงจะได้รับอิทธิพลมาจากบทกวีของซูตงปอก็ได้” แล้วเจียงเหมยก็ท่องบทกวีของซูตงปอออกมาตอนหนึ่งแปลความว่า

แม่น้ำใหญ่ไหลไปตะวันออก

มันพัดสูญไปในสายคลื่น

เจ้าคนนายคนในอดีต

“อยู่กับปัจจุบัน–นักปฏิวัติที่ไม่มีอดีต” ข้าพเจ้าพึมพำ “เมาเซตุงก็คงขมขื่นกับอดีต เช่นเดียวกับซูตงปอ แต่ถ้าไม่มีอดีตเราจะมีปัจจุบันอนาคตได้อย่างไร”

“ถ้าเขาจะพลิกแผ่นดินกัน เขาก็ต้องกลัวอดีต ถ้าคนยังคงอยู่ในอดีต เขาก็สร้างปัจจุบันที่เราฝันไม่ได้” เจียงเหมยอธิบาย

“อดีตของเมืองจีนเป็นรากฐานความเจริญอันหนึ่งของโลก ฉันเสียดาย ถ้าเมาเซตุงจะทำลาย”

เจียงเหมยถอนใจยาว

“เขาต้องทำลาย–ทำลายทุกอย่างแม้จนกระทั่งศิลปะ เขากลัวอดีตเพราะการปฏิวัติแนวใหม่ของเขายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจะดีกว่าอดีต”

“สนานได้การปฏิวัติแนวใหม่อะไรมาบ้างจากการชุมนุมคราวนี้ ?” ข้าพเจ้าถาม

“เรื่องมันยาว และน่ากลัว” เจียงเหมยพูดเสียงเศร้า “เรารู้อะไรมากขึ้นจากสนาน ฉันว่าถ้าเมาเซตุงได้อำนาจ โลกจะไม่มีวันสงบ”

“ยังไง ?” ข้าพเจ้าซัก

“เขามีโครงการยึดครองโลก” เจียงเหมยชี้แจง “สนานบอกว่า เมาเซตุงใช้เวลาอธิบายโครงการเหล่านี้อยู่หลายวัน เมาเซตุงยืนยันว่าจะต้องทำสงครามชนชั้นจนถึงที่สุด หมายความว่าจนกว่าจีนจะชนะโลก ฟังแล้วก็หายใจไม่ทั่วท้อง ฉันนึกไม่ออกว่าจีนจะชนะโลกได้อย่างไร แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรแก่เมืองจีนบ้างไหม ? ฉันมองไม่เห็น เราจะฆ่ากันเพื่อให้หมดชนชั้น มันจะเป็นไปได้หรือ ? อย่างน้อยมันก็ต้องมีชั้นโง่ชั้นฉลาด มันจะเท่ากันไม่ได้ อย่างในรัฐคอมมิวนิสต์เขาก็มีชั้นนายที่ถือแส้ถือปืน มีชั้นทาสที่ถือฆ้อนถือเคียว”

“ถ้าเรายังห้ามคนฉลาดไม่ให้เกิดไม่ได้ เราก็จำกัดชั้นของคนไม่ได้ ถ้าเราจะใช้อำนาจจำกัดชั้นของคนฉลาดให้จงได้, เศรษฐกิจก็งอกงามไม่ได้ เพราะคนฉลาดจะไม่ทำงาน” ข้าพเจ้าให้ความเห็น

“ฉันเห็นอย่างเธอ” เจียงเหมยทำสีหน้าเห็นด้วย “เมาเซตุงลืมไปว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่งอกงามได้ ถ้าเราหันหลังให้ธรรมชาติ ความงอกงามก็เกิดไม่ได้”

“นั่นคงจะอธิบายปัญหาที่ว่าทำไมคนรัสเซียจึงยังมีไข่กินไม่ครบทุกคน” ข้าพเจ้าหัวเราะ

“สนานเขาเล่าว่าตอนหนึ่งในการชุมนุม เมาเซตุงตั้งบัญญัติไว้ว่าทุกคนต้องจำกัดความสำราญ เพราะความสำราญเป็นสันดานของนายทุน และทุกคนต้องสำนึกว่าความยากจนความหิวเป็นสมบัติอันมีเกียรติ–ผู้ใดพยายามเป็นคนมีคนอิ่ม ผู้นั้นทำตัวเป็นนายทุน” เจียงเหมยเล่าต่อไป

ข้าพเจ้าถามว่า

“แล้วสนานมีความเห็นอย่างไร ?”

“สนานว่าเมาเซตุงเป็นอัจฉริยบุคคล สามารถเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น”

“แต่ฉันมองเห็นว่า สิ่งที่เมาเซตุงเห็นเป็นแต่ความฝัน มันจะหายไปหมด เมื่อตื่นขึ้นมา สติสัมปชัญญะเวลาตื่น ธรรมชาติของจิต–มันจะบอกว่าความฝันจะเป็นความจริงไม่ได้”

แล้วเราก็พูดถึงสนานต่อไปอีก ตอนหนึ่งเจียงเหมยมีสีหน้าเศร้าเมื่อพูดว่า

“เราไม่มีทางจะเข้าใจกันได้–สนานกับฉัน”

“เธอคิดเช่นนั้นหรอ, เจียงเหมย” ข้าพเจ้ามองตาราชินีแห่งความงามผู้กำลังจะเสียความแกร่งที่เคยมีอยู่ในใจ

“ฉันเกือบจะแน่ใจ” เจียงเหมยตอบ “สนานถูกล้างสมองจนพูดกันไม่รู้เรื่อง เวลานี้ฉันไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาแล้ว”

“อย่าด่วนคิดมากจนเกินไป อารมณ์ของคนมันไม่แน่” ข้าพเจ้าเตือน “สนานกำลังหลงทาง เขาอาจกลับมาใหม่ก็ได้”

“ยาก” เจียงเหมยส่ายหน้าช้า ๆ “สนานกำลังถือศาสนาใหม่ที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของเขาเอง”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ