- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๔๕
๑
เสียงที่แล่นมาตามสายในท่ามกลางก้อนลมพายุที่พัดมาจากแมนจูเรีย เป็นเสียงของเจียงเหมย
“ระพินทร์หรือจ๊ะ ?”
“ฉันกำลังรอโทรศัพท์จากเธอ เรื่องสนานใช่ไหม ?” ข้าพเจ้าถามอย่างรวบรัด
“เธอรู้แล้วหรือ ?”
“บัวบอก”
“หลูกวงกับสนานมาถึงเยียนจิงเมื่อคืน สนานเขาโทรศัพท์มาหาฉันที่ย่วน”
“เขามาพบเธอเมื่อคืนใช่ไหม ?”
“เขามาพบเมื่อกี้ นี่เขากลับไปแล้ว”
“เล่าอะไรให้ฟังบ้าง ?”
“เราอย่าพูดกันทางโทรศัพท์เลย เธอว่างไหมวันนี้ ?”
“ฉันจะไปพบเธอตอนเที่ยง”
“ตกลง”
เที่ยงวัน
บัสเยียนจิงชิงหวาพาข้าพเจ้าห้อไปเยียนจิงอย่างรวดเร็วเช่นเคย ถนนที่ปูด้วยหินซึ่งไม่เคยเรียบทำให้เราทุกคนรู้สึกคล้ายกับถูกเขย่าอยู่ในขวด ถนนสายนี้เมื่อสามสิบปีเศษมาแล้ว ยุคกบฏบ๊อกเซ่อร์ ฮองไทเฮาได้หนีทหารต่างชาติแปดชาติไปพักแรมอยู่ที่คุนหมิงหูชั่วขณะ ตลอดเวลาสามสิบปีไม่มีการบำรุงเลย เคราะห์ดีที่หลายตอนได้ปูด้วยแผ่นหินจึงยังคงมีสภาพพอจะใช้เป็นเส้นทางคมนาคมได้ นครปักกิ่ง ทั้งในเมืองและชานเมืองตลอดยุคฮ่องเต้แผ่นดินสุดท้าย และยุคปฏิวัติ ๑๙๑๑ ไม่มีการทะนุบำรุงอะไรมากนัก โดยเฉพาะถนนหนทางซึ่งทรุดโทรมเต็มไปด้วยฝุ่นในฤดูแล้ง และปกคลุมไปด้วยโคลนในฤดูหิมะละลาย เปลือกชีวิตของชาวปักกิ่งเมื่อหิมะละลาย อาจสดใสอยู่กับดอกเหมย ดอกเถา (ท้อ) ที่แรกผลิเพียงชั่วครู่ แต่แก่นชีวิตที่แท้จริง ก็เหมือนกับฝุ่นที่กลายเป็นโคลนเมื่อหิมะละลายเป็นน้ำ, เกรอะกรังอยู่ตามถนนซึ่งบางสายก็มีสภาพเหมือนถนนในท้องนาเมื่อฝนรั่วลงจากฟ้า, โคลนปักกิ่งเมื่อหิมะละลายได้สร้างความขัดแย้งให้กับบรรยากาศอันสวยสดของดอกไม้สีชมพูและสีขาวแห่งฤดูสปริงเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสปริงหรือชุนเทียนที่แท้จริงของปักกิ่ง และของเมืองจีนยังมาไม่ถึง ดอกไม้ได้บานอยู่เหนือโคลนของชีวิตที่ยังไม่มีทางจะกวาดล้างขัดถูให้สะอาดได้
บัสหยุดที่หน้าประตูใหญ่สีแดงเลือดนกของมหาวิทยาลัยเยียนจิง คนโดยสารเกือบครึ่งคันรถพากันลงแล้วก็แยกย้ายกันเข้าประตูไป ข้าพเจ้าเดินผ่านสิงโตหินสูงสองช่วงคนที่นั่งยามอยู่หน้าประตู โดยไม่ทันสังเกตว่าที่ริมสิงโตตัวหนึ่งมีใครคนหนึ่งยืนอยู่ ซึ่งเขาจะต้องเห็นข้าพเจ้าแล้วตอนลงจากรถ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเขาร้องเรียก เมื่อหันไปดูก็เจอหน้าบุรุษไว้ผมยาว หนวดเครารุงรังเข้าอย่างจัง เขายืนเอามือซุกเข้าไปในแขนเสื้อต้าผาวที่ยัดสำลีไว้ข้างใน แววตาของเขาเคร่งเครียด ไม่มีรอยยิ้มอยู่ในสีหน้าของเขาเลย
ข้าพเจ้าตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะพบคนคนนี้ในที่เช่นนี้ คือซอกประตูข้างสิงโตหินตัวใหญ่ที่ไม่ควรจะมีใครเข้าไปยืนซุ่มอยู่ ความจริง ข้าพเจ้าไม่ควรจะตื่นเต้นแม้สักน้อยนิด เพราะบุรุษผู้นี้ไม่น่าจะมีอะไรเหนือข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าต้องขอสารภาพว่าเขามีบุคลิกลักษณะบางอย่างที่สะดุดตาสะดุดใจเสมอไม่ว่าจะพบเขาเมื่อไหร่และที่ไหน
๒
ข้าพเจ้าเลี้ยวเข้าไปหาเขา เขาไม่ยิ้มรับ สีหน้ายังคงเฉยเมยเย็นชา คล้ายกับไม่มีความรู้สึกอะไรเลย เขามีอาการเหมือนน้ำนิ่ง, ลึกและสงบ แต่แววตาของเขาเคร่งเครียดและแข็งกล้าผิดคนธรรมดา
ข้าพเจ้ายิ้มกับเขาแทนคำพูด ข้าพเจ้าพยายามสงวนท่าที, รอดูว่าเขาจะพูดอะไรออกมาก่อนเพราะเขาเป็นผู้ร้องเรียกข้าพเจ้า
“ไปพบเจียงเหมยใช่ไหม ?” เขาเอ่ยขึ้นก่อน น้ำเสียงห้วนและกร้าว
ข้าพเจ้าพยักหน้า
“หลูกวง เธอคอยใคร ?”
คำถามของข้าพเจ้าทิ่มแทงความรู้สึกของเขา ทำให้เขาตาลุกวาวอย่างไม่พอใจ
“คอยทุกอย่าง” เขาตอบเสียงสะบัด เน้นทุกคำอย่างมีความหมาย อารมณ์ไม่ปกติทำให้สีหน้าของเขาทวีความเคร่งเครียดมากขึ้น
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าคำตอบของเขามีความหมายไกลมาก เขาคอยทุกอย่างคอยวันเวลาที่จะเป็นของเขา–คอยความฝันซึ่งเขาแลเห็นอยู่ที่ขอบฟ้าสีแดง แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะพูดอะไร เขาก็ถามว่า
“เธอคงแปลกใจที่ฉันเรียกเธอเมื่อกี้”
ข้าพเจ้าพยักหน้าอีก
“ก็แปลกบ้าง มีอะไรหรือ, หลูกวง ?”
เขาแสยะยิ้มเป็นครั้งแรก
“เจียงเฟของเธอ–มันจะถูกยิงเป้าปลายเดือนนี้” เขาพูดเสียงลึกแต่ไม่ตื่นเต้น
“ยิงเป้า” ข้าพเจ้าทวนคำพูดของเขาอย่างไม่รู้สึกตัว ใจเต้นเล็กน้อย “เธอรู้เรื่องเจียงเฟ ?”
“รู้ทุกอย่าง”
“ใครบอกเรื่องเจียงเฟจะถูกยิงเป้า ?” ข้าพเจ้าถามต่อไป
“หูของเราที่สันติบาล”
“อ้อ” ข้าพเจ้าพึมพำ นึกในใจว่าสันติบาลก็มีแดงเหมือนกัน “ข่าวนี่แน่หรือ ?”
“ก็เขาว่าอย่างนั้น แต่ฉันรู้ดีว่ามันยิ่งกว่าแน่”
“เราจะทำยังไงกันดี ?” ข้าพเจ้าถอนใจเบา ๆ
“ไม่มีทาง” หลูกวงพูดเสียงกร้าว “นักศึกษาทุกคนที่ถูกจับ ไม่มีใครรอดออกมาได้เลย ความจริงเจียงเฟมันไม่แดง ตำรวจจับผิด”
ข้าพเจ้าโคลงศีรษะไปมาแล้วก็พึมพำว่า
“ทำไมเราจะต้องฆ่ากัน ?”
หลูกวงหัวเราะเสียงดังจนข้าพเจ้าตกใจ
“มันเป็นยุคที่เราต้องฆ่ากัน เธออย่าแปลกใจเลย ฉันตั้งใจจะบอกเธอหลายครั้งแล้วว่า เราจะต้องฆ่ากันต่อไปอีกนาน เพื่อให้โลกสงบ”
“ฆ่าเพื่อให้โลกสงบ ?” ข้าพเจ้าทวนคำอย่างแปลกใจ
“ถูกต้อง ! ฆ่าเพื่อให้โลกสงบ–ฆ่าเพื่อเอาเลือดล้างโลกให้สะอาด โลกสกปรกมานานแล้ว มันจึงสงบไม่ได้”
ข้าพเจ้ายืนฟังอย่างงง ๆ หลูกวงได้สารภาพความในใจของเขาออกมาอย่างตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรก
“แต่คนอย่างเจียงเฟก็ควรจะถูกฆ่าด้วยหรือ ?” ข้าพเจ้าถาม
“คนอย่างเจียงเฟ มีศัตรูทั้งซ้ายทั้งขวา เขายืนอยู่ตรงกลาง สมัยนี้คนที่ยืนอยู่ตรงกลาง จะต้องตายก่อน เพราะเขาจะถูกโจมตีทั้งซ้ายและขวา พวกนายทุนที่ถูกปฏิวัติก็ไม่ชอบเขา พวกที่ปฏิวัตินายทุนก็ไม่ชอบเขา ไม่มีใครชอบเขาเลย นอกจากคนโง่ ๆ ที่คิดว่าโลกจะสงบได้ เพราะคนเดินสายกลาง”
“เธอว่าคนเดินสายกลางเป็นคนโง่งั้นหรือ, หลูกวง ?” ข้าพเจ้าจ้องหน้าเขาอย่างมีเจตนา
“โง่ที่สุด–แล้วก็บ้าที่สุด” เขาระเบิดออกมาด้วยอารมณ์
“เธอจะต้องมีเหตุผล, หลูกวง” ข้าพเจ้ายังคงจ้องหน้าเขาอยู่
บุรุษผู้ไว้เคราและผมแบบคาร์ลมาร์กซ์ กวาดตาไปที่ประตูสีแดงเลือดนกซึ่งนักศึกษาเดินเข้าออกอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับจะรอใครสักคนหนึ่ง เขาไม่มีท่าทางที่แสดงว่าจะสนใจกับคำถามของข้าพเจ้า เขาอาจไม่อยากตอบก็ได้
“เธอยังไม่ได้ตอบคำถามของฉัน, หลูกวง” ข้าพเจ้าเตือน
เขาหันขวับมาจ้องหน้าข้าพเจ้าด้วยดวงตาอันเขียวขุ่น อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“เราต้องพูดกันเป็นวัน ๆ มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันข้างถนน” เสียงของเขากร้าวกว่าทุกครั้ง
“เราคุยกันเล่นหรอกน่า, ฉันอยากจะฟังเหตุผลของเธอนิดเดียวเท่านั้น” ข้าพเจ้ายิ้มอย่างใจเย็น
“เหตุผลอะไร ?” เขาถามราวกับว่าเราจะต้องตั้งต้นกันใหม่
“เธอบอกว่า คนเดินสายกลางเป็นคนโง่ที่สุด–บ้าที่สุด” ข้าพเจ้าช่วยเขาฟื้นความจำ
“เธออยากฟังเหตุผลใช่ไหม ?” หลูกวงหรี่ตาจ้องหน้าข้าพเจ้า, ทำท่าคล้ายกับศาสตราจารย์ที่กำลังจะเริ่มเล็คเช่อร์
ข้าพเจ้าผงกศีรษะรับว่าใช่
นักศึกษาเคราดก ผู้วางตัวเหมือนผู้คงแก่เรียน เม้มริมฝีปากนิ่งอยู่สักประเดี๋ยว ดูเหมือนจะพยายามตั้งสติให้มั่น เพราะเขาอาจเกิดความรู้สึกว่าสีหน้าและแววตาของข้าพเจ้าเริ่มจะเอาจริงในมา
“ระพินทร์” ในที่สุดหลูกวงก็เปิดปากออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายกับจะคำราม “ก่อนอื่นเธอต้องเข้าใจว่า ฉันเกิดมากับเลือด–เกิดมากับน้ำตา–ไม่ได้เกิดมากับช้อนเงินช้อนทอง เลือดกับน้ำตาได้ปั้นฉันขึ้นมาให้เป็นคนบ้าอย่างที่ใคร ๆ เขาเข้าใจกัน ฉันไม่ได้บ้า แต่ฉันคิด เมืองจีนเป็นเมืองนรกสำหรับฉัน ฉันอยู่ในเมืองนรกตั้งแต่ฉันเกิด–อยู่กับความทุกข์ยาก–อยู่กับความหนาว–ความหิว อยู่กับส้นเกือกของพวกนายพล ที่ปล้นท้องปล้นชีวิตของราษฎร ฉันเกิดก่อนเก๊กเหม็งไม่กี่ปี เกิดมาเพื่อจะเก๊กเหม็ง แต่ไม่ใช่เก๊กเหม็งแบบซุนยัดเซ็น” เขาหยุดเว้นระยะคล้ายกับจะคิด “เธอต้องเข้าใจว่าคนที่เกิดมาในสมัยอย่างนี้ ถ้าเป็นคนคิด มันก็ไม่มีทางเลือก นอกจากสู้ ในเมืองจีนคนอายุแค่ฉัน ถ้าลงรู้จักคิดแล้ว มันก็สู้ทุกคน พวกเราเป็นอันมากได้ยืนขึ้นสู้ตามวิธีของเรา มันเป็นทางออกทางเดียว”
ข้าพเจ้านิ่งอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ก็พูดว่า
“เธอยังไม่ได้ตอบฉันเรื่องคนเดินสายกลางเป็นคนโง่ที่สุด”
หลูกวงมองตาข้าพเจ้าอย่างไม่พอใจ
“ที่ฉันว่าคนที่อยู่กลาง ๆ เป็นคนโง่ที่สุด ก็เพราะคนพวกนี้ได้แต่คิด, ไม่ทำอะไร เราถูกกดขี่เหยียบย่ำอยู่ทุกวัน เราต้องทำอะไรลงไปสักอย่างหนึ่ง เราอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้”
“เราก็ไม่อยู่นิ่ง ๆ แต่เราไม่ใช้อำนาจกับความกดขี่” ข้าพเจ้าพูดเสียงแข็ง แต่พยายามไม่ให้กร้าว เพราะไม่อยากจะทำให้เขาเกิดโทสะ
หลูกวงหน้าแดง พวกเรารู้ดีว่าเขาเป็นคนไม่ชอบให้ใครขัดแย้ง เขาต้องการพูดคนเดียว คนอื่นเป็นคนฟัง
“เธอจำไว้ ระพินทร์” เขาตะคอกอย่างดุดัน ตามอารมณ์ที่วูบเข้ามาในปัจจุบันทันด่วน “ความโลภของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด คำว่าพอไม่มี ถ้าเราไม่ใช้กำลังบังคับ การสร้างโลกใหม่ ที่ยุติธรรมกว่าโลกเก่า ก็ทำไม่ได้”
“เธอว่ายุติธรรมกว่างั้นหรือ โลกใหม่ของเธอ ?” ข้าพเจ้าถามอย่างระมัดระวังน้ำเสียง
“หรือเธอว่าไม่ยุติธรรม ?” เขามองตาข้าพเจ้าอย่างโกรธ
“โลกใหม่ของเธอ, เงินหมดอำนาจก็จริง แต่คนไม่มีเสรีภาพในการทำงาน ผลของงานก็เก็บเกี่ยวไม่ได้, ทั้ง ๆ ที่เป็นแรงงานของเขา”
“เราต้องกำจัดความโลภ” หลูกวงพูดเสียงค่อนข้างดัง
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เรื่องกำจัดความโลภ” ข้าพเจ้าแย้งต่อไป “ปัญหามันอยู่ที่การเอาเปรียบกินแรงกัน ตั้งแต่คนเริ่มเกิดมีขึ้นในโลก จนถึงปัจจุบันนี้ เราอยู่กันมาอย่างทุลักทุเล ปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนมีกินแรงคนไม่มี กฎหมายป้องกันไม่ได้ คนยากคนจนจึงมีอยู่เต็มโลก ฉันว่าทางแก้ก็คือต้องไม่ให้มนุษย์กินแรงกัน เราต้องสร้างมาตรการขึ้น แต่มาตรการนั้นไม่ใช่ไปริดรอนเสรีภาพและอิสรภาพของคน เราต้องปล่อยให้ชีวิตเติบโตตามธรรมชาติ เราต้องไม่ใช้อำนาจสกัดความเติบโตของชีวิตแต่ละชีวิต เราต้องไม่ทำให้ชีวิตเตี้ยและแคระเหมือนต้นตะโกดัด”
“เธอฝันไป, ระพินทร์ สันดานมนุษย์เราแก้ไม่ได้ถ้าไม่ใช้อำนาจ” น้ำเสียงหลูกวงเคร่งเครียดยิ่งขึ้น เขามองข้าพเจ้าคล้ายกับคนที่โกรธกันมาเป็นปี ๆ แล้วก็พูดต่อไปว่า “เราจะสร้างโลกใหม่ไม่สำเร็จ ถ้าเราไม่ใช้กำลังบังคับ ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความโลภไม่รู้พอของคนได้, นอกจากปืน”
“ปืน” ข้าพเจ้าพึมพำ
ทันใดนั้นรถฟอร์ดสีดำเก่าจวนจะพังก็แล่นออกมาจากประตูสีแดงของมหาวิทยาลัยเยียนจิง พอรถเลี้ยวจะขึ้นถนน ผู้ที่นั่งมาในรถก็หันมามองดูเรา ข้าพเจ้าสะดุ้งเมื่อสบสายตาอันคมปลาบของเขา
หลี่เค่อจ่าง สันติบาลใหญ่แห่งกรุงปักกิ่ง กำลังจ้องเราด้วยความสนใจ