- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๑๘
๑
“อ้าว จะไปไหนล่ะพี่กวง ?” เจียงเหมยก้าวเข้ามายังโต๊ะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ “นี่นัดกันไว้กับระพินทร์ใช่ไหม ?”
หลูกวงมองหน้าเจียงเหมยอย่างเฉยเมย ไม่แสดงกิริยาตื่นเต้นหรือสนใจแต่อย่างใด เขาหยิบหนังสือสองสามเล่มที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นหนีบรักแร้ แล้วก็ยิ้มนิดหนึ่งคล้ายกับเป็นคำตอบ พลางตั้งท่าจะเดินออกไป
กิริยาอันประหลาดของเขา ข้าพเจ้าต้องจ้องดูอย่างไม่พอใจนัก แต่เจียงเหมยดูจะคุ้นกับท่าทีเช่นนี้ดี จึงไม่มีปฏิกิริยาเหมือนข้าพเจ้า ราชินีแห่งเยียนจิงหัวเราะด้วยกังวานเสียงที่เต็มไปด้วยความสนุกขบขัน แล้วพูดต่อไปว่า
“วันนี้อารมณ์ไม่ดีไปอีกแล้วหรือจ๊ะ พี่กวง ? นั่งลงก่อนๆ อย่าเพ่อไปเลย ระพินทร์เขาก็อยากจะคุยกับพี่”
คล้ายกับพยายามจะรักษามารยาท หลูกวงยิ้มนิดหนึ่งที่มุมปาก ยืนตัวตรงแข็งทื่อเป็นเสาหิน แล้วก็ตอบว่า
“ฉันมีงานจะต้องทำ เธอคุยกันไปก่อนเถอะ”
“ไม่ด่วนนักไม่ใช่หรือ ?” เจียงเหมยยังคงใช้ความพยายามต่อไป
“มันเรื่องของท้อง ฉันต้องรีบเขียนเรื่องให้หนังสือพิมพ์ จะต้องเขียนให้เสร็จในวันนี้ แล้วก็–” เขาหยุดนิดหนึ่ง “–จะต้องเบิกเงินค่าเขียนให้ได้ในวันนี้ด้วย เสื้อของฉันขาดหมดแล้ว นี่ไง เห็นไหม ?” เขากระแทกเสียงแล้วชูแขนให้ดูรอยขาดที่ข้อศอก
“ขอสัก ๑๐ นาทีก็ไม่ได้หรือ ?” หญิงสาวหัวเราะ
“ไม่ได้” น้ำเสียงของเขาห้วนจนน่าเกลียด “ฉันต้องรับผิดชอบท้องของฉัน เธอมีทางบ้านช่วยรับผิดชอบ เธอก็มีเวลาไปโล้เรือเล่นได้ที่เป่ห่าย ส่วนฉัน–” เขาครางในคอ “–มันพวกน้ำเย็นลูบท้องต้องกินหมานโท่วกับน้ำ ไม่ต่างกับชาวนาทั่วประเทศที่ถูกนายทุนมันขูดเลือด ฉันใช้เวลาฟุ่มเฟือยอย่างเธอไม่ได้หรอก แม่น้องสาว”
สีหน้าของเจียงเหมยเปลี่ยนไปเล็กน้อย คำพูดของหลูกวงแข็งกร้าวและดุดัน เต็มไปด้วยอารมณ์อันเคร่งเครียด ข้าพเจ้าถอนใจเบา ๆ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร พอฟังภาษาปักกิ่งออกบ้างแล้ว จึงเข้าใจความมุ่งหมายของหลูกวงดี เขาฉวยโอกาสด่าฝ่ายที่เขาเกลียด เขาสะกดปฏิกิริยาไว้ไม่ได้
“เอาละ ท้องของพี่สำคัญกว่าเพื่อนฝูง ฉันไม่เอาตัวพี่ไว้ละ เชิญได้ตามสบายพี่กวง” เจียงเหมยพูดอย่างเยือกเย็น แต่เด็ดขาดในตัว
น้ำเสียงที่ค่อนข้างเครียดของหญิงสาวทำให้บุรุษผู้เลี้ยงหนวดเคราไว้เต็มหน้าหยุดคิดคล้ายกับจะเกิดความห่วงใยในมิตรภาพที่เคยมีต่อกันมาตลอดเวลาที่อยู่ในเยียนจิง เจียงเหมยเห็นดังนั้นก็พูดว่า
“ไม่ต้องเกรงใจ รีบไปเขียนหนังสือทำมาหากินของพี่เถอะ ฉันเข้าใจพี่ดี”
“เธอคงคิดว่าฉันอยู่เพื่อเงิน” เขาพูดเสียงอ่อยเหมือนจะครางออกมา
“เปล่า ฉันไม่ได้คิด ฉันรู้ดี พี่อยู่เพื่อท้อง” เจียงเหมยตอบสวนขึ้นทันที “แล้วก็–ฉันยังรู้อีกว่าพี่อยู่เพื่อท้องของคนทุกคน”
ประกายตาของหลูกวงลุกวาวเหมือนกับถูกแทงที่ใจดำ เขาหัวเราะหึ ๆ คล้ายกับจะพอใจที่ได้ยินเจียงเหมยพูดว่าเขาอยู่เพื่อท้องของคนทุกคน
“ตั้งแต่เราคบกันมาที่เยียนจิง ฉันเพิ่งได้ยินเธอพูดความจริงวันนี้เอง” เสียงของหลูกวงละมุนละไมขึ้น
“แปลว่าที่แล้ว ๆ มาฉันโกหกตลอดเวลาใช่ไหม ?” หญิงสาวสวนขึ้นทำหน้าตาขึงขังด้วยอารมณ์สนุก
“เธอไม่ได้โกหก แต่เธอไม่เข้าใจ” หลูกวงตอบน้ำเสียงเครียด “เธอคิดว่าฉันเป็นคนบ้า !”
“ตายแล้ว ! ฉันไม่เคยคิด” เจียงเหมยร้องเอะอะ
“เธอคิด เธอคิดอยู่ตลอดเวลา แต่เธอมีมารยาทดีที่จะไม่พูดเท่านั้นเอง”
“แต่ฉันไม่ได้คิดว่าพี่เป็นบ้านี่จ๊ะ”
หลูกวงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วพอใช้ทีเดียว
“เธอคิดว่าฉันสร้างวิมานในอากาศ คนที่ชอบสร้างวิมานมันก็ต้องเป็นคนบ้า แต่ฉันไม่ได้สร้างวิมาน ฉันสร้างโลกที่ชาวไร่ชาวนาควรจะอยู่กันได้อย่างมีความสุข ฉันไม่สร้างวิมานให้เทวดาอยู่”
“ปรัชญาของพี่ฉันไม่เคยคัดค้าน แต่ฉันไม่เข้าใจในบางเรื่องบางอย่าง”
“อะไรล่ะที่เธอไม่เข้าใจ ?”
“มันไม่สนุกหรอกที่เราจะมาพูดถึงเรื่องหนัก ๆ อย่างนี้”
“ฉันไม่แปลกใจ เธอว่ามันเป็นเรื่องหนัก มันหนักแน่สำหรับคนที่สบายแล้ว ไม่ต้องการจะคิดอะไรให้หนักสมอง ไม่ต้องการจะคิดถึงใครทั้งนั้น นอกจากตัวเอง”
“ยอมแพ้–ฉันยอมแพ้” เจียงเหมยร้องเสียงดัง “เอาละเป็นอันว่าพี่คิดต่อไป ฉันจะเป็นคนดู”
หลูกวงขยับหนังสือที่หนีบไว้กับรักแร้ ถอนใจดังเฮือกแล้วก็เดินออกไปโดยไม่ร่ำลา
๒
ข้าพเจ้านั่งฟังคนทั้งสองโต้เถียงกันด้วยความสนใจ แม้ข้าพเจ้ายังรู้ภาษาไม่พอ แต่ก็พอจะจับเค้าได้ว่าเขาพูดอะไรกัน เจียงเหมยนั่งลงยังเก้าอี้ตัวที่หลูกวงนั่งอยู่เมื่อตะกี้แล้วพูดว่า
“เธอฟังออกไหมจ๊ะ ระพินทร์”
“ออกบ้าง” ข้าพเจ้าตอบยิ้ม ๆ “คนอย่างหลูกวงฉันจะต้องพบเขาอีก เขาเป็นคนที่เราควรจะสนใจ คนแบบนี้ประมาทไม่ได้”
“ทำไม ?”
“สมัยเมาเซตุงเป็นครูสอนนักเรียนชั้นประถมที่หูหนาน เราก็มองข้ามเขาไป สมัยที่เขานอนอ่านหนังสือสวยหู่จ้วน
“เธอหมายความว่ากระไร ?” เจียงเหมยถามอย่างไม่เข้าใจ
“คนอย่างหลูกวงเป็นคนมีอนาคต” ข้าพเจ้าตอบ “เขาจะไปตายหรือไปเป็นอะไรขึ้นมาเป็นเรื่องของเขา แต่เขาก็เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง ซึ่งถ้าปล่อยให้กระเด็นลงไปในน้ำ น้ำมันจะต้องกระเพื่อม หรือถ้าเคราะห์ร้ายมากพอ มันก็จะต้องเกิดคลื่นลูกใหญ่ ๆ โลกจะยุ่งก็เพราะคนแบบหลูกวง”
“แต่เขาเคยบอกฉันว่าเขาจะเป็นคนปลดแอกเมืองจีน”
“นั่นแหละมันต้องยุ่งแน่”
“แต่มันก็น่าเห็นใจนะ ระพินทร์” เจียงเหมยโคลงศีรษะแล้วถอนใจยาว “เมืองจีนเรามีทั้งแอกทั้งขื่อคา การปฏิวัติของ ดร. ซุนเป็นการเปลี่ยนตัวฮ่องเต้มาเป็นตัวประธานาธิบดีเท่านั้น แอกกับขื่อคายังคงมีอยู่ ชาวนาต้องเสียข้าวครึ่งหนึ่งเป็นค่าเช่าที่ดิน อีกครึ่งหนึ่งเป็นค่าภาษีและค่ารีดไถ ตัวเองไม่มีอะไรเหลือ ต้องกินแกลบ แต่แกลบกินไม่ได้ ก็ต้องกู้เขามากิน หนี้ก็เลยท่วมเพราะดอกเบี้ยมันเดินเหมือนนาฬิกา นี่แหละแอก แล้วพวกนายพลที่เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาเพราะการปฏิวัติ ก็พากันทำมาหากินอยู่บนหลังของราษฎรกอบโกยโกงกิน รับสินบน คอร์รัปชั่นสารพัด นี่แหละขื่อคา พวกคอมมิวนิสต์ชอบใจ เพราะหาสาเหตุสำหรับอ้างได้ง่ายขึ้นว่าทำไมจึงต้องลุกขึ้นยึดอำนาจ เขาว่าเขาเข้ามาปลดแอก–ปลดขื่อคา เพราะเขาเป็นนักบุญ”
“นักบุญ” ข้าพเจ้าหัวเราะ “นักบุญที่ทำลายชีวิต ทำลายเสรีภาพ ทำลายสันติภาพ”
“นั่นเป็นวิธีของเขา ต้องทำลายเสียก่อน จึงจะสร้างได้”
“เธอเห็นว่าถูกต้องแล้วหรือ ?”
“ฉันไม่เคยเห็นด้วย แต่มันเป็นทางออกทางเดียวที่เขามองเห็น”
“มันควรจะมีทางออกทางอื่นที่ดีกว่า”
“มันก็ควรจะมี แต่มันยังไม่มี”
“มันต้องมี” ข้าพเจ้าพูดอย่างมั่นใจ
“แต่ฉันเห็นว่า ถ้ามนุษย์ยังไม่หยุดเบียดเบียนกินแรงกัน มันก็ต้องฆ่ากันไม่มีที่สิ้นสุด” เจียงเหมยถอนใจเบา ๆ
“วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า...ศาสนาพระศรีอาริย์ แล้วก็ไฟบัลลัยกัลป์... โลกจะเป็นขี้เถ้า... อาจจะจริงของเธอ” ข้าพเจ้าพูดแล้วก็หัวเราะ
๓
เจียงเหมยช่วยข้าพเจ้าค้นหนังสือได้หลายเล่ม เกี่ยวกับความเจริญของพวกจีนในลุ่มแม่น้ำเหลือง ตั้งแต่ยุคจารึกตัวหนังสือรูปภาพที่เป็นรากเง่าของตัวหนังสือจีนไว้บนกระดองเต่าและเศษกระดูกมาจนถึงยุคหนังสือไม้ไผ่ หนังสือบางเล่มเป็นภาษาจีนโบราณเจียงเหมยก็แปลและอธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง เราใช้เวลาอยู่ในหอสมุดจนบ่าย ข้าพเจ้าทำบันทึกจากคำอธิบายของหญิงสาวไว้ได้หลายหน้า เมื่อเราเหน็ดเหนื่อยกันพอแล้ว ข้าพเจ้าก็เชิญเจียงเหมยออกไปกินน้ำชาในอุทยานเป๋ห่ายข้าง ๆ ถูซูก่วน เราเลือกโต๊ะริมน้ำใต้เงาสนอันร่มเย็น มีชายหนุ่มหญิงสาวหลายคู่เช่าเรือกรรเชียงเล่นในทะเลสาบน้อย ๆ ที่สร้างขึ้นในยุคฮ่องเต้ เจียงเหมยแจ่มใสชื่นบานกว่าทุกครั้ง แก้มของเธอมีสีชมพู เปล่งปลั่งเต็มไปด้วยชีวิต เธอทำให้เป๋ห่ายสวยงามมากขึ้นอีก ข้าพเจ้ารู้สึกว่าโลกในปักกิ่งสดชื่นรื่นรมย์ยิ่งกว่าทุกวัน
เราคุยกันถึงเรื่องดอกไม้และนกในจีนเหนือ ต่อมาข้าพเจ้ากเล่าเรื่องเมืองไทยให้ฟัง เจียงเหมยสนใจกับชีวิตของข้าพเจ้ามากจนทำให้ข้าพเจ้าต้องพยายามหาเหตุผลว่าเพราะเหตุใด แต่ข้าพเจ้าก็ไม่พบเหตุผลที่ควรจะพอใจได้ ตอนหนึ่งเจียงเหมยถามว่า
“ระพินทร์จ๊ะ เธอกลับเมืองไทย เธอจะทำอะไร ?”
“ฉันมาเรียนโดยทุนรัฐบาล ฉันก็คงจะต้องกลับไปทำงานรัฐบาล” ข้าพเจ้าตอบ
“เป็นคนใหญ่คนโต”
“ก็อยากจะเป็น เพราะมนุษย์เรามันยังมีกิเลส ก็ต้องอยากบ้าดูบ้าง”
“ถ้าเธอเป็นคนใหญ่คนโต เธอจะทำอะไรให้เมืองไทย ?” เจียงเหมยถามต่อไป
ข้าพเจ้าส่ายหน้า
“อยากจะทำหลายอย่าง แต่คงทำไม่ได้”
“ทำไม ?”
“เธอคงรู้จักโปรเฟสเซอร์หวูมี่ ท่านก็อยากจะทำอะไรหลายอย่างให้แก่เมืองจีน แต่ทำไม่ได้ เธอก็คงรู้แล้ว”
“ฉันถามเธอว่าทำไม ?” เจียงเหมยจ้องตาข้าพเจ้า
“อ้าว ฉันก็ตอบเธอแล้วว่า เธอก็คงรู้แล้วว่าโปรเฟสเซอร์หวูมี่เหตุไรจึงทำอะไรไม่ได้”
“แล้วเธอเองล่ะ เธอจะทำอะไรให้แก่ชีวิตของเธอ ?”
“ชีวิตของฉันไม่ต้องการอะไร ฉันพอใจกับสิ่งที่ฉันมีอยู่ ถ้าฉันจะต้องเป็นข้าราชการ ก็จะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด แต่ถ้าฉันมีความฉลาดน้อยไปที่จะเป็นข้าราชการได้สำเร็จ ฉันก็จะเขียนหนังสือขาย”
“ดี เขียนหนังสือขายดีแน่ เธอคงจะรวยมาก”
“ในเมืองไทย เราไม่ร่ำรวยเพราะเขียนหนังสือขาย อย่างดีก็เพียงไม่อด คนที่รวยไม่ใช่คนเขียน แต่เป็นคนขาย”
“อ้อ, ยังงั้นหรือ ? ถ้าเช่นนั้นเธอก็ไม่ควรเขียนหนังสือ”
ข้าพเจ้าหัวเราะในคอ นิ่งอยู่สักครู่ก็ตอบว่า
“มันเป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ฉันเกิดมาแล้วต้องการเขียนหนังสือ แต่ถ้าไม่ใช่กรรมเก่าก็เป็นความโง่ที่บัดซบมาก”
“ไม่เข้าใจ !” เจียงเหมยยิ้ม แววตาเป็นประกาย
“งั้นหรือ ? จะบอกให้ก็ได้ การเขียนหนังสือต้องการเสรีภาพ ถ้าเราชอบเขียนหนังสือทั้ง ๆ ที่ไม่มีเสรีภาพที่จะเขียน มันก็เป็นเรื่องของกรรมเก่า หรือความโง่”
“เธอดูจะเป็นคนน่าสงสารมากทีเดียว ระพินทร์” เจียงเหมยสบตาข้าพเจ้าด้วยความรู้สึกที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ “แต่ฉันว่าเธอเป็นข้าราชการดีกว่า”
“คุณพ่อต้องการให้ฉันเป็นใหญ่เป็นโต ท่านขอให้ฉันเป็นข้าราชการ ในเมืองไทยพวกข้าราชการไปไหนคนยกย่องยำเกรง ถ้าไกลเมืองหลวงหน่อยก็กราบกรานกันแบบหมอบราบคาบแก้ว เขาถือเป็นเจ้าขุนมูลนาย ฉันว่าเป็นข้าราชการมันก็โก้ดี ก็อยากจะลองเป็นดูสักหน่อย”
“เธอคงชอบโก้ ?”
“เป็นเรื่องของกิเลส”
เมื่อพูดจบข้าพเจ้าก็หัวเราะ แต่เจียงเหมยเปลี่ยนสายตาจากหน้าข้าพเจ้าไปยังโต๊ะอีกตัวหนึ่ง ข้าพเจ้ามองตามไปก็เห็นเหลียงนักเรียนบอสตัน คนสนิทของวารยา นั่งอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างหน้าตาสวยพอใช้ทีเดียว
เมื่อเห็นเจียงเหมยแสดงความสนใจ ข้าพเจ้าก็กระซิบถามว่า
“ใคร ?”
“มิสหวาง”
“ใคร–มิสหวาง ?”
“นักเรียนจบภาษาอังกฤษที่เยียนจิงปีกลาย อีกคนหนึ่งคือเหลียง”
“ฉันรู้จักเหลียง”
“เธอรู้มากกว่านี้ไหม ?” เจียงเหมยกระซิบ “อีกหน่อยหนังสือพิมพ์ก็จะต้องเอาไปทำข่าวสังคม”
“อะไร ?”
“เขาจะแต่งงานกัน”
ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีอะไรมากระทบหัวใจอย่างแรง เหลียงจะแต่งงาน ! แล้ววารยาเล่า ?
-
๑. หมายเหตุ คือเรื่อง ‘ซ้องกั๋ง’ หนังสือที่เมาเซตุงอ่านหลายสิบจบในสมัยหนุ่ม–ผู้เขียน ↩