บทที่ ๒๘

จดหมายของประนุททำให้ข้าพเจ้าลืมเหตุการณ์ที่หน้าตึกนอนของเจียงเหมยไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่พอหลังอาหารค่ำ บัวก็สะกิดเอาเรื่องสนานขึ้นมาโดยไม่เจตนา ทำให้ข้าพเจ้าต้องกลับไปคิดถึงคำพูดและท่าทีของสนานขึ้นมาอีก รู้สึกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้แสดงความชาเย็นต่อข้าพเจ้า ซึ่งทำให้คิดไปว่า ทายาทพ่อค้าใหญ่ที่เยาวราชผู้นี้คงจะไม่ชอบใจที่ข้าพเจ้าให้ความสนใจต่อเจียงเหมยราชินีของเขา

แต่คำพูดของบัว ได้ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความลำเอียง อยากจะคิดว่าท่าทีของสนานที่หน้าตึกนอนของเจียงเหมยในวันนั้น คงจะไม่เกิดเพราะข้าพเจ้าได้แสดงความสนใจต่อราชินีของเยียนจิง หากคงจะเกิดเพราะสนานอาจเสียขวัญที่ถูกสันติบาลเรียกตัวไปสอบถาม เรื่องที่ถูกสอบถามก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับหลูกวง บัวเล่าว่าหลูกวงได้พูดในที่ประชุมนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยฝู่เหรินเมื่อสองวันก่อน ตำหนิติเตียนนโยบายเข่าอ่อนของรัฐบาลนานกิง ซึ่งสันติบาลได้เอาตัวหลูกวงไปเก็บไว้สองคืนจึงปล่อยออกมา ต่อจากนั้นมิตรสหายของหลูกวงก็ถูกเรียกตัวไปสอบถามด้วย รวมทั้งสนาน เจียงเฟรู้เรื่องละเอียด ได้นำมาเล่าให้บัวฟังเมื่อเช้าวันเสาร์ตอนที่ข้าพเจ้าเดินทางไปเยียนจิง เจียงเฟบอกว่าสนานจะต้องอยู่ในข่ายที่ตำรวจตั้งข้อสงสัยแล้ว เขาจึงห่วงไปถึงน้องสาวซึ่งเป็นที่รู้กันว่าสนิทสนมกับสนานมาก

“ผมรู้สึกว่าเจียงเฟไม่ค่อยชอบสนานนัก” บัวเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง “เขาอึดอัดใจเรื่องเจียงเหมย ที่นี่ใครถูกสงสัยว่าเป็นเลฟท์มักจะอายุไม่ยืน”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“ผมพบสนานที่เยียนจิง เขามีท่าทีชอบกล เดิมคิดว่าเขาคงไม่ชอบที่ผมไปพบเจียงเหมย แต่คุณเล่าเรื่องตำรวจเอาตัวสนานไปสอบ ผมก็เข้าใจว่าสนานต้องเสียขวัญแน่... เขาคงกลัวเจียงเหมยจะโกรธเอาก็ได้เรื่องหลูกวง”

“อ้อ, คุณดอดไปพบราชินีดอกเหมยมาอีกแล้วหรือ?” บัวหัวเราะอย่างสนุกตามอารมณ์อันร่าเริงของเขา “ถามเพื่อความฉลาดของผมสักนิดเถอะ ระหว่างเจียงเหมยกับวารยา คุณว่าคุณควรจะเลือกใคร ?”

“เลือก” ข้าพเจ้าเลิกคิ้วทวนคำ “ผมไม่เลือกใคร คุณเข้าใจผิดตามเคย ผมไม่ได้มาปักกิ่งเพื่อจะเลือกผู้หญิง ผมมาเพื่อจะหาความรู้”

“ผู้หญิงก็มีความรู้ให้คุณหาไม่ใช่หรือ ?”

“ใช่ ถ้าคุณเข้าใจให้ถูกต้อง ทุกอย่างในปักกิ่งผมสนใจหาความรู้ทั้งนั้น แม้แต่ฝุ่นที่พายุพัดมาจากทะเลทรายโกบี”

“ผมว่าคุณสนใจกับฝุ่นจะดีกว่า เพราะนายเหลียงเขาไม่สนใจ และนายสนานแกก็ไม่สนใจ”

ข้าพเจ้าหัวเราะ

“คุณชอบเต้นรำ เมื่อคืนคุณก็ไปที่มอริสสัน”

“เนื้อนุ่ม ๆ ของผู้หญิง, น้ำหอม, เพลง, เบียร์ หรือไม่ก็ว้อดก้า, ผมชอบ”

“ทำไม ?”

“อ้าว, ก็ชอบนะซี ถามได้ ใจมันได้พัก”

“ใจผมก็ได้พัก”

“เวลาคุณเต้นรำ ?”

“ผมไม่เคยพักทั้งใจและกายในห้องเต้นรำ”

“งั้นคุณพักกับอะไรล่ะ ? อ๋อ ผมเข้าใจ” บัวหัวเราะอีก

“ก็ดีแล้วที่คุณเข้าใจ ผมชอบคุยกับผู้หญิง แล้วผู้หญิงที่ผมคุยต้องเป็นคนคุยรู้เรื่อง ไม่ใช่คุยเปะปะ ไม่มีสาระอย่างผู้หญิงในโรงเต้นรำ”

“แปลว่าผมเป็นคนคุยไม่มีสาระ ?”

“ผมไม่ได้ว่าคุณ”

บัวหัวเราะหึ ๆ อยู่ในคอ

“คนเราก็มีความสุขไปคนละอย่าง ผมชอบเต้นรำ คุณชอบคุยกับผู้หญิงสวย ๆ หลูกวงชอบปฏิวัติ จรินทร์ชอบท่องโลก คนบ้าชอบพูดคนเดียวมันก็น่าเห็นใจ ความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน เมื่อวานผมได้รับจดหมายจากนายโอ๋ หัวหน้าพรรคทรงมะนาวตัด กระทรวงธรรมการ เขาบอกว่าเขากำลังมีความสุข เพราะได้เมียคนที่สี่ เขาไม่ใช่ชาวเมืองเมกกะแต่ก็ต้องมีให้ครบ ผมก็ได้ความรู้ใหม่อีกอย่างหนึ่ง การมีเมียมาก ๆ มันเป็นความสุขของนายโอ๋”

“เขาถามถึงผมหรือเปล่า ?”

“ไม่เห็นพูดถึง เขาเป็นแต่บอกว่าเพื่อนของคุณกำลังคลั่งเสรีภาพ รัฐบาลอาจจะต้องปิดหนังสือพิมพ์ที่เขาเขียน”

“ใคร ?”

“เทวัน”

“เทวัน” ข้าพเจ้าทวนคำแล้วก็มองเห็นภาพของหนุ่มนักประพันธ์และนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งที่เคยเล่นลูกหนังกันมาในสนามหญ้าเทพศิรินทร์ “เขาเคยเขียนถึงผม เทวันเป็นคนดี แต่ความดีมันต้องหมายถึงเวลากับสถานที่ด้วย บางทีเมืองไทยอาจยังไม่พร้อมที่จะมีเสรีภาพอย่างฟุ่มเฟือยเหมือนประเทศอื่น ๆ ก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็ต้องการเสรีภาพ”

“คุณไม่เห็นด้วยกับเทวัน ?” บัวมองหน้าข้าพเจ้า

“ผมไม่ใช่ไม่เห็นด้วย ผมต้องการเสรีภาพ แต่มันมีปัญหาว่าเราจะใช้เสรีภาพกันอย่างไร ถ้าเรามี”

เรื่องของสนาน ตั้งเรืองแสง ผู้มีรกรากอยู่ในกรุงเทพพระมหานครเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าสนใจ ที่ต้องสนใจก็น่าจะเป็นเพราะเหตุผล ๒ ประการ ประการแรก สนานจะต้องกลับเมืองไทยเหมือนข้าพเจ้า เขาไม่ควรจะพาความคิดของหลูกวงติดเข้ามาด้วย ประการหลัง สนานรักเจียงเหมย และเจียงเหมยก็พอใจที่จะให้ความสนใจในตัวเขา ถ้าสนานมีความคิดเหมือนหลูกวง เจียงเหมยจะทำอย่างไร คำบอกเล่าของบัวซึ่งรับทราบมาจากเจียงเฟอีกต่อหนึ่ง ได้วาดภาพอนาคตของสนานให้ข้าพเจ้าเห็นได้ราง ๆ หนุ่มนักกีฬาผู้นี้อาจจะกลับไม่ถึงเมืองไทยก็ได้ หรือถ้าเขาคิดจะกลับเมืองไทย เขาก็อาจจะต้องหนีตำรวจกลับเสียก่อนจะได้ปริญญา แล้วเจียงเหมยเล่าเขาจะจัดการอย่างไร ?

ข้าพเจ้าออกไปเยี่ยมนายหลอชางในวันรุ่งขึ้น พบนายโจวกวอเสียนที่นั่น นายหลอชางเป็นการ์เดียนของข้าพเจ้า ส่วนนายโจวกวอเสียนผู้เฒ่าเคยเป็นทูตจีนประจำเมืองญวน เราคุยกันถึงแมนจูเรียซึ่งกำลังจะกลายเป็นภูเขาไฟลูกใหม่ในตะวันออก แล้วก็วกมาหาเรื่องโซเวียตไชน่าของเมาเซตุงในหูหนาน และจังหวัดภาคใต้ลำน้ำแยงซีเกียง ข้าพเจ้าเอ่ยถึงหลูกวงกับสนาน ทูตมือเก่าก็พูดว่า

“รัฐบาลจะต้องรบกับเด็กพวกนี้ไปอีกนาน เวลานี้พวกซ้ายมีอยู่ทุกมหาวิทยาลัย ตำรวจจะต้องทำงานหนัก ยิ่งถ้าเกิดเรื่องญี่ปุ่นยึดแมนจูเรียจริง ๆ ก็จะแย่มากขึ้น เพราะอะไร เธอรู้ไหม ?”

ข้าพเจ้าสั่นศีรษะมองหน้านักการเมืองมือเก่าอย่างรอคำตอบ

“พวกคอมมิวนิสต์ในมหาวิทยาลัยก็จะต้องคอยยุแหย่ให้พวกนักศึกษาทำเรื่องขึ้นอีกอย่างที่เคยทำมาแล้ว เมื่อปี ๑๙๑๙”

“หวู่ซื่อยุ่นตุ้งหรือครับ ?” ข้าพเจ้าถามสวนขึ้น

โจวกวอเสียนพยักหน้า

“หวู่ซื่อยุ่นตุ้ง–ใช่ นั่นแหละฝีมือพวกคอมมิวนิสต์เมื่อปี ๑๙๑๙ แต่ฉันว่าตอนนั้นเขาทำถูก เราถูกฝรั่งมันต้ม อย่าเรียกว่าต้มเลย เรียกว่าโกงก็ได้ เธอคงจะยังเล็กอยู่เวลานั้น”

“ผมเกิด ๑๙๐๘”

“เธอเพิ่งอายุได้ ๑๑ ขวบกระมัง ?”

“ครับ ผมกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมสองโรงเรียนเทพศิรินทร์”

“ฉันเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยจีนาน แต่ก็เอากับเขาด้วยเหมือนกัน เพราะมันทนไม่ได้” โจวกวอเสียนหัวเราะอย่างสนุก “ก็คิดดูซี ตอนเกิดสงครามโลกครั้งแรก สงครามไกเซ่อร์น่ะ เราก็ช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรเต็มที่ มันเอากรรมกรของเราไปขุดสนามเพลาะไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ตายกันเป็นแพ พอสงครามเกิดได้ไม่กี่เดือน ญี่ปุ่นก็เข้ายึดเมืองซิงเตาในแหลมชานตุงเขตเช่าของเยอรมัน ถือว่าญี่ปุ่นได้ประกาศสงครามกับเยอรมันแล้วก็จะเข้าครองเขตเช่าแทน ก็มันเรื่องอะไรล่ะ ประกาศก็ประกาศไปซี ทำไมถึงจะต้องมายึดซิงเตา นี่มันเรื่องของเราแท้ ๆ แล้วก็พอรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง ค.ศ. ๑๙๑๕ ญี่ปุ่นก็ยื่นคำขาดให้จีน ๒๑ ข้อ หนอยแน่ พ่อยวนซีไขก็รับเอาเลย มันก็เท่ากับชายชาติ ไอ้คำขาด ๒๑ ข้อนี่มันทำให้เมืองจีนกลายเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นไป เสร็จแล้วเท่านั้นยังไม่พอ ญี่ปุ่นกลับไปขอให้ อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อิตาลี, รัสเซีย ช่วยเป็นเสียงให้ในที่ประชุมสงบศึกเตรียมกินโต๊ะเมืองจีนกันให้อิ่ม จีนรีบประกาศสงครามกับเยอรมันตอนสงครามจวนจะเลิก เพื่อเอาสิทธิเรียกร้องความเป็นธรรมที่โต๊ะประชุมสันติภาพ พอสงครามเลิกประธานาธิบดีวิลสันของอเมริกาก็ประกาศหลักการสงบศึก ๑๔ ข้อ ให้ความเป็นธรรมแก่ชาติเล็กและชาติที่ถูกรังแกเต็มที่ เราก็หวังพึ่งนายวิลสัน แต่ที่ไหนได้พวกมหาอำนาจในยุโรปคว่ำบาตรนายวิลสันหมด ดันไปเข้ากับญี่ปุ่น จะให้เราเซ็นสัญญายอมรับรองสิทธิของญี่ปุ่นเยอะแยะในเมืองจีน เราก็เลยกลายเป็นแตงโมลูกใหญ่ ๆ ที่เขาคิดะผ่ากินกันที่โต๊ะประชุมในปารีสสนุกไปเลย แบบนี้ใครจะไม่โมโห พวกเด็ก ๆ แกก็เอากันใหญ่ ครูอาจารย์ก็เอากับแกด้วย เราเดินขบวนคัดค้านจนรัฐบาลจีนไม่กล้าเซ็นสัญญา แต่แล้วเราก็รู้ว่าพวกคอมมิวนิสต์เป็นตัวการยุแหย่ให้เดินขบวน แต่มันเป็นประชามติ”

“ตอนนั้นเมาเซตุงไปอยู่ไหนครับ ?” ข้าพเจ้าถามสวนขึ้น

โจวกวอเสียนนิ่งนึกสักครู่แล้วก็ตอบว่า

“ก็อยู่ในหูหนานน่ะซี ตอนนั้นเมาเซตุงมีอายุได้ ๒๖ ปีเท่านั้น กำลังปั่นหัวนักเรียนให้จับกลุ่มกันเป็นสมาคมลับ เขาแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ ๑๐ คน เพื่อไม่ให้เอิกเกริก ดูเหมือนมีสมาชิกนักเรียนตั้งสี่ร้อยกลุ่ม พวกนี้ส่วนมากกลายเป็นคอมมิวนิสต์ไปหมด เมาเซตุงนี่มีคนเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งแกไปพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในมณฑลหูหนาน แกบังเอิญไปพบลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมเข้า ผู้หญิงคนนั้นเป็นหมอดู คือดูลักษณะที่เรียกว่าดูโหงวเฮ้งนั่นแหละ แกก็ขอให้ผู้หญิงคนนั้นพยากรณ์ หมอดูพิจารณารูปร่างหน้าตาของแกแล้วทายว่าแกจะได้เป็นเจ้าใหญ่นายโต เป็นประธานาธิบดีก็เป็นได้ หรือจะเป็นหัวหน้าโจรก๊กใหญ่ ๆ ก็ได้เหมือนกัน เป็นคนมีวาสนา แต่ใจเหี้ยมทรหดสามารถ ฆ่าคนได้เป็นแสน ๆ ล้าน ๆ อย่างหน้าตาเฉย หมอว่าถ้าแกผ่านอายุสามสิบห้าไปได้โดยไม่ถูกฆ่าตายเสียก่อน แกจะได้เป็นใหญ่ จะดีตลอดชีวิตจนตาย เมาเซตุงก็ถามเรื่องความรัก–ก็เรื่องเมียนั่นแหละ แม่หมอก็ทายว่าแกจะมีรักมาก จะมีเมียถึงหกคน แต่มีลูกไม่กี่คน แต่ว่าจะอยู่กับเมียไม่ยืด จะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอ เรื่องบ้านที่อยู่แม่หมอทายว่าแกจะไม่ได้อยู่ที่บ้านเกิด จะเร่ร่อนไปไม่เป็นที่ จะไม่มีบ้านของตัวเองที่แน่นอนเหมือนคนทั่ว ๆ ไป คำพยากรณ์ของยายหมอคนนี้มันก็ถูกมามากแล้วนะเธอ เวลานี้เมาเซตุงก็มีอายุได้สามสิบกว่าแล้ว–สามสิบเจ็ดเห็นจะได้ เพราะแกเกิด ค.ศ. ๑๘๙๓ นี่ก็เลยสามสิบห้ามาแล้ว แกก็ยังไม่ตาย เวลานี้แกก็กลายเป็นคอมมิวนิสต์ใหญ่ มีกองทัพ มีรัฐบาลของตัวเอง พิมพ์ธนบัตรใช้เอง เก็บภาษีเอง เป็นเจ้าชีวิตอยู่ในหูหนานเจียงซีและฝูเจี้ยน แกก็น้อง ๆ สตาลินเข้าไป สามารถสร้างเมืองคอมมิวนิสต์ซ้อนเมืองจีนขึ้นมาจนได้ เจียงไคเช็คส่งทหารไปรบแกหลายครั้ง ก็ยังมีแกไม่แตก ฉันว่าโชคมนุษย์มันก็ประหลาดนะเธอ เมื่ออายุได้ ๒๕ ปี เมาเซตุงขึ้นมาที่ปักกิ่งอย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องกินหมานโท่วกับน้ำ–อีกสองปีต่อมาก็ขึ้นมาอีก มันก็เรื่องวุ่น ๆ ของแกน่ะแหละ คราวนี้ก็ถังแตกอีก ตอนอยู่เซี่ยงไฮ้ก็ถึงขนาดถอดเสื้อหนาวเข้าโรงจำนำ–ยอมเดินหนาวสั่นอยู่กลางถนน แต่ตอนนี้พออายุได้ ๓๗ แกกลายเป็นเจ้าชีวิตของคนจีนทั้งสามมณฑลจะสั่งยิงเป้าใครก็ได้ เป็นสตาลินของเมืองจีน ฉันก็ไม่รู้ว่าเจียงไคเช็คจะไล่แกออกไปได้ยังไง ไล่ยิงกันมาตั้งหลายปีแล้วก็ยังเอาแกไม่ลง”

“ท่านทูตคิดว่าพวกนักศึกษาที่นี่ เป็นพวกเมาเซตุงมากไหมครับ ?” ข้าพเจ้าถาม

“ใครจะไปรู้ มันใต้ดินกันทั้งนั้น” โจวกวอเสียนส่ายหน้า “แต่ฉันว่าก็ต้องมีบ้าง เช่นนายหลูกวงที่เธอออกชื่อมาเมื่อกี้ ฉันเคยได้ยินพวกตำรวจเขาพูดถึงเหมือนกัน อ้อ, แล้วเธอว่ายังมีใครอีกคนหนึ่งนะที่เธอว่าเป็นพวกนายหลูกวง”

“ชื่อสนานครับ”

“สนาน ?” อดีตทูตญวนมองหน้าข้าพเจ้า “ไม่ใช่ชื่อจีนนี่ !”

“เป็นคนจีนเกิดในเมืองไทยครับ”

“อ้อ, รกรากอยู่ในเมืองไทยหรือ ?”

“อยู่ในกรุงเทพฯ ครับ พ่อเป็นพ่อค้าใหญ่”

“ระวังให้ดี แกจะเอาเชื้อโรคเมาเซตุงไปเผยแพร่ในกรุงเทพฯ”

“ครับ, ก็น่ากลัว”

“เมืองไทยมีคอมมิวนิสต์ไหม ?”

“ผมก็ไม่ทราบครับ ตอนผมจากมาก็ยังไม่มีวี่แวว”

“แต่คอมมิวนิสต์ก็เหมือนเชื้อโรค ที่ไหนก็มี เพราะสังคมของโลกยังเป็นสังคมที่อมโรค เรายังจะต้องแก้ไขกันอีกมากแต่ไม่ใช่แก้ด้วยวิธีจับคนไปยิงเป้าหรือจับคนไปเป็นทาส ฉันรู้สึกว่าพวกเด็กของเราที่นี่มักมีแต่อารมณ์ ไม่ค่อยจะคิดถึงเหตุผล มันจึงวุ่นวายกันไม่รู้จักจบ นี่ถ้าญี่ปุ่นยึดแมนจูเรียซึ่งฉันก็แน่ใจว่าเขาต้องยึดแน่ไม่ช้าก็เร็ว คอมมิวนิสต์อย่างหลูกวงก็จะต้องยุให้นักเรียนเดินขบวนเพื่อบีบบังคับรัฐบาลให้รบญี่ปุ่นก่อนเวลา ถ้ารัฐบาลต้องรบญี่ปุ่นก็แปลว่าต้องถอนทหารออกจากหูหนาน ปล่อยให้เมาเซตุงได้พักเหนื่อย เตรียมตัวขยายเมืองคอมมิวนิสต์ออกไปอีก หลูกวงคงจะต้องได้รับนโยบายเดินขบวนแบบเมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๙ มาจากเมาเซตุงแล้วก็ได้ อีกไม่ช้าเราก็จะเห็นปักกิ่งนองเลือด–ตำรวจจะต้องตะลุมบอนกับนักเรียนอีกเหมือนอย่างเมื่อสิบกว่าปีก่อน นี่แหละเมืองจีนที่เธอต้องศึกษา ฉันว่าอะไร ๆ ที่เธอเห็นเธอรู้ จะเป็นประโยชน์แก่เธอมากเมื่อเธอกลับเมืองไทย”

นายหลอชางซึ่งนั่งฟังนายโจวกวอเสียนเพื่อนเก่าพูดอยู่นาน ก็เอ่ยขึ้นว่า

“ปริ๊นซ์เพื่อนเก่าของฉันสมัยอยู่ในอังกฤษส่งระพินทร์ออกมาศึกษาเรื่องเมืองจีน ฉันว่าระพินทร์ควรจะทำประโยชน์ให้กับเมืองไทยของเขาได้บ้างในเวลาข้างหน้า”

ข้าพเจ้านั่งนิ่งไม่พูดอะไร แต่ก็นึกอยู่ในใจว่าเวลาข้างหน้ามันเป็นแต่เพียงความหวังเท่านั้น ชีวิตมันเป็นอนิจจัง ใครจะกล้ายืนยันได้ว่าเราจะไม่ผิดหวัง

  1. ๑. หมายเหตุ คือฮกเกี้ยน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ