บทที่ ๔๑

ค่ำวันหนึ่ง มาดาม ซี.ที. หวง ภรรยานาย ซี.ที. หวง กรรมการกลางพรรคก๊กมินตั๋ง (แปลว่าพรรคประชาชนแห่งชาติ) ได้เชิญข้าพเจ้ากับบัวไปกินอาหารค่ำที่บ้านตรอกเฉี่ยนเลี่ยงหูทุ่ง นายหลอชางผู้เป็นการ์เดียนของข้าพเจ้ากับบัว ซึ่งเสด็จพระองค์ชายทรงฝากฝังมา เนื่องจากได้เคยทรงร่วมการศึกษาอยู่ด้วยกันที่อังกฤษ ได้เป็นผู้แนะนำให้เรารู้จักกับครอบครัวของนาย ซี.ที. หวง เมื่อเดือนก่อน ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี นายและนาง ซี.ที. หวง จึงเชิญเราไปรับประทานอาหารค่ำพร้อมด้วยนายหลอชาง และนอกจากเราแล้วยังมีสหายชาวญี่ปุ่นอีกคนหนึ่งชื่อทาเคดะ บังเอิญเป็นเพื่อนเก่าของบัวสมัยอยู่โตเกียว เลยทำให้บัวคึกคักเป็นพิเศษ

ห้องรับแขกของนาย ซี.ที. หวง จัดแบบจีนปนฝรั่งมีทั้งเก้าอี้ไม้ดำซึ่งตั้งอยู่ทางปีกซ้ายและเก้าอี้นวมลาดด้วยหนังสีน้ำตาลอย่างที่ตั้งอยู่ทางปีกขวา มีต้วยจึลายมือพวกจอหงวนและสะกอล่าร์สมัยราชวงศ์ชิง แขวนอยู่ตามข้างฝา บรรจุข้อความเป็นคติชีวิตที่กินความอย่างลึกซึ้งถึงขนาดบางทีทั้ง ๆ ที่อ่านออก แต่ก็ตีความหมายไม่ได้หมด นายและนาง ซี.ที. หวงสนใจกับข้าพเจ้าและบัวเป็นพิเศษ เมื่อได้ทราบว่าเป็นคนไทย มาศึกษาอยู่ในปักกิ่ง นายหวงได้รับคำแนะนำจากนายหลอชาง ว่าข้าพเจ้าเป็นใคร เขาสนใจกับคำพูดของนายหลอชาง ประโยคหนึ่งที่ว่า “ระพินทร์เคยเป็นนักหนังสือพิมพ์ เวลานี้ก็ดูเหมือนยังกำลังเป็นอยู่ บทความของเขาลงพิมพ์อยู่ในหนังสือไชนา คริติคบ่อย ๆ”

“อ้อ” นายหวงเลิกคิ้วแสดงความสนใจ “คุณเขียนเรื่องอะไร ?”

“ผมสนใจกับเศรษฐกิจการเมือง” ข้าพเจ้าตอบเป็นภาษาอังกฤษ

“คงเป็นเรื่องในตะวันออก ?” เขาซักต่อไป

“ครับ เป็นเรื่องที่ผมพบ แล้วก็มีความคิดความเห็นบ้าง”

“คุณมีความเห็นอย่างไร ? ผมถามกว้างไปหน่อย ผมหมายถึงตะวันออกไกล”

ข้าพเจ้ามองตานายหลอชาง คล้ายกับจะขอความเห็นว่าข้าพเจ้าควรจะพูดอะไรหรือไม่ นายหลอชางพยักหน้า แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี กล่าวว่า

“ที่นี่เป็นประชาธิปไตย เราพูดกันได้”

“เขาลือกันว่าเรามีบลูเชิ๊ร์ต แต่ความจริงเรามีแต่กองปราบปราม ใช้ปราบฝิ่นเถื่อนกับคอมมิวนิสต์”

“ผมสงสัยเรื่องฝิ่นครับ ทำไมจึงลงโทษถึงยิงเป้า ?” ข้าพเจ้าถามอย่างระมัดระวัง เพราะนาย ซี.ที. หวง เป็นกรรมการกลางของพรรคก๊กมินตัง

“คุณคงไม่เข้าใจ” นายหวงพูดช้า ๆ อย่างระมัดระวัง “เราต้องยิงเป้าพวกค้าฝิ่นก็เพราะพวกนี้เป็นมือของญี่ปุ่น....อ้อ, คุณทาเคดะ, ต้องขอโทษนะ ที่พูดถึงพวกคุณ”

ทาเคดะสหายของบัวยืดตัวตรง รับตอบทันที

“ผมก็กำลังจะพูดอยู่แล้วครับ” ทาเคดะตอบแล้วหัวเราะอย่างใจเย็น “ผมไม่เห็นด้วยเลยครับ เรื่องทานากาโปลิซี”

“อ้อ, คุณไม่เห็นด้วย” นาย ซี.ที. หวง พูดอย่างแปลกใจ

“ผมเป็นพวกรักสงบ ผมไม่เคยเห็นด้วยกับนโยบายรุกราน” ทาเคดะพูดเสียงเครียดแสดงความจริงใจ

“ต้องขอบคุณที่คุณพูดอย่างนี้” นาย ซี.ที. หวงสบตาผู้ที่เขาคิดว่าเป็นศัตรูนับตั้งแต่นาทีแรกที่นายหลอชางแนะนำให้รู้จัก “ผมมีเพื่อนญี่ปุ่นมาก ไม่เคยพบใครพูดอย่างคุณ อย่างดีก็เพียงแต่ยิ้มแล้วก็นิ่งเท่านั้น”

นายหลอชางฉวยโอกาสเอ่ยขึ้นว่า

“ผมไปพบทาเคดะในโอซากา เขาเป็นผู้เห็นใจเรามากที่สุด–มากกว่าคนญี่ปุ่นทุกคน ผมก็เลยรักเขามาจนเดี๋ยวนี้”

“ไม่ใช่มากกว่าคนญี่ปุ่นทุกคนครับ” ทาเคดะคัดค้านทันที มีคนญี่ปุ่นอีกเยอะแยะที่รักเมืองจีนมากกว่าผมหลายเท่า คนพวกนี้เกลียดทานากาเข้ากระดูก เขาว่าญี่ปุ่นจะล่มจมก็เพราะทานากา”

“งั้นหรือ ? ผมก็อยากจะรู้สึกอย่างนั้น” นาย ซี.ที. หวง พูดอย่างสำนวนนักการเมือง

“ผมขอรับรองว่า ทาเคดะ พูดความจริง” บัวเอ่ย “เมื่อผมอยู่ญี่ปุ่น ผมมีเพื่อนใน วะเสดา หลายคน ที่แอนตี้ทานากา เขาเห็นเหมือนกันหมดว่าญี่ปุ่นจะตายเพราะทานากา ทานากาจะทำให้เกิดสงครามโลก”

“ผมดีใจที่ได้ยินคุณทาเคดะพูดอย่างนี้ เราคงจะได้คุยกันบ้าง”

“ครับ ผมก็อยากคุยกับคุณ” ทาเคดะพูดเสียงดังแสดงความจริงใจ

“ผมคิดว่าคุณคงเป็นเพื่อนญี่ปุ่นคนแรกที่ทำให้ผมสบายใจ” ข้าพเจ้าพูดแล้วหัวเราะ

“แปลว่า เพื่อนญี่ปุ่นที่คุณเคยมีมา คงไม่ได้ทำให้คุณสบายใจเลย” ทาเคดะยิ้มแล้วสบตาข้าพเจ้า

“ผมรับว่าใช่” ข้าพเจ้าตอบ “เมื่อวานผมคุยกับนายซาโตะ เรื่องพ่อค้าญี่ปุ่นยอมเป็นมือให้รัฐบาล ทานากา เปิดก๊วนให้คนจีนสูบฝิ่น เพื่อทำลายจิตใจของคนจีน เพราะคนติดฝิ่นสมรรถภาพในการต่อต้านญี่ปุ่นจะเสื่อมลง”

“ผมทราบเรื่องนี้ดี” ทาเคดะยืนยันเสียงแข็ง “มันเป็นการฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมทารุณ ผมแอนตี้นโยบายแบบนี้ทั้งหมด มันไม่มีมนุษยธรรม”

“คุณกล้าพูดอย่างนี้ในญี่ปุ่นหรือ ?” นายหลอชางถาม

“ผมพูดอยู่ทุกวัน พวกผมพูดกันเสียงดัง ๆ ทั้งนั้น แล้วก็เขียนหนังสือพิมพ์เสียด้วย เราคัดค้านรัฐบาลทานากาทุกทาง เพราะเรารู้ดีว่ามันเป็นกรรมชั่ว ที่จะทิ้งบาปไว้ให้ลูกหลาน สักวันหนึ่งญี่ปุ่นจะต้องใช้หนี้กรรมอันนี้”

“คุณคิดว่า ญี่ปุ่นควรจะเป็นนโยบายอย่างไร ?” ข้าพเจ้าถาม

“มันไม่ใช่ความเห็นของผมคนเดียว” ทาเคดะพูดช้า ๆ แต่เสียงหนักแน่น “เราเห็นว่าญี่ปุ่นจะได้กำไรจากการเป็นมิตรกับจีนมากกว่าการรุกรานจีน ถ้าเราขืนทำสงครามกับจีนเราจะแพ้ในที่สุด เพราะจีนใหญ่โตเกินที่เราจะกลืนกันเข้าไปได้ เราจะหมดกำลังไปเองในตอนสุดท้าย แล้วถ้าเราเคราะห์ร้ายพอ พันธมิตรของจีนที่เกลียดชังเราก็จะขยี้เราให้แหลกไปเลย ผมไม่คิดว่าจะมีใครเอาชนะจีนได้ แต่ถ้าเราเป็นมิตรกับจีน เราจะได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล”

จากการพบกับทาเคดะในค่ำวันนั้นที่บ้านนาย ซี.ที. หวง ข้าพเจ้าก็ได้คิดว่ายังมีคนญี่ปุ่นที่รักความเป็นธรรมอยู่อีกไม่น้อย ความหวังเรื่อง แนวราษฎร ดูจะแจ่มใสขึ้น เพราะจะต้องมีคนญี่ปุ่นมีความคิดเห็นคล้าย ๆ กัน คือเห็นว่าทางออกของชาติมนุษย์ ไม่ใช่ฆ่ากัน แต่ต้องร่วมมือกัน ข้าพเจ้าได้พบทาเคดะอีกหลายครั้ง เขาเห็นด้วยในข้อที่ว่า เราราษฎรควรจะหยุดฆ่ากันได้แล้ว เพราะมันโหดเหี้ยมเกินไปที่เราจะฆ่ากันต่อไปอีก โดยไม่เคยรู้จักหน้าค่าตากันเลย มันเป็นการฆ่ากันอย่างเลือดเย็นแบบสมัยหิน ซึ่งเราได้ทิ้งมันไว้ซึ่งเราได้ทิ้งมันไว้เบื้องหลังในดงดิบ เป็นเวลาหลายพันหลายหมื่นปีมาแล้ว

และในการไปบ้านนาย ซี.ที. หวง วันนั้น ข้าพเจ้าได้ซ่อนเป้าหมายสำคัญไว้เป้าหนึ่ง คือการทำความเข้าใจเรื่องเจียงเฟ ข้าพเจ้าต้องการจะเข้าไปทอดสนิทกับนักการเมืองผู้ทรงอำนาจผู้นี้ เพื่อทำให้เขาเข้าใจว่า เขากำลังทำลายศัตรูของคอมมิวนิสต์, ไม่ใช่ทำลายตัวคอมมิวนิสต์ และถ้าเขาขืนทำลายศัตรูของคอมมิวนิสต์ต่อไปอีก, ในไม่ช้านักกลุ่มนักศึกษาก็จะเหลือแต่คอมมิวนิสต์ล้วน ๆ เท่านั้น

ประมาณห้าวันต่อมา ข้าพเจ้าได้หาโอกาสไปพบนาย ซี.ที. หวง อีกครั้งหนึ่ง เราคุยกันเรื่องเมืองไทย แล้วกเลยมาถึงเรื่องเมืองจีน ตอนหนึ่ง ข้าพเจ้าถามนาย ซี.ที. หวงว่า

“จีนกับไทยได้มีส่วนสัมพันธ์กันมาก ท่านคิดว่าสัมพันธไมตรีนี้มีทางจะยั่งยืนอยู่ได้หรือไม่ ?”

นายซี.ที. หวง มองหน้าข้าพเจ้าอย่างไม่เข้าใจ เขาถามว่า

“คุณหมายความว่าอย่างไร ?”

“ผมคิดว่าถ้าพรรคก๊กมินตังยังเป็นปึกแผ่นอยู่ได้ ไม่ต้องรบกับพวกนายพล หรือพวกคอมมิวนิสต์ สัมพันธไมตรีระหว่างจีนกับไทยก็คงจะไม่กระทบกระเทือน แต่ถ้าพรรคก๊กมินตั้งพลาดพลั้งลงไป เหตุการณ์ก็คงจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมาก เราก็คาดไม่ได้ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร”

นักการเมืองแห่งลุ่มน้ำแยงซีเกียงผู้สูงอายุกว่าข้าพเจ้ามาก นิ่งคิดแล้วถอนใจเบา ๆ ความยิ้มแย้มในใบหน้าได้หายไปสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว รู้สึกว่าเขาเกิดความกังวลในการที่จะต้องค้นหาคำตอบมาตอบข้าพเจ้า

“คุณก็เข้าใจถูกแล้ว พรรคก๊กมินตังไม่มีนโยบายรุกรานประเทศไทย แต่พวกคอมมิวนิสต์มีนโยบายล่องใต้ เวลานี้เขาก็ส่งแนวหน้าบุกลงไปแล้ว แต่เป็นการบุกแบบกรุยทาง และไม่บุกบนดิน”

“ครับ, ผมพอทราบบ้าง” ข้าพเจ้าพูดเสียงเบา

“ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง คนจีนที่เกิดในเมืองไทยก็มาศึกษาเล่าเรียนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เป็นพวกโอเวอร์ซีไชนีส คนพวกนี้มีอยู่หลายคนทีเดียว ที่หลงเข้าไปอยู่ในค่ายคอมมิวนิสต์ เขาตื่นเต้นกับความคิดใหม่ ๆ พากันคิดว่ามาร์กซ์จะปฏิวัติโลกได้สำเร็จ เราเสียดายเด็กเหล่านี้ เขาควรจะช่วยกันเป็นสื่อให้เกิดสัมพันธไมตรีที่ดีระหว่างไทยกับจีน แต่เขากลับคิดจะรุกรานเมืองไทย”

ข้าพเจ้านึกถึง สนาน ตั้งเรืองแสง ทายาทเศรษฐีใหญ่แห่งถนนเยาวราช พ่อเขามีเงินล้าน แต่ตัวเขาเป็นคอมมิวนิสต์

“ทางตำรวจที่กำลังกวดขันมากไม่ใช่หรือครับ ?” ข้าพเจ้าพยายามวกเข้าหาประเด็นที่ต้องการจะพูด

“คุณหมายถึง เด็กพวกนี้ ?”

“ครับ”

“เราก็ต้องกวดขัน เวลานี้เราต้องต้องทำศึกกับทหารของเมาเซตุงทุกวัน ในเวลาเดียวกันก็ต้องทำศึกกับพวกนักศึกษาด้วย รัฐบาลไม่ต้องการจะเข้าไปแตะต้องนักศึกษาเลย แต่เมื่อพวกคอมมิวนิสต์เข้ามาทำโปรปะแกนด้าอยู่ในมหาวิทยาลัย เราก็ต้องป้องกัน มันช่วยไม่ได้จริง ๆ”

“แต่บางครั้งตำรวจก็จับผิดตัว, ทำให้ฝ่ายรัฐบาลเสียนักศึกษาที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับคอมมิวนิสต์ไป ผมคิดว่าท่านคงจะได้ทราบเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ใช่ไหมครับ ?”

นายซี.ที. หวง เลิกคิ้ว มองตาข้าพเจ้าด้วยแววตาที่บอกชัดถึงความรู้สึกที่มีอะไรมาสะดุดใจในปัจจุบันทันด่วน

“คุณคิดว่ามีหรือ ที่ตำรวจจับผิดตัว?”

“ผมเชื่อว่ามีครับ” ข้าพเจ้าแข็งใจตอบ

“ใคร ?” เขาตอบอย่างเฉียบขาด

“ผมเป็นชาวต่างประเทศ ไม่ควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย โปรดถือว่าผมเป็นคนนอกที่ชอบออกความเห็นเถอะครับ แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ความเห็น มันเป็นความจริง”

“เรื่องอะไร ?” เขาถามตาลุกวาว

“เรื่อง เจียงเฟ ครับ”

“เจียงเฟ” นาย ซี.ที. หวง ทวนคำแล้วจึงคิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง “ผมเคยได้ยินชื่อ”

“ตำรวจจับเอาเจียงเฟไปครับ”

เขาพยักหน้า

“ผมนึกออกแล้ว ทำไมหรือ?”

“เจียงเฟ ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ครับ” ข้าพเจ้าแข็งใจพูด เมื่อหลุดออกไปได้ก็โล่งอก

“คุณรู้ได้ยังไง ?”

“เจียงเฟ เป็นครูสอนภาษาพูดอยู่โรงเรียนหวาเหวินของ ดร. เพทตัสครับ”

“ผมรู้จัก ดร. เพทตัส” เขาพูดเรียบ ๆ ไม่ตื่นเต้น

“ท่านถาม ดร. เพทสดูก็ได้ เจียงเฟไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ตลอดเวลาที่เขาสอนภาษาพูดให้แก่ผม เขาแอนตี้คอมมิวนิสต์อยู่ตลอดเวลา”

“เท่านั้นหรือ ที่ทำให้คุณเชื่อว่า เจียงเฟไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ?”

“ครับ ผมเชื่อว่าเจียงเฟไม่ใช่คอมมิวนิสต์ แต่เป็นคนรักชาติรุนแรง”

“เจียงเฟเป็นหัวหน้านักศึกษา เรารู้จักเจียงเฟดี”

“ครับ เขาเป็นหัวหน้านักศึกษา แต่เขาไม่ใช่คอมมิวนิสต์ เขารักชาติ”

“คอมมิวนิสต์จีนก็รักชาติทุกคน เขาพูดถึงชาติตลอดเวลา”

“แต่เจียงเฟไม่เป็นคอมมิวนิสต์หรอกครับ ผมรับรองได้ ผมเองก็ไม่ชอบคอมมิวนิสต์ ถ้าเจียงเฟเป็นคอมมิวนิสต์ ก็คงคุยกับผมไม่ได้”

“คุณว่า คุณไม่ชอบคอมมิวนิสต์งั้นหรือ ?” นาย ซี.ที. หวง จ้องตาข้าพเจ้าคล้ายกับจะสะกดจิต “ผมเชื่อว่าคุณไม่ใช่คอมมิวนิสต์ เพราะคุณอยู่ในความปกครองของหลอ เซียน เซิง”

“ถ้าท่านเชื่อว่าผมไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ท่านก็คงจะเข้าใจเจียงเฟ”

นาย ซี.ที. หวงหัวเราะเสียงดัง แต่ไม่มีอารมณขบขันในสีหน้าของเขาเลย

“คุณระพินทร์ โปรดเข้าใจว่าเจียงเฟกับคุณไม่ใช่คนเดียวกัน แล้วก็โปรดเข้าใจว่าคอมมิวนิสต์ไม่สนใจกับคำพูด และคำมั่นสัญญา เป้าหมายของเขาคือความสำเร็จ คุณไม่มีความหมายสำหรับเขาเลย ผมอยากขอเตือนว่า ถ้าคุณจะคบกับคนพวกนี้ คุณต้องระวังตัวให้มาก คุณอาจจะเป็นคอมมิวนิสต์ โดยคุณไม่รู้ตัว หรืออย่างน้อยคุณก็เป็นพาหะให้เขา แล้วคุณก็จะเสียใจตัวเอง”

ข้าพเจ้านั่งฟังอย่างงุนงง รู้สึกเหมือนมีฆ้อนใหญ่มาทุบที่ศีรษะ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ