บทที่ ๓๗

ข้าพเจ้าได้พบบัว ตอนอาหารกลางวันในห้องโถงเวสท์บิลดิ้ง ก็บอกกล่าวเขาเป็นคำแรกว่าเจียงเฟถูกตำรวจเอาตัวไปแล้ว บัวทำหน้าอย่างไม่เชื่อ เพราะเมื่อตอนเช้าวันนั้นเอง เขาก็ยังคุยอยู่กับเจียงเฟในห้องประชุมระหว่างที่นั่งฟังปาฐกถาเรื่องการสำรวจทะเลทรายโกบีของ ดร. สเวนเฮดิน นักสำรวจชาวสวีเดนผู้มีชื่อเสียงของโลก บัวแสดงความวิตกกังวลมาก เพราะเราได้หวาดสะดุ้งกันมานานแล้วว่า สักวันหนึ่งเราจะต้องได้รับข่าวร้ายเช่นนี้

“แต่เจียงเฟไม่ใช่คอมมิวนิสต์” ข้าพเจ้ายืนยันกับบัวในตอนหนึ่ง “ตำรวจเขาจะต้องปล่อยตัวออกมา ผมยังมองในแง่ดีอยู่”

“แต่ผมไม่มองอย่างนั้น” บัวโคลงศีรษะไปมา “ตำรวจเขาจับฝ่ายค้าน ไม่จำเป็นจะต้องจับคอมมิวนิสต์เท่านั้น เพราะนักศึกษาฝ่ายค้านกรุยทางให้พวกคอมมิวนิสต์เดินขบวน”

“คุณก็มีเหตุผล เจียงเฟอาจถูกจับเพราะเป็นฝ่ายค้าน แต่เขาคงไม่ทำอันตรายฝ่ายค้าน” ข้าพเจ้าพูดคล้ายจะพยายามปลอบใจตัวเอง

“ไม่แน่” บัวหัวเราะหึ ๆ “มันไม่มีอะไรแน่ในแผ่นดินจีน ที่นี่ชีวิตเกือบไม่มีราคาเลย รัฐบาลเขาไม่ต้องการฝ่ายค้าน คุณก็รู้ไม่ใช่หรือ ? ประชาธิปไตย ดร. ซุนยังไม่มีความหมายอะไรเลย มันเป็นการรื้อบ้านแล้วเอาไม้มากอง ๆ ไว้ ยังไม่มีใครปลูกบ้านใหม่ได้สำเร็จ ราษฎรต้องตากแดดตากฝนตากหิมะหนาวตายเป็นล้าน ๆ ทุกปี ผมยังมองไม่เห็นประชาธิปไตยในเมืองจีน ผมเห็นแต่ ท้อปบู๊ต, ซากศพ, คนขอท่าน, มันเป็นเมืองนรกดี ๆ นี่เอง”

ข้าพเจ้ามองเห็นภาพเมือง ประชาธิปไตย ท้อปบู๊ต เป็นจริงอย่างบัวว่า ชีวิตไม่มีราคา ราษฎรมีชีวิตอยู่ใต้ท็อปบู๊ตของพวกนายพล ไม่มีเศษของประชาธิปไตย มีแต่คณาธิปไตย และอั้งยี่, ไม่มีปัญหา, บัวพูดความจริง รัฐบาลเขาไม่ต้องการฝ่ายค้าน ถึงจะไม่ใช่คอมมิวนิสต์เขาก็ไม่ต้องการ

“คุณเห็นว่าเจียงเฟไม่มีทางรอดใช่ไหม ?” ข้าพเจ้าถาม

บัวพยักหน้า เอามือลูบหนวดเส้นเล็กเรียวที่ริมฝีปาก

“คุณอย่าเอาความเห็นของผมไปพูดกับเจียงเหมยดีกว่า”

“แปลว่าคุณเห็นว่าเจียงเฟไม่รอด”

“ผมว่าไม่รอด เราจะไม่ได้เห็นเจียงเฟอีก”

ข้าพเจ้านิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง คำพูดของบัวข้าพเจ้าเองก็ได้พูดกับตัวเองเช่นนี้ แม้จะเป็นเพียงกระซิบ เพราะไม่กล้าพูดออกมาดัง ๆ แต่มันก็เป็นเสียงกระซิบบอกความเชื่อมั่นว่า เจียงเฟคงไม่มีทางรอด ตำรวจเสื้อดำผ้าพันหมวกขาวของรัฐบาลจีนก๊กมินตั๋งไม่เคยปล่อยใครที่เขาลากคอเข้าไปในกรงขัง เมื่อประตูลูกกรงเหล็กได้ปิดลงแล้ว เราก็จะไม่ได้ยินวี่แววของมนุษย์เคราะห์ร้ายคนนี้อีกเลย

“เรากำลังนั่งดูเจียงเฟตาย” ข้าพเจ้าพึมพำ

“เราช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย” บัวส่ายหน้าแล้วควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ “เราต้องปล่อยให้เขาตาย”

“ผมรู้สึกว่าเราไม่มีมนุษยธรรม” ข้าพเจ้าพูดเสียงหนัก

“มนุษยธรรมอะไรกัน ?”

“นั่งมองดูคนดี ๆ ตายไปต่อหน้า”

“แล้วคุณจะทำยังไง ? คุณมีทางอะไรหรือ ?” เสียงบัวเต็มไปด้วยการท้าทาย “เมื่อเราไม่มีทาง เราก็เลิกคิดดีกว่า”

“ผมไม่รู้จะนั่งดูเจียงเฟตายได้ยังไง” ข้าพเจ้าถอนใจยาว

“ก็ลองนั่งดูคนดี ๆ ตายเสียบ้างซี หัดเอาไว้ก่อน ต่อไปคุณจะต้องเห็นคนดี ๆ ตายไปต่อหน้าอีกมากนัก สมัยนี้โลกมันไม่ต้องการคนดี มันเป็นสมัยของกลียุค กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันน้อยจะถอยจม”

“คุณเห็นเช่นนั้นหรือ, บัว”

“ผมเห็นของผมเช่นนี้ แล้วก็–ผมเห็นไม่ผิด นี่, ระพินทร์, ผมก็นั่งดูคุณมานานแล้ว คุณเลิกเป็นนักฝันเสียทีได้ไหม ?”

“ผมไม่ได้ฝัน”

“คุณฝัน” บัวยืนยันอย่างมั่นคง “คุณคิดว่าโลกนี้จะแก้ให้ดีได้ มันแก้ไม่ได้ ความชั่วมันท่วมความดี ศาสนากำลังถอยหลัง คุกกำลังขยายตัว โรงจำนำกำลังขายดี เงินกับอำนาจกำลังครองโลก เราอยู่ในเมืองตาหลิ่ว มันก็ต้องหลิ่วตาตาม แล้วก็อย่าลืมว่าคุณเป็นคนไทย คุณต้องกลับเมืองไทย กลับไปทำหน้าที่ที่คุณได้รับมอบหมาย คุณเลิกคิดเลิกฝันดีกว่า มันมีแต่ขาดทุน อย่างน้อยคุณก็ต้องไม่ลืมว่าคุณมีชาติไทยทั้งชาติจะต้องคิด”

ข้าพเจ้านิ่งอึ้ง บัวพูดถูกแล้ว ข้าพเจ้ามีหน้าที่–มีความรับผิดชอบ มีชาติไทยจะต้องคิด เรื่องเจียงเฟเป็นเรื่องเล็กเกินไปที่จะเอามาเปรียบกับหน้าที่ที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายมา บัวพูดถูกแล้ว เรื่องเจียงเฟเป็นเรื่องเล็ก!

แต่อะไรเล่าเป็นเรื่องใหญ่ ?

ชาติไทยของข้าพเจ้าหรือ ? โลกที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่หรือ ? มนุษยชาติหรือ ?

มันจะต้องมีเรื่องที่ใหญ่กว่าเรื่องเจียงเฟ ข้าพเจ้าคิด มันต้องมี

ผละจากบัวแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปพบจรินทร์ ไม่ได้พบเขามาหลายวันแล้ว จรินทร์ย้ายบ้านใหม่อีกครั้งหนึ่ง ออกไปอยู่ถึงหนานเฉิง หรือ South City เขาจ้างอาม้าไว้ดูแลบ้านคนหนึ่ง เพราะเขาอยู่อย่างชายโสด จรินทร์ขึ้นไปทำอะไรที่ปักกิ่ง ? จนบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังตอบปัญหาข้อนี้ไม่ได้

“ผมเคราะห์ดี คุณอยู่บ้าน” ข้าพเจ้าทักขึ้นก่อนขณะที่เปิดประตูเข้าไปในเป่ฝางซึ่งเขาจัดเป็นห้องรับแขกครึ่งหนึ่ง ห้องนอนครึ่งหนึ่ง

“ครับ, วันนี้ผมตั้งใจจะนอนพัก” จรินทร์ตอบ แล้วรินน้ำชาส่งให้ข้าพเจ้าถ้วยหนึ่ง “ผมติดน้ำชาเสียแล้ว เข้าซ่องบ่อยไปหน่อย มันมีชาดี ๆ ให้กินก็เลยติดเป็นยาฝิ่น”

คำว่า “ซ่อง” ข้าพเจ้าเข้าใจดี เราได้คำนี้มาจากบัว หัวหน้าคณะทรงมะนาวตัด บัวมี “ซ่อง” นกรุงเทพ ฯ หลายซ่อง มีตัวดี ๆ ในปักกิ่งเขาก็เจอ “ซ่อง” อีกหลายซ่อง มันเป็นเรื่องของคนหนุ่ม ช่วยอะไรไม่ได้ เราไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎธรรมชาติไม่ใช่หรือ?

ข้าพเจ้ารับถ้วยชามาถือไว้ ตาเหม่อมองดูก้อนไฟสีแดงในเตาเหล็กกลม สูงประมาณเมตรเศษ มีปล่องต่อออกไปนอกห้อง บ้านปักกิ่งเขาใช้เหมยฉิว คือผงถ่านหินปั้นเป็นก้อนกลมตากแดดให้แห้ง, ไม่ใช่ถ่านไม้, ได้แรงไฟดีกว่านานกว่า สำหรับหุงหาอาหารและให้ความอบอุ่น เมื่อไปถึงปักกิ่งตอนแรกย่ำหิมะไปตามถนน โดยยังไม่ได้ทำความคุ้นเคยกับมัน ปลายเท้าเย็นชาจนเป็นเหน็บ ข้าพเจ้าจำได้ว่าเคยเอาเท้าใส่เข้าไปในช่องสี่เหลี่ยมที่เจาะไว้ข้างเตาเหล็กแบบนี้ จนกระทั่งรองเท้าไหม้ไปคู่หนึ่งโดยไม่รู้ตัว จรินทร์เปิดฝาเตาเหล็กตอนบนเอากาน้ำมาตั้ง เขาบอกว่าจะทำน้ำชากินอีกกาหนึ่ง

เราคุยกันถึงเรื่องที่ไม่มีสาระแก่นสารตามอารมณ์สนุกของจรินทร์นักท่องโลก ซึ่งท่องมาแล้วเกือบตลอดตะวันออก จรินทร์ยังคงเป็นคนลึกลับสำหรับข้าพเจ้า เขาบอกว่าเขาเป็นคนไทย ชื่อไทย แต่นามสกุลไม่ใช่ไทย เขาบอกว่าเขามีเชื้อปอร์ตุเกสทางบิดา ซึ่งเคยเป็นนายห้างใหญ่สมัยรัชกาลที่ ๔ เขาจบโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ฯ เป็นโรงเรียนพวกหมอสอนศาสนานิกายแคทอลิค จรินทร์ไม่เปิดเผยเรื่องครอบครัว เขาไม่เคยบอกว่าเขามีลูกมีเมีย เคยแต่พูดเล่นกันซึ่งฟังแล้วก็เป็นเรื่องลม ๆแล้ง ๆ เขาท่องเที่ยวมาถึงปักกิ่ง เพื่อจะคอยสหายอีกคนหนึ่ง, มีเลือดปอร์ตุเกสเช่นเดียวกัน, มีชื่อหลายชื่อ, เป็นคนลึกลับอีกเหมือนกัน ข้าพเจ้าไม่คิดว่าข้าพเจ้าจะมีโอกาสได้รู้จักว่าจรินทร์เป็นใคร แต่ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเขาเป็นเพื่อนที่ไม่มีอันตราย ข้าพเจ้าไม่มีอะไรที่เขาจะคิดร้าย

การสนทนาของเราตีวงแคบเข้ามาหาเรื่องเจียงเฟ พอข้าพเจ้าเล่าเรื่องนี้ให้จรินทร์ฟัง เขาก็ขมวดคิ้วแสดงความสนใจทันที เขาถามว่า

“แล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวจากเจียงเฟเลย ใช่ไหม?”

“ผมไม่รู้จะไปติดต่อกับใคร” ข้าพเจ้าตอบ

“เจียงเหมยรู้หรือยัง ?”

“ยัง”

“ปิดข่าวไว้ก่อน ผมจะจัดการเอง” เขาหยุดคิด “ผมเป็นนักเสี่ยงโชค คุณรู้จักผมเพียงครึ่งเดียว แต่ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องรู้จักผมก็ได้ ขออย่างเดียวคุณสบายใจได้สำหรับผม เชื่อไว้ก็แล้วกันว่าผมเป็นเพื่อนคุณ”

“คุณไม่เป็นเพื่อนผม คุณจะเป็นอะไรล่ะ” ข้าพเจ้าหัวเราะ

“เรื่องนี้มันจะกลายเป็นเรื่องร้าย ถ้าไม่รีบแก้” จรินทร์พูดต่อไป “ผมจะลองคุยกับไอ้เค่อจ่างมันดู เรื่องนี้ต้องผ่านไอ้หมอนี่”

“เค่อจ่าง–ใคร ?” ข้าพเจ้ามองหน้าเขา

“หลี่เค่อจ่าง สันติบาลใหญ่” จรินทร์ตอบ “ผมมันนักเที่ยวซอกแซก คบคนไม่เลือก ผมบังเอิญพบเจ้าเค่อจ้างคนนี้ที่ไนท์คลับเที่ยวกับมันอยู่พักหนึ่ง มันมีชื่อผมอยู่ในบัญชี”

“มีชื่ออยู่ในบัญชี ?” ข้าพเจ้าเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

จรินทร์ยิ้มอย่างไม่สนใจไยดีกับท่าทางของข้าพเจ้า เขายังคงรักษาอารมณ์สนุกไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ

“ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีตำรวจ” จรินทร์พูดยิ้ม ๆ ขณะที่รินน้ำชาลงถ้วยลายมังกรสีคราม “คนอย่างผมไปอยู่ที่ไหนตำรวจก็ต้องสนใจ เพราะผมเป็นคนลึกลับ คุณก็เถอะ, ผมรู้ว่าคุณก็คิดว่าผมเป็นคนลึกลับ”

ข้าพเจ้าหัวเราะแทนคำตอบ ยื่นมือไปรับถ้วยชาจากเขา

“สายตรวจที่หมาเก๊ารายงานเรื่องของผมมาให้ทางปักกิ่งรู้ก่อนที่ผมจะออกเดินทางมาปักกิ่งไม่กี่เดือน เขาสืบรู้ว่าเมืองต่อไปที่ผมจะไปก็คือปักกิ่ง”

“แล้วเขาเข้าใจว่าคุณมาทำอะไรในปักกิ่ง ?” ข้าพเจ้าถาม, ทำใจให้กล้า เพราะรู้ว่าจรินทร์จะต้องไม่ชอบ

แต่ตรงกันข้าม, จรินทร์กลับหัวเราะอีก

“เขาก็เข้าใจไปตามที่เขาจะเดา เหมือนอย่างที่เขาเคยเดา” จรินทร์หยุดจิบน้ำชา “หน้าตาผมมันกระเดียดจะเป็นพวกสลาฟ ผมของผมมันก็ไม่ใช่สีของพวกตะวันออก แล้วนามสกุลของผมมันก็แส่ไปในทางให้เขาคิดว่า ผมต้องเป็นชาติอะไรที่เขาไม่ค่อยจะวางใจนัก แต่พาสปอร์ตของผมบอกว่าผมเป็นคนไทย เขาก็เลยคิดว่าผมเป็นคนสอดแนมให้รัฐบาลไทย ความจริงผมเป็นพ่อค้าที่ชอบเดินทาง เจออะไรดี ๆ พอมีกำไรก็ส่งไปกรุงเทพ ฯ ผมมีร้านอยู่ที่สุริวงศ์ น้องของผมเป็นผู้จัดการ”

“อ้อ” ข้าพเจ้าไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านี้ แต่จรินทร์ได้เล่าถึงเรื่องของเขามาหลายครั้งและทุกครั้งมันก็ไม่ค่อยจะเหมือนกัน เขาเป็นนักท่องโลกที่มีความจำไม่ค่อยจะดีนัก แต่ข้าพเจ้าก็ต้องการจะฟังจากเขาต่อไป เพราะอย่างน้อยมันก็มีความจริงให้เลือกเชื่อได้บ้าง

“แล้วเวลานี้ตำรวจเขาเข้าใจคุณว่าอย่างไร ?”

“ผมเที่ยวกับไอ้หลี่เค่อจ้างเป็นสิบ ๆ คืน สนิทกับมันอย่างรวดเร็ว มันเข้าใจผม ผมไม่ใช่คนสอดแนมให้ประเทศไหน ผมเป็นนักแสวงโชค เวลานี้ผมพบอ่างหยกใบใหญ่สมัยแผ่นดินซ้อง ผมกำลังจะหาวิธีเอาเข้าเมืองไทย คงจะขายได้ราคาเป็นล้าน เพราะดูเหมือนมันจะมีอยู่ใบเดียวในโลก นายหลี่เค่อจ่างมันก็กำลังจะหาทางออกให้ผม เพราะมันจะได้ส่วนแบ่ง”

“คุณก็จะต้องแบ่งให้เขาเป็นธรรมดา”

“อ๋อ, แน่ ที่นี่เงินพูดทั้งนั้น ถ้าไม่ใช้เงินก็ใช้อำนาจ ผมมีเงินจ่ายมัน มันก็ทำอะไรให้ผมได้ทุกอย่าง”

“คุณก็เก่งพอใช้ทีเดียว” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ

“ผมผจญมามาก, ระพินทร์ ที่หมาเก๊าผมเสี่ยงโชคด้วยการพนัน เราต้องเข้าถึงเจ้ามือ แบ่งกำไรกับมัน เราก็รวยเร็ว แต่เจ้าของบ่อนก็แย่หน่อย แต่จะแปลกอะไร มันนั่งกินเลือดกินเนื้อคนรวยมานานแล้ว นับเป็นสิบ ๆ ปีทีเดียว”

“แล้วทำไมคุณไม่อยู่หมาเก๊าต่อไปล่ะ ?”

“ผมไม่ชอบอยู่ที่ไหนนาน ๆ ผมต้องการเปิดหูเปิดตา ต้องการผจญชีวิต ปักกิ่งกำลังเป็นศูนย์กลางของความวุ่นวายในตะวันออก ผมต้องการขึ้นมาดูว่ามันจะวุ่นวายกันถึงขนาดไหน แล้วก็–ผมสนใจเรื่องหยกโบราณ อายุเป็นพัน ๆ ปี ปักกิ่งมีหยกมาก”

“ผมเพิ่งรู้เป้าหมายของคุณวันนี้เอง” ข้าพเจ้าหัวเราะ

จรินทร์ยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ

“เป็นอันว่าคุณคงไม่คิดว่าผมเป็นคนลึกลับต่อไปอีกแล้ว” เขายื่นกาน้ำชามาทางข้าพเจ้าแล้วค่อย ๆ รินใส่ถ้วยลายมังกร ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงนิ้วเศษ “ผมเป็นคนไทยที่มีชีวิตแปลกประหลาดพอใช้ไม่ใช่หรือ, ระพินทร์ คุณคงไม่เคยพบคนอย่างผม ผมเป็นนักผจญภัย, นักเสี่ยงโชค, เคยคลุกมากับความชั่ว บางทีก็เกือบจะถูกลากตัวไปยิงเป้า ผมคิดว่าผมอาจเป็นคนไทยคนเดียว ที่ออกมาผจญภัยอยู่ในเมืองจีนมากกว่าใคร ๆ”

“คุณจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ ?” ข้าพเจ้ามองตาเขา เขาสบตาข้าพเจ้าแล้วก็หรี่ลงจนปิดสนิท นิ่งอยู่ในท่าคิดครู่หนึ่ง

“ผมยังนึกไม่ออกว่าจะกลับเมืองไทยดีหรือไม่” เขาตอบ

“แปลว่าคุณจะท่องโลกต่อไป ?”

“ชีวิตของผมเป็นชีวิตท่องเที่ยว อยู่ที่ไหนนานผมก็เบื่อ เพราะเหตุนี้ผมจึงไม่มีครอบครัว ไม่พยายามจะมี”

“แต่ความรักเป็นสิ่งที่ไว้ใจไม่ได้”

“เราก็อย่าเข้าไปใกล้มัน” เขาหัวเราะอย่างไม่แคร์

“มันไม่มีอะไรแน่นะ, จรินทร์”

“คุณพูดถูก ชีวิตมันก็เหมือนกับสายน้ำ ไหลไป–เปลี่ยนไป แต่สายน้ำของผมมันเป็น river of no return ผมจะไม่กลับไปที่เก่า”

“กรุงเทพ ฯ”

“อาจแวะเยี่ยม แต่ไม่อยู่”

“คุณจะไปไหนอีก ต่อจากปักกิ่ง ?”

“เหตุการณ์–เหตุผล–บางทีก็อารมณ์–มันก็ต้องแล้วแต่เรื่องของมัน แต่เรามาพูดเรื่องเจียงเฟดีกว่า ผมร้อนใจเสียแล้ว”

“คุณจะช่วยได้ไหม ?”

“ผมจะไปพบไอ้หลี่เค่อจ่าง มันก็ใหญ่พอดู คงจะมีทางบ้างกระมัง ถ้าเจียงเฟยังไม่ถูกยิงเป้า”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ