- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๕๓
๑
ข้าพเจ้ารีบออกไปจากห้องพักในเป่ฝางบ้าน “ตู้ไจ่” หยิบเอาแผ่นกระดาษบางสีเหลืองหม่นซึ่งผลิตวิธีเดียวกับกระดาษสาติดมือไปด้วย มุ่งหน้าจะไปหาเสี่ยวเม่เจ้าของลายมือในกระดาษแผ่นนั้น แต่ที่กลางย่วน ข้าพเจ้าพบตู้หลิงเดินเอามือไพล่หลังกลับไปกลับมา ท่าทางเต็มไปด้วยการใช้ความคิด จึงตรงเข้าไปหาแล้วยื่นกระดาษที่เสี่ยวเม่เขียนตัวหนังสือจีนไว้ ๒-๓ แถวให้เขาอ่าน
“เสี่ยวเม่บอกกับฉันเมื่อกี้–ฉันโทรศัพท์ถามไปที่สถานีตำรวจแล้ว ไม่มีใครเชื่อว่าวลาดิมีร์จะลงไปเดินเล่นในลานน้ำแข็งในเวลาอย่างนี้” ตู้หลิงพูดพลางเงยหน้าขึ้นจากกระดาษที่รับไปจากข้าพเจ้า
“แล้ววารยาพูดมาว่าอย่างไร ?” ข้าพเจ้าถาม
“เมื่อรู้ว่าเธอยังไม่กลับ ก็สั่งไว้เพียงสั้น ๆ ว่า วลาดิมีร์กำลังนอนอยู่ที่ พี.ยู.เอ็ม.ซี.” ตู้หลิงโคลงศีรษะช้า ๆ “นี่ตำรวจกำลังค้นหาสาเหตุว่าทำไมวลาดิมีร์จึงลงไปในทะเลน้ำแข็งซึ่งกำลังจะละลาย”
“ฉันนั่งอยู่กับเหลียงกวงต้านในเก๋งริมน้ำฝั่งเกาะป๋ายถา เห็นคนวิ่งลงมาจากฝั่งตรงกันข้ามสิบกว่าคน ก็ไม่นึกหรอกว่าวลาดิมีร์กำลังตกอยู่ในน้ำ ดูอยู่จนเขาช่วยกันลากตัวขึ้นฝั่งก็ยังไม่รู้ว่าเป็นวลาดิมีร์ มันก็น่าคิดเหมือนกัน วลาดิมีร์ลงไปเดินเล่นอยู่บนน้ำแข็งทำไม ? มันก็จวนค่ำแล้ว อันตรายที่สุด”
“มันเป็นการฆ่าตัวตาย !” ตู้หลิงพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น
ข้าพเจ้าชะงัก นิ่งไปนิดหนึ่ง เพราะนึกไม่ถึงว่านายตำรวจหนุ่มแซ่ตู้ผู้นี้จะสันนิษฐานไกลไปถึงขนาดนี้ได้
“คนอย่างวลาดิมีร์น่ะหรือจะฆ่าตัวตาย” ข้าพเจ้าถามอย่างไม่เชื่อ
“เรามีประวัติวลาดิมีร์ในทะเบียนต่างด้าว” ตู้หลิงพูดเสียงเครียด
“ยังไง ?”
“เป็นเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผย”
“แต่วลาดิมีร์ไม่ใช่คอมมิวนิสต์”
“เรารู้ดีว่าพ่อของวารยาเป็นศัตรูของบอลเชวิค วลาดิมีร์เป็นรัสเซียขาว เขาเคยวางแผนจะยิงเลนินที่เปโตรกราดตอนปฏิวัติใหม่ ๆ”
“งั้นหรือ ?”
“เขาหนีออกจากรัสเซียไปอยู่ที่ฮาร์บินในแมนจูเรีย เคยเป็นเพื่อนกับนายพลจางโซหลิน”
“วารยาเคยเล่าเรื่องเมืองฮาร์บินให้ฉันฟังเหมือนกัน”
“แต่คงไม่ได้เล่าสาเหตุแท้ ๆ ที่ต้องหลบลงมาอยู่ปักกิ่ง”
ข้าพเจ้านิ่งตะแคงหูฟังอย่างสนใจ ตาจับอยู่ที่ริมฝีปากของสันติบาลหนุ่มแห่งนครปักกิ่ง
“เธอคงจะต้องการทราบ” ตู้หลิงพูดต่อไป “วลาดิมีร์ถูกตามฆ่า พวกแดงกลัวเขาจะกลับรัสเซีย ถ้าวลาดิมีร์กลับ ประชาชนอาจลุกขึ้นก็ได้”
“เป็นคนสำคัญถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ?” ข้าพเจ้าถามอย่างแปลกใจ
“สำคัญมาก เวลานี้ดูเหมือนจะเหลือวลาดิมีร์คนเดียวที่ยังคงนั่งอยู่ในใจของชาวรัสเซียที่เป็นพวกพระเจ้าซาร์”
“พวกพระเจ้าซาร์ !” ข้าพเจ้าพูดออกมาอย่างแทบไม่รู้ตัว
“เธอคงจะคิดว่าในรัสเซียไม่มีพวกพระเจ้าซาร์แล้วก็ได้” ตู้หลิงพูดเป็นเชิงอธิบาย “เวลานี้ยังมีคนที่ไม่ลืมพระเจ้าซาร์อีกไม่น้อย พวกที่เสียประโยชน์เพราะการปฏิวัติของเลนิน รัสเซียเพิ่งปฏิวัติได้เพียง ๑๕ ปีเข้าปีนี้เท่านั้นเอง เวลาเพียง ๑๕ ปียังทำลายพรรคพวกของพระเจ้าซาร์ไม่หมด แล้วก็–เธอก็รู้ดีว่าพวกชาวนาถูกทารุณมาก–อดตายกันมาก–เพราะระบบนารวม เกษตรกรรมของรัสเซียกำลังล้มเหลว...อาหารไม่พอกิน ฉันเชื่อว่าคนรัสเซียไม่น้อยเลยที่กำลังรอวลาดิมีร์”
ข้าพเจ้านึกถึงท่าทางอันเต็มไปด้วยความเป็นผู้ดี และดวงหน้าที่ควรจะเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ของชายชราเคราสำลีผู้นี้จึงถามขึ้นว่า
“วลาดิมีร์เป็นใคร ?”
ตู้หลิงนิ่งอึ้งไปสักครู่จึงตอบว่า
“เธอสงสัยไว้ก่อนก็แล้วกันว่า เขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่จะเป็นใครนั้น อย่าให้ฉันพูดเลย เรายังเปิดเผยอะไรไม่ได้”
การสนทนาของเราหยุดไปชั่วขณะ เพราะตู้หลิงไม่พูดต่อไป และข้าพเจ้าก็ไม่ถาม จนกระทั่งอึดใจใหญ่ๆ ผ่านไป ข้าพเจ้าจึงได้ยินเสียงตู้หลิงถอนใจเบา ๆ ในความสงัดของราตรีแห่งหนานเฉิง
“นี่, ระพินทร์, ฉันถือว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทนะ ฉันอยากจะบอกให้เธอรู้ตัวไว้”
ข้าพเจ้าสบตาเขา แม้จะมืด แต่ก็รู้สึกว่าแววตาของเขามีประกายประหลาดที่ค่อนข้างน่ากลัว
“อะไรกัน, พี่ตู้ ?” ข้าพเจ้าถาม
“พวกซ้ายกำลังยุให้นักศึกษาเดินขบวน เธออยู่ห่าง ๆ นะ เธอเป็นคนไทย”
“อ๋อ ฉันเกี่ยวเข้าไปด้วยไม่ได้หรอก ฉันไม่มีสิทธิ ไม่มีหน้าที่” ข้าพเจ้ารีบชี้แจงเสียงเครียดด้วยความจริงใจ
“ขบวนการหวู่ซื่อยุ่นตุ้งจะกลับมาอีก” ตู้หลิงพูดอย่างวิตก “มันเป็นโอกาสดีของพวกซ้ายกับพวกญี่ปุ่นที่จะแทรกแซงเข้ามา”
ข้าพเจ้าพยักหน้า นิ่งไปสักประเดี๋ยวก็ถามว่า
“เจียงเฟคงหมดหวังจะออกมา–ใช่ไหม ถ้างั้น ?”
นายตำรวจหนุ่มโคลงศีรษะไปมา แล้วถอนใจยาว
“มันไม่ใช่เวลาที่ตำรวจจะปล่อยคนอย่างเจียงเฟ !”
๒
ข้าพเจ้ารีบกินอาหารเย็นที่เสี่ยวเม่อุตส่าห์จัดไว้ให้ เสร็จแล้วก็นั่งหยางเชอพุ่งไปยังโรงพยาบาล พี.ยู.เอ็ม.ซี. ใกล้ตลาดตุงอัน ที่ห้องพิเศษชั้นสองบนตึกกลางหลังคาลูกฟูกแบบจีนสีเขียวแก่ ข้าพเจ้าพบวลาดิมีร์นอนลืมตานิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย แม้แต่วารยา ในห้องนั้นเปิดไออุ่น ที่พุ่งมาตามท่ออะลูมิเนียมอย่างเต็มอัตรา แสดงว่าคนไข้ต้องการความอบอุ่นมาก
“ใครบอกเธอ ระพินทร์” ชายชราเคราสำลีถามขึ้นก่อนเสียงเบา แววตาแสดงความตื่นเต้นและแปลกใจ
“วารยาส่งข่าวไปครับ” ข้าพเจ้าตอบแล้วนั่งลงชิดกับเตียง
เคราสีสำลีที่คลุมอยู่ทั้งส่วนล่างและบนของริมฝีปากเคลื่อนไหวเล็กน้อย วลาดิมีร์ยิ้มอย่างใจสบาย มากกว่าจะทุกข์ร้อน
“ฉันอยากทดลองอาบน้ำแข็งดูสักที เกิดมากับน้ำแข็ง แต่ก็ยังไม่เคยลงไปว่ายเล่นเลย” เขาพูดด้วยอารมณ์สนุก “มันเย็นอย่างนึกไม่ถึงทีเดียวเธอ แขนขาแข็งเป็นท่อนไม้ไปหมด นี่ก็เพิ่งกระดิกได้ เลือดคงจะน้อยมากไป เจ็ดสิบกว่าแล้วนี่ปีนี้”
“แอ๊กสิเดนท์ ใช่ไหมครับ ?” ข้าพเจ้าถามอย่างระมัดระวัง
ชายชราผู้ให้กำเนิดวารยาคนสวยหัวเราะในคอ เอียงหน้ามามองข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้มอย่างมีความหมาย
“มันก็ควรจะเป็นแอ๊กสิเดนท์ เพราะฉันไม่รู้ว่า ตรงนั้นน้ำแข็งจะบางจนทานน้ำหนักตัวไม่ไหว”
“แต่ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือครับว่าน้ำแข็งในทะเลสาบมันเริ่มละลายแล้ว ?” ข้าพเจ้าถามอย่างมีเจตนา
“ใคร ๆ ก็รู้” เป็นคำตอบที่ปนออกมากับเสียงหัวเราะ
“แล้วทำไมท่านถึงได้เดินลงไปล่ะครับ ?” ข้าพเจ้าพยายามทำใจให้กล้า เพราะเข้าใจดีว่ากำลังขมวดคำถามแคบลงอย่างค่อนข้างจะรวดเร็วเกินไป
วลาดิมีร์ขมวดคิ้ว รอยยิ้มในสีหน้าหายไป ดูเหมือนว่าจะพยายามคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะตอบ
“บางทีเราก็ทำ เพราะเราต้องการจะทำ ฉันได้ทำแล้ว และรู้แล้ว ฉันรู้ว่าน้ำแข็งในเป๋ห่ายควรจะบางตรงไหนบ้าง”
ข้าพเจ้าจ้องหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ท่านต้องการจะรู้ ?”
ชายชราพยักหน้า
“ด้วยการเอาชีวิตไปเสี่ยงหรือครับ ?”
เขาขมวดคิ้วคล้ายกับจะรำคาญที่ถูกซักแต่แล้วก็ยิ้ม เหมือนจะกลบความรู้สึกไม่พอใจที่ผ่านเข้ามาเพียงแวบหนึ่ง
“ระพินทร์, ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ให้ถึงร้อยปี อยากจะรอดูไอ้พวกถือธงแดงมันตาย ฉันเคยเชื่อแน่ว่ารัสเซียจะต้องมีเสรีภาพอีกครั้งหนึ่งภายในไม่เกินศตวรรษนี้ ฉันรอวันของเรา แต่เดี๋ยวนี้ฉันรู้ว่า เราคงจะไม่มีวันนั้นเสียแล้ว”
ข้าพเจ้าพยายามจับความคิดที่ค่อนข้างสับสนอลหม่านของเขา แต่ก็ยังจับอะไรไม่ได้ มันลึกลับเกินไปที่จะเข้าใจว่า เหตุใด วลาดิมีร์จึงลงไปเดินอยู่ในลานน้ำแข็งที่ทะเลสาบเป๋ห่าย–เพียงเพื่อต้องการจะรู้ว่าน้ำแข็งตรงไหนบางเท่านั้นหรือ ? ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรือ ? วลาดิมีร์จะรอวันของเขา วันอะไร ? แล้วก็เขาเป็นใคร ? เขาพูดคล้ายกับว่าเขามีความสำคัญเสียเหลือเกิน
แล้วชายชราเคราสำลีผู้เริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดผิดกับเมื่อสักครู่ ก็พูดต่อไปอีกว่า
“ถ้าเธออ่านข่าวโทรเลขในหนังสือพิมพ์ลีดเด้อร์เมื่อวานซืน เธอคงจะพบเรื่องปริ๊นซ์โรซานอฟเป็นมะเร็ง เสด็จทิวงคตที่โรงพยาบาลกรุงปารีส”
“ผมไม่ได้อ่านครับ” ข้าพเจ้าสบตาเขา รู้สึกว่าความเศร้าระบายอยู่ในแววตาของเขาอย่างเห็นได้ชัด
“ความหวังของเราอยู่ที่ปริ๊นซ์โรซานอฟ” วลาดิมีร์พูดต่อไป “ต่อไปนี้วันของเราจะไม่มี เราจะไม่ได้พบฟรีรัสเซียอีก”
เรานิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง ข้าพเจ้านึกถึงวารยาจึงถามว่า
“นี่วารยาไปไหนเสียเล่าครับ ?”
“กลับไปเอาหนังสือมาให้ฉันอ่าน เดี๋ยวก็คงมา หมอให้นอนพักสักสองสามวัน ความจริงก็ไม่หนักหนาอะไร”
“ผมรู้สึกว่าวารยาคงจะทุกข์ร้อนมากทีเดียว” ข้าพเจ้าพูดเป็นเชิงถาม
“ในโลกนี้ ก็เหลือเราอยู่สองคนเท่านั้น” เสียงวลาดิมีร์ค่อนข้างเศร้า “ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวใหญ่ ชีวิตของเราอบอุ่นมาก ตลอดยุคทองในเปโตรกราด แต่เวลานี้มันเป็นยุคมืด ลูกเมียของฉันถูกจับไปยิงทิ้งต่อหน้าต่อตา ถึงเราสองคนพ่อลูกจะรอดมาได้ แต่เราก็หนีความทรมานใจไม่ได้ ฉันห่วงวารยา ถ้าฉันถูกมันตามยิงทิ้งอีกคนหนึ่งวารยาจะต้องอยู่คนเดียว”
“ท่านถูกตามหรือครับ ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความห่วงใย
วลาดิมีร์นิ่งไม่ตอบ รออยู่สักครู่ก็พูดว่า
“สตาลินไม่เคยให้โอกาสศัตรูของเขา ดูแต่ทร๊อตสะกี้ซี”
“ท่านคิดว่า วารยาจะถูกตามด้วยหรือครับ ?”
“วารยาเป็นผู้หญิง ไม่มีพิษสงอะไร อันตรายของวารยาไม่ได้อยู่ที่สตาลิน แต่อยู่ที่ชีวิตในปักกิ่ง”
“ชีวิตในปักกิ่ง ?” ข้าพเจ้าทวนคำอย่างแปลกใจ
“ชีวิตในปักกิ่งจะทำให้วารยาเสียชื่อ ตระกูลของเราจะเสียชื่อไม่ได้ วารยาจะต้องอยู่ในฮาร์บิน–อยู่ในโบสถ์เซนต์แมรี่” เสียงของชายชราเบา แต่หนักแน่น “แต่วารยาจะไปไม่ถึงเซนต์แมรี่ ถ้าฉันยังทำให้เขาต้องเป็นห่วง”
ข้าพเจ้าพยายามค้นหาความหมายของคำพูดประโยคสุดท้ายจากดวงตาอันขุ่นมัวซึ่งแย้มกว้างอยู่ใต้ขนคิ้วสีขาว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าได้พบความรู้สึกที่น่ากลัวในดวงตาคู่นั้น
เรานิ่งกันไปครู่หนึ่ง แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงอึดใจเดียว แต่ก็ดูเหมือนว่าเวลาได้ผ่านไปเป็นชั่วโมง ในที่สุดเสียงอันแผ่วเบาก็ผ่านออกมาจากริมฝีปากที่ถูกปกคลุมด้วยหนวดเคราสีขาวเหมือนสำลี
“ฉันไม่เคยไว้ใจใครในปักกิ่ง ฉันรู้ว่าพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นจะคุ้มครองวารยาได้ แต่เมื่อฉันได้พบเธอ ฉันก็รู้สึกว่าเธอเป็นเพื่อนแท้คนเดียวของวารยา”
ข้าพเจ้านิ่งฟังอย่างงุนงง พยายามหาเป้าหมายของเขา แต่ก็ยังมองไม่เห็น วลาดิมีร์พูดต่อไปว่า
“ฉันไม่อยากไปจากโลกนี้ แต่ถ้าฉันยังอยู่ วารยาก็ไปไม่ถึงพระเจ้า ฉันต้องการให้วารยาได้อยู่กับพระเจ้าจนตลอดชีวิต”
ข้าพเจ้ายิ่งงวยงงมากขึ้น แต่พอจะเอ่ยปากถาม ชายชราผู้ประกาศตัวเป็นศัตรูของสตาลิน ก็ชิงพูดเสียก่อนว่า
“ฉันรู้ดีว่าศัตรูติดตามฉันอยู่ตลอดเวลา แล้วอายุฉันก็มากแล้ว คงจะอยู่ไปได้ไม่นาน ฉันอยากให้วารยากลับไปฮาร์บิน ไปอยู่กับพระเจ้าที่เซนต์แมรี่ เธอเป็นเพื่อนที่ดีของวารยา เธอคงจะช่วยให้วารยาไปอยู่เซนต์แมรี่กับพระเจ้าได้ เธอเข้าใจฉันไม่ใช่หรือ, ระพินทร์ ?”
ข้าพเจ้าอยากจะพูดว่าข้าพเจ้าเกือบจะไม่เข้าใจอะไรเลย วลาดิมีร์กำลังพูดเรื่องที่เขารู้เพียงคนเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าจะช่วยให้วารยาไปอยู่เซนต์แมรี่กับพระเจ้าได้อย่างไร ? ข้าพเจ้ามีอะไรเหนือจิตใจของวารยาเช่นนั้นหรือ ?
วลาดิมีร์หลับตานิ่งคล้ายกับจะพยายามกับอารมณ์ที่ฟุ้งสร้านห่างไกลต่อเหตุผล ข้าพเจ้าตรึงตัวเองนิ่งอยู่กับเก้าอี้โดยไม่คิดจะพูดอะไรอีก ดูเหมือนจะมีอะไรมากระซิบอยู่ในใจว่า เข้าใจแล้ว...เข้าใจแล้ว...ไม่ต้องพูดก็ได้
แต่ข้าพเจ้าเข้าใจว่าอย่างไร ?