บทที่ ๒๙

บ่ายวันนั้นพายุใหญ่เริ่มพัดมาจากทิศตะวันตก หอบเอาฝุ่นสีแดงมาเต็มท้องฟ้า จนแลไม่เห็นดวงอาทิตย์ มันเป็นฝุ่นทรายที่ปลิวมาจากทะเลทรายโกบี ปักกิ่งได้ถูกฝุ่นทรายทับถมมาเป็นพัน ๆ ปีก่อนยุคพระเจ้าหวงตี้ เมื่อ ๒๖๙๐ ปีก่อนคริสต์กาล ฝุ่นปักกิ่งเป็นฝุ่นประวัติศาสตร์ เพราะมันทำให้เราคิดถ้าหากอยากจะคิด ข้าพเจ้าคิดถึงรกรากของคนไทยที่นักประวัติศาสตร์ซึ่งชอบสันนิษฐาน ก่อนจะพบหลักฐาน ได้สันนิษฐานไว้ว่า เดิมทีเดียวเคยเป็นเจ้าของแผ่นดินจีน ก่อนที่พวกจีนจะอพยพเข้ามาครอบครอง เรื่องรกรากของชาติมนุษย์เป็นเรื่องพูดยาก เพราะคนจีนเอง แม้จนบัดนี้ ก็ยังพิสูจน์กันไม่ได้ชัดว่าตนเป็นใคร–มาจากไหน หลายคนก็ว่ามาจากรอบ ๆ ทะเลสาบแคสเปี้ยน หลายคนก็ว่ามาจากที่ราบสูงปามีร์ แต่รวมความแล้วยอมรับกันว่า เดิมคนจีนก็คือพวกเร่ร่อน (nomads) พเนจรมาจากทิศตะวันตกอย่างน้อย ๔,๕๐๐ ปีมาแล้ว เข้ามาทางมณฑลส่านซี กระจายกันอยู่ตามลุ่มแม่น้ำเหลือง หรือแม่น้ำหวงเหือ (อึ้งโห–The Yellow River) ต่อมาก็ขยายเขตลงไปทางใต้ตั้งแต่สมัยฮั่นเรื่อยมา จนถึงสมัยนี้ซึ่งเมาเซตุงฝันไว้ว่าจะลงไปให้ถึงทะเลใต้ทีเดียว ! นักสันนิษฐานเขียนประวัติศาสตร์ไว้ว่า พวกไทยเดิมถูกจีนรุกร่นลงมาเรื่อย ๆ จนถึงแหลมทอง ถ้าเป็นจริงตามนักต้องถือว่าพวกเจ้าของถิ่นเดิมคนหนึ่งที่รบกับพระเจ้าหวงตี้ กษัตริย์จีนองค์แรก ๆ องค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่บริเวณนครปักกิ่งนี้ก็น่าจะเป็นกษัตริย์ไทยองค์หนึ่งได้ละกระมัง ? คู่ศึกของพระเจ้าหวงตี้ผู้นี้ก็คือพระเจ้าซือหยิว ผู้ครอบครองแผ่นดินบริเวณที่ปักกิ่งตั้งอยู่เดี๋ยวนี้ ในหนังสือโบราณชื่อหลี่จี้ มีหมายเหตุว่า ชือหยิว คือพวกเจ้าของถิ่นเดิมเผ่าซานเหมียว ตำนานกล่าวว่า พระเจ้าชือหยิวสามารถทำหมอกให้ข้าศึกหลงทางได้ และตำนานก็กล่าวต่อไปว่า พระเจ้าหวงตี้ก็สร้างเข็มทิศขึ้น แก้กลศึกหมอกของพระเจ้าชือหยิวได้สำเร็จ เลยจับพระเจ้าชือหยิวฆ่าเสีย มาคิดดูแล้วก็นึกไปถึงฝุ่นปักกิ่ง ถ้าข้าพเจ้าเป็นนักสันนิษฐานอีกสักคนหนึ่ง ก็อาจอุตริสันนิษฐานว่าหมอกของชือหยิว ก็คงจะเป็นฝุ่นที่พายุพัดมาจากทะเลทรายโกบีนี่เอง เพราะเวลาเกิดพายุฝุ่น เราก็แทบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ต้องปิดประตูหน้าต่างหมดกันฝุ่นเข้า แต่แม้กระนั้นทั้งห้องก็แดงไปด้วยฝุ่น ต้องปัดกวาดกันเป็นการใหญ่ เวลาเกิดพายุฝุ่น ออกไปกลางถนน มองกันไม่ค่อยเห็น ถ้าข้าพเจ้าเคยไปลอนดอนก็อยากจะเปรียบกับหมอกในลอนดอน มันเป็นภาพที่น่ากลัว, เสียงลมพัด, ท้องฟ้าสีแดงก่ำ, ฝุ่นสีแดงจนดำปลิวมาเป็นก้อน ๆ ถนนเงียบเป็นป่าช้า พายุฝุ่นพัดอยู่เป็นชั่วโมง ๆ บางทีก็ตลอดวันตลอดคืน บนหลังคาลูกฟูก ฝุ่นเกาะตามร่อง จนแทบจะเป็นแผ่นเรียบเสมอกัน ฝุ่นปักกิ่งอาจเป็นหมอกของพระเจ้าชือหยิว กษัตริย์ “ต้นตระกูลไทย” เดิมองค์หนึ่งก็ได้ ข้าพเจ้าคิดอย่างนักประวัติศาสตร์ที่ชอบสันนิษฐานกันอย่างไม่มีหลักฐาน

มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ที่ข้าพเจ้าต้องเร่ร่อนขึ้นไปถึงปักกิ่ง แผ่นดินโบราณที่มีคนเกิดคนตายทับ ๆ กันมาแล้วหลายพันปี...พระเจ้าชือหยิวอาจเป็นกษัตริย์ไทยองค์แรกในประวัติศาสตร์ ที่เสวยราชย์หรือเป็นเจ้าชีวิตอยู่แถวปักกิ่งนี้ แต่เมื่อข้าพเจ้าขึ้นไปถึงปักกิ่งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๓ ข้าพเจ้าไม่ได้พบคนไทยเลยสักคนเดียว มีแต่บัวซึ่งเพิ่งย้ายเข้ามาจากโตเกียวไม่ได้กี่เดือน ! มันก็อาจคิดให้ตื่นเต้นเล่นสนุก ๆ ได้เหมือนกันว่าที่ปักกิ่งแห่งนี้ “กษัตริย์ต้นตระกูลไทย” องค์หนึ่งได้เคยรบกับกษัตริย์ต้นตระกูลจีนองค์หนึ่งแล้วก็ถูกจับสำเร็จโทษไป (แต่ขอความกรุณาอย่าเชื่อก็แล้วกัน)

ในท่ามกลางฝุ่นสีแดงของทะเลทรายโกบีในวันนั้น ข้าพเจ้าได้รับความประหลาดใจที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อข้าพเจ้าเปิดประตูออกก็ต้องเผชิญหน้ากับเจียงเหมยซึ่งคลุมศีรษะด้วยผ้ากันฝุ่นจนเกือบจะเหลือแต่ลูกตา

“เจียงเหมย” ข้าพเจ้าร้องขึ้นอย่างตกใจ “เธอมาได้ยังไง ฝุ่นเต็มฟ้าจนเกือบจะกลายเป็นหมอกไปแล้ว”

“ฉันมาติดฝุ่นอยู่ที่ชิงเหนียนห้วย แล้วฉันก็ได้ความคิดว่ามาคุยกับเธอดีกว่า”

“ไปในห้องรับแขกกันเถอะ เธอควรจะดื่มอะไรบ้าง”

ข้าพเจ้าพาเจียงเหมยไปยังห้องรับแขก ซึ่งมีเก้าอี้นวมตั้งอยู่หลายชุด แล้วสั่งบ่อยให้เอาน้ำมะนาวมาตามที่เธอบอก ในห้องนั้นมีพวกมิชชันนารีนั่งอยู่สามคนทางมุมหนึ่ง เราเลือกเอามุมที่ใกล้หน้าต่างกระจก ซึ่งปิดสนิทพายุไม่สามารถจะพาฝุ่นเล็ดลอดเข้ามาได้

“ฉันมาจากเยียนจิงตั้งแต่เช้า” เจียงเหมยเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง “ก็เห็นฟ้าแดงอยู่ทางทิศตะวันตกเหมือนกัน ฝุ่นจะต้องมาแน่ แต่ฉันก็ต้องออกมา”

“เธอคงมีธุระสำคัญ” ข้าพเจ้าพูดเป็นเชิงถาม

“ก็น่าจะสำคัญ” หญิงสาวมองไปที่อื่นซึ่งไม่ใช่หน้าของข้าพเจ้า “พี่เฟเรียกให้ออกมาพบ”

“อ้อ” ข้าพเจ้าเดาเรื่องได้ทันที “แล้วเธอคงได้พบแล้ว”

เจียงเหมยพยักหน้า

“พบแล้ว เราพูดกันนาน แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกัน” นิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่งคล้ายกับจะคิดว่า เรื่องที่จะพูดต่อไปควรจะพูดหรือไม่ “พี่เฟ เป็นห่วงเรื่องสนานมาก เพราะตำรวจเรียกไปสอบ”

ข้าพเจ้าถอนใจเบา ๆ ไม่พยายามพูดอะไร ท่าทางที่ไม่แสดงความตื่นเต้นของข้าพเจ้า ทำให้เจียงเหมยสงสัย

“เธอรู้เรื่องแล้วใช่ไหม ?” ถามอย่างคาดคะเน

“ฉันพบเจียงเฟ บัวเขาก็รู้”

“อ้อ รู้กันหมดแล้ว” เจียงเหมยทำท่าไม่สบายใจ “ฉันคิดว่าบัวไม่รู้”

“เธอไม่ต้องการให้ใครรู้ใช่ไหม ?”

“โดยเฉพาะบัว”

“ทำไม ?”

“ฉันไม่อยากให้บัวเอาไปพูดในเมืองไทย”

ข้าพเจ้านิ่ง

“เธอเข้าใจว่ายังไง–เรื่องนี้ ?” เจียงเหมยถามต่อไปเมื่อเห็นข้าพเจ้าไม่พูด

“ฉันก็คิดว่า–” ข้าพเจ้าหลบตาลงต่ำแล้วนิ่งคิดประเดี๋ยวหนึ่ง “ฉันก็ชักหนักใจเหมือนกัน วันนั้นสนานเขาสีหน้าไม่ดีเลย วันที่เราเดินมาด้วยกันที่หน้าตึกพักของเธอ แล้วเขาโผล่พรวดออกมาจากต้นหยางน่ะ ฉันเข้าใจผิดคิดว่าเขาไม่พอใจฉัน แต่ตอนนี้เดาเรื่องได้แล้ว เขากำลังเดือดร้อนเรื่องตำรวจใช่ไหม ?”

“ใช่”

“เขาคงจะเล่าให้เธอฟัง...”

“สนานรู้ว่าไม่มีทางจะปิด เพราะเรื่องมันต้องแดงออกวันหนึ่งแน่ เขาก็ต้องเล่า”

“แล้วเธอว่ายังไง ?”

“เราพูดกันมากวันนั้น” เจียงเหมยถอนใจยาว โคลงศีรษะช้า ๆ “ฉันขอให้เขาเลิกติดต่อหลูกวง”

“เขารับปาก–ฉันรู้”

“เธอทายผิด เขาไม่รับปาก”

“แปลว่าเขาจะหน้าเดินต่อไป ?”

เจียงเหมยพยักหน้า ปล่อยให้เวลาผ่านไปอึดใจหนึ่งก็พูดว่า

“มันเป็นลัทธิประหลาด ลงได้เชื่อแล้วก็หลงไปเลย ฉันไม่เคยคิดว่าสนานจะกลายเป็นพวกหลูกวงไปได้”

“มันเป็นยาเสพติดร้ายแรงยิ่งกว่าฝิ่น”

“จริงของเธอ มันยิ่งกว่าฝิ่น เมื่อศตวรรษก่อนเรามีฝิ่นจักรวรรดินิยม เมืองจีนกลายเป็นแตงโมใบใหญ่ให้ฝรั่งกินโต๊ะกันอย่างอร่อยหลังจากสงครามฝิ่น แต่เดี๋ยวนี้เรามีฝิ่นคอมมิวนิสต์ เมืองจีนก็กลายเป็นกะทะน้ำมันเดือดใบใหญ่ เลือดจะต้องนองไปอีกนาน ประชาชนเตรียมตัวตายได้”

ข้าพเจ้ามองหน้าหญิงสาวผู้มีเลือดรักชาติด้วยความเห็นใจ เจียงเหมยมีสีหน้าเศร้าหมอง ไม่สดชื่นร่าเริงเหมือนอย่างเคย ไม่มีปัญหาเลย จะต้องมีการขัดแย้งกันอย่างรุนแรงเกิดขึ้นแล้วกับสนานผู้กำลังถือศาสนาใหม่ที่เป็นยาเสพติดยิ่งกว่าศาสนาใด ๆ

“ฉันเสียใจ–” ข้าพเจ้าไม่รู้จะพูดอะไรได้ดีกว่านี้

“ฉันได้ตั้งใจไว้ว่าฉันจะไม่เล่าอะไรให้เธอฟัง แต่พอมาถึงเธอมันก็ใจอ่อนไปหมด”

ข้าพเจ้ามองตาหญิงสาวเป็นเชิงถาม คำตอบที่ได้รับก็คือ ประโยคที่ทำให้ข้าพเจ้าสะเทือนใจ

“ฉันเห็นหน้าเธอ ฉันรู้ว่าฉันปลอดภัย ฉันอบอุ่น, ฉันไม่กลัวอะไรอีกเลย ไม่อยากปิดอะไรอย่างที่ตั้งใจ” เจียงเหมยสารภาพ

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าโลหิตฉีดแรงผิดปกติ ไม่ได้ดีใจ แต่ตื่นเต้นอย่างชนิดที่อธิบายไม่ได้ว่าตื่นเต้นอย่างไร ข้าพเจ้ารู้สึกว่าความใกล้ชิดที่เจียงเหมยมอบให้ข้าพเจ้า ได้พองตัวออกอย่างมากมายประมาณไม่ได้

“พี่เฟได้แต่ดุ แต่เธอไม่ดุฉันเลย” เธอพูดต่อไปเสียงเครือลงไปเล็กน้อย

“เธอคิดว่าเธอได้ทำผิดอะไรหรือ เธอถึงได้พูดอย่างนี้ ?” ข้าพเจ้าถามอย่างระมัดระวัง

“ฉันคิดว่าฉันกำลังจะทำผิด” เจียงเหมยตอบช้า ๆ แล้วก้มหน้านิ่ง

ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าอ่านความในใจของราชินีแห่งเยียนจิงได้ จึงนิ่งอยู่เช่นเดียวกัน อยากจะพูดแต่หาคำพูดไม่ได้

“เธอคงเข้าใจดีว่าฉันกำลังจะทำอะไรผิด ?” เจียงเหมยสบตาข้าพเจ้าอย่างกล้าหาญ

“ฉันพยายามเข้าใจเธอทุกอย่าง, เจียงเหมย ไม่มีอะไรที่ฉันไม่เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วฉันก็เห็นใจ เธออยู่ในที่ยาก”

“เธอเอาหัวใจฉันมาพูด” หญิงสาวสบตาข้าพเจ้าแล้วถอนใจเบา ๆ “ขอบคุณเธอเหลือเกิน, ระพินทร์ เธอเป็นเพื่อนคนเดียวที่เข้าใจฉัน”

ข้าพเจ้าถอนใจยาว โดยที่ตัวเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ ว่าถอนใจทำไม คำพูดของเจียงเหมยทำให้ข้าพเจ้าเกิดทั้งความสุขและความทุกข์ แล้วข้าพเจ้าก็อธิบายไม่ได้ว่า สุขอะไร ทุกข์อะไร ถึงอธิบายได้ก็ไม่อยากอธิบาย เพราะกลัวตัวเองเป็นที่สุดแล้ว

“แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป ?” ข้าพเจ้าถามเพราะทนความอยากรู้ไม่ได้

เจียงเหมยส่ายหน้าไปมาช้า ๆ มองออกไปนอกกระจกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าสีแดงเต็มไปด้วยความขุ่นมัวของฝุ่นทะเลทรายโกบี

“ฉันยังตอบไม่ได้ ฉันก็กำลังถามตัวเองอยู่เหมือนกัน, ระพินทร์”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“ฉันเข้าใจเธอ มันเป็นเรื่องที่ตอบยาก แต่สนานล่ะ–แปลว่าเขาได้ตอบเธอแล้วใช่ไหมว่าเขาต้องการอะไร ?”

“สนานได้ตอบฉันแล้ว แต่มันก็ไม่เด็ดขาด”

“ไม่เด็ดขาด ?”

“เขาก็ยังลังเล แต่ที่แน่มากก็คือ เขาจะต้องไปในทางของเขา เขาถือเป็นหน้าที่ต่อชาติบ้านเมือง แล้วก็ต่อโลกเสียด้วยซี”

“หน้าที่ ?”

“ถูกแล้ว, ระพินทร์ เขาว่าเขามีหน้าที่”

“ปฏิวัติ ?”

“ก็ทำนองนั้นแหละ เขาว่าโลกจะต้องเปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนสันติภาพก็มีไม่ได้ เขาเข้าใจว่าเขาเป็นสันติชน–เป็นนักบุญ”

“นักบุญ” ข้าพเจ้าถอนใจแล้วส่ายหน้า “นักบุญ–คนบาป ! ฉันว่าเขาเข้าใจเพียงครึ่งเดียว เขาจะต้องช่วยเมาเซตุงฆ่าคนเป็นล้าน ๆ อาจจะถึงสิบ ๆ ร้อย ๆ ล้านก็ได้ ถ้ามีอาวุธที่ฆ่าได้เหมือนเอาไฟเผารังมด เสร็จแล้วเขาก็จะต้องฆ่ากันเอง เพราะนักบุญที่สร้างบุญจากการฆ่า มันก็ต้องหันมาฆ่ากันเองต่อไป ตามแบบฉบับของลัทธิเผด็จการ ดูรัสเซียเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน ทร็อตสะกี้อยู่ได้ไหม ? เธอคงเคยได้ยินชื่อพลเอกบลูเช่อร์ หรือที่เรียกกันว่า กาเลน คอมมิวนิสต์รัสเซียคนนี้มาเมืองจีนเมื่อห้าหกปีก่อน เป็นมือสำคัญมือหนึ่งของสตาลิน ที่ส่งเข้ามาแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่แล้วกาเลนก็ถูกสตาลินหาเหตุยิงเป้าเสีย มันเป็นเรื่องของนักบุญแบบหลูกวงนั่นแหละ นักบุญฆ่ากันเอง แล้วในที่สุดนักบุญก็ไม่มีเหลือ”

“แต่สนานเขาไม่เห็นอย่างเธอ” เจียงเหมยพูดอย่างซึมเซา

“เขาเห็นยังไง ?”

“เขาเห็นว่าเขาจะต้องเป็นทหารเอกของเมาเซตุง เขาจะต้องได้เป็นใหญ่ในทะเลใต้”

“เป็นใหญ่ในทะเลใต้ ?” ข้าพเจ้าทวนคำด้วยความประหลาดใจ

“เขาจะออกไปครองประเทศเล็ก ๆ ทางใต้ประเทศจีน ตามความฝันของเมาเซตุง”

“อ้อ, เขาคิดอย่างนั้น”

“ไม่ใช่คิด เขาเชื่อ”

“ก็ช่วยไม่ได้ มันเรื่อง ambition ของคนหนุ่ม”

“เขาพูดถึงเมืองไทย”

“พูดว่ายังไง ?”

“เธอฟังแล้วก็อย่าไปต่อว่าเขานะ เรื่องมันเป็นไปไม่ได้หรอก”

“ฉันรับรองว่าจะไม่พูด”

“เขาว่าเมาเซตุงจะต้องครองเมืองจีนได้สำเร็จ แล้วต่อจากนั้นก็จะเข้าไปยึดครองไทย พม่า มลายู เรื่อยลงไปจนถึงทะเลใต้ สนานเขาเชื่อว่าเขาจะต้องได้เป็นใหญ่ เขาว่าหลูกวงส่งชื่อเขาไปให้เมาเซตุงในหูหนานแล้ว”

ข้าพเจ้าส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ สนานเป็นนักกีฬาที่ยิ้มแฉ่งอยู่เสมอ, ใจกว้าง, เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จับมือข้าพเจ้าอย่างมิตร–จับอย่างอบอุ่น แต่ในใจของเขา–เขาจะยึดเมืองไทยเทียวหรือ ? ใจมนุษย์–อย่างว่า–มันหยั่งกันไม่ถึง

ข้าพเจ้าถอนใจเบา ๆ แล้วพูดว่า

“ฉันไม่อยากให้สนานคิดอย่างนั้นเลย เราควรจะขึ้นเพื่อนกัน”

“ศาสนาคอมมิวนิสต์–เธอก็รู้–ความสำเร็จมันอยู่เหนือเพื่อน–เหนือทุกอย่าง แม้แต่พ่อแม่ของตัวเอง นี่แหละ, ระพินทร์, ชัยชนะของนักวัตถุนิยม แต่มันเป็นชัยชนะของคนแพ้ !”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ