- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๓๑
๑
เช้าวันหนึ่งมีโทรศัพท์มาจากวารยา ราเนฟสกายา ซึ่งพูดมาจากคาบารอฟสก์ เสียงของวารยาแม้จะยังสดใสอ่อนหวาน แต่ก็แฝงเอาความรู้สึกบางอย่างไว้จนข้าพเจ้าจับได้ วารยาพูดถึงวลาดิมีร์ ซึ่งกำลังถูกนายตำรวจสันติบาลคุกคามหาเหตุจะให้เป็นคอมมิวนิสต์ ทั้ง ๆ ที่จางโซเหลียงได้รับรองมากับเหลียงกวงด้านแล้วว่า ไม่มีเชื้อโรคคอมมิวนิสต์อยู่ในตัววลาดิมีร์เลย เป้าหมายของนายตำรวจสันติบาลคนนั้นซึ่งข้าพเจ้าเคยรู้จักเมื่อตอนเสด็จในกรมกำแพง ฯ เสด็จถึงปักกิ่ง ไม่มีอะไรมากกว่าการรีดไถเงินจากวลาดีมีร์ วารยาบอกว่าตลอดปี วลาดิมีร์ถูกเขารีดไถหลายพันเหรียญ บุรุษชราแห่งเปโตรกราดผู้มีเคราขาวเป็นสำลีต้องขายเครื่องเพชรออกไปทุก ๆ เดือน เพื่อเลี้ยงชีวิตให้รอด เครื่องเพชรของเขามีค่ามหาศาล เป็นเพชรประจำตระกูลและตระกูลนี้แม้วลาดิมีร์จะไม่เปิดเผย ต้องเป็นตระกูลใหญ่ในยุคพระเจ้าซาร์ เพราะหาไม่แล้วก็จะมีเครื่องเพชรอันมีค่ามหาศาลนี้ไม่ได้เลย วลาดิมีร์ต้องขายเพชรเลี้ยงชีวิตและเลี้ยงพวกรีดไถ ซึ่งมีทั้งทหารและตำรวจ ตลอดจนนักการเมืองที่ผลัดกันเข้ามาครอบครองปักกิ่งหลังการปฏิวัติ ค.ศ. ๑๙๑๑ วารยาบอกข้าพเจ้าว่า เธอได้คำนวณไว้ว่าเพชรจะหมด เพราะเอาไปแลกเป็นเงินเหรียญภายในเวลาไม่เกินสามสี่ปี และเมื่อเพชรหมดแล้ว พ่อกับตัวเธอก็พร้อมที่จะอดตายอยู่ในทะเลหิมะซึ่งยากที่จะละลายได้
เสียงที่แล่นมาตามสายในวันนั้น นอกจากจะแสดงความห่วงใยในตัวพ่อผู้ชราแล้ว วารยายังพูดถึงเจียงเฟ เธอบอกว่านายตำรวจสันติบาลคนนั้นได้พูดกับวลาดิมีร์ ว่าเจียงเฟเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นหัวหน้านักกีฬาที่กำลังจะอาศัยเหตุร้ายในแมนจูเรียก่อความวุ่นวายขึ้น วลาดิมีร์รู้ดีว่าเจียงเฟเป็นเพียงหนุ่มจีนผู้รักชาติเท่านั้น ไม่มีทางจะเป็นคอมมิวนิสต์ได้เลย ข้าพเจ้าได้คุยให้วลาดิมีร์ฟังบ่อย ๆ ว่า เจียงเฟผู้เป็นลูกหลานของเจียงไน่อาน วีรชนผู้รักชาติที่มีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ เป็นคนรักชาติ–รักอิสรภาพ–และรักเสรีภาพของชาติมนุษย์ เขาต่อสู้เพื่อชาติจีน–และเพื่อความรอดพ้นของมนุษย์ทั้งโลก ซึ่งเขาเข้าใจว่าจะต้องตกเป็นเหยื่อของลัทธิเผด็จการทางเศรษฐกิจสังคมซึ่งกำลังแผ่อำนาจออกไปในแผ่นดินส่วนต่าง ๆ ของโลกภายใต้เสื้อคลุมของระบอบที่เรียกกันว่า “ประชาธิปไตย” เจียงเฟไม่ใช่คอมมิวนิสต์ เจียงเฟเป็นได้เพียงผู้รักชาติและผู้บูชาเสรีภาพของมนุษยชาติเท่านั้น แต่นายตำรวจผู้นั้น–วารยาบอกมาทางโทรศัพท์–กำลังจะกล่าวหาว่าเขาเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นคนของเมาเซตุง ผู้กำลังยึดแคว้นหูหนาน เพื่อสร้างรัฐคอมมิวนิสต์ขึ้นตามแบบฉบับของสตาลิน
จากเรื่องเจียงเฟที่กำลังตกอยู่ในสายตาของตำรวจ วารยาก็ข้ามไปพูดถึงเจียงเหมย วารยาชมว่า เจียงเหมยเป็นผู้หญิงที่สวยงามองอาจกล้าหาญ เป็นผู้นำคนหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาหญิง และด้วยน้ำเสียงที่แปร่งผิดปกติ วารยาได้พูดออกมาประโยคหนึ่งว่าควรแล้วที่ข้าพเจ้าจะให้ความสนใจต่อเจียงเหมย ข้าพเจ้าพยายามชี้แจง แต่วารยาได้รับตัดบท และวางหูโทรศัพท์เสียในฉับพลัน
ข้าพเจ้ายืนงง มือถือหูโทรศัพท์ค้างอยู่ที่หู ไม่เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น แต่ในที่สุดก็มีเสียงกระซิบว่า ข้าพเจ้าต้องไปพบวารยา ข้าพเจ้าจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ชี้แจงให้วารยาเข้าใจ
๒
ข้าพเจ้าไปพบวารยาในตอนกลางวัน เราออกไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันที่มอริสสันสตรีทหรือหวางฝูจิ่งต้าเจีย ภัตตาคารมาร์โคโปโลเป็นร้านอาหารที่ไม่ใหญ่โตนัก เจ้าของเป็นมุสลิมจีน ซึ่งมีอยู่ราว ๓ เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองในปักกิ่ง เป็นคนจีนที่ไม่กินหมูเช่นเดียวกับมุสลิมในประเทศอื่น ๆ พวกมุสลิมได้เข้ามาสู่แผ่นดินจีนครั้งแรกในแผ่นดินซ้อง (ซุ่ง) ประมาณพันปีมาแล้ว หญิงมุสลิมคนหนึ่งมีวาสนาได้เป็นถึงพระสนมของพระเจ้าเฉียนหลุง ซึ่งทำให้พวกมุสลิมเข้ามามีอิทธิพลกว้างขวางมากขึ้นในปักกิ่ง ได้มีการสร้างสุเหร่าขึ้นมากมายหลายสิบแห่งทั้งในและนอกกำแพงเมือง ที่หวางฝูจิ่งต้าเจียก็มีสุเหร่าที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง พวกมุสลิมแต่งตัวแบบจีนทุกอย่าง พูดภาษาจีน อ่านเขียนภาษาจีน ถูกกลืนเป็นคนจีนโดยไม่รู้ตัว สิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้ว่ายังเป็นมุสลิมอยู่ก็คือผิวที่ค่อนข้างคล้ำ และการปฏิเสธอาหารที่ทำจากหมู โดยเหตุนี้ที่ภัตตาคารคาร์โคโปโลจึงไม่มีอาหารหมูขายเลย แต่ก็มีอาหารให้เราเรียกได้ทุกอย่าง แม้จนกระทั่งอาหารเสฉวนและอาหารกวางตุ้งซึ่งมีรสชาติไม่ชืดเหมือนอาหารปักกิ่ง
วันนั้นภัตตาคารมาร์โคโปโลมีคนบางตา วารยาเลือกโต๊ะข้างหน้าต่างกระจกซึ่งสามารถมองลอดออกออกไปเห็นท้องถนนหวางฝูจิ่งได้ เธอสั่งหมี่เสฉวน ข้าพเจ้าสั่งหมี่กวางตุ้ง ซึ่งมีรสชาติใกล้เคียงกับพวกหมี่หรือเกี๊ยวในเมืองไทย
วารยายังคงมีแววตาแจ่มใสร่าเริงตามเคย แต่ข้าพเจ้ารู้ดีว่าเธอต้องใช้ความพยายาม ไม่ได้ร่าเริงอย่างบริสุทธิ์ใจ ผู้หญิงรัสเซียคนนี้มีจิตใจเข้มแข็งและไว้ตัว ไม่ยอมแสดงความอ่อนแออะไรออกมาให้เห็นง่าย ๆ
เราคุยกันถึงเรื่องร้อยแปดซึ่งไม่ใช่เรื่องของเจียงเหมย ข้าพเจ้าสะกดใจไม่เอ่ยถึงเจียงเหมยเลย เพราะต้องการจะดูว่าวารยายังคงสนใจกับราชินีเยียนจิงผู้นี้อยู่อีกหรือไม่ หลายครั้งที่เราพูดเฉียดไปถึงเจียงเหมย แต่ก็ไม่มีใครพูดต่อไปจนถึงตัวเจียงเหมย คงปล่อยให้เรื่องด้วนอยู่แค่นั้น ดูเหมือนว่าเรากำลังลองดีกัน ต่างคนต่างจะรอดูว่าใครจะเป็นคนเอ่ยถึงเจียงเหมยก่อน
๓
ชั่วโมงหนึ่งผ่านไป โดยที่ยังไม่มีฝ่ายใดยอมแพ้ที่จะเอ่ยถึงเจียงเหมยขึ้นก่อน แล้วในที่สุดนาทีแห่งความตื่นเต้นก็มาถึง นายตำรวจคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่แบบชาวซานตุง ในยูนิฟอร์มสีดำผ้าพันหมวกขาว ก็ก้าวเข้ามาในห้องอาหารด้วยท่าทางที่บอกว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่นั่งอยู่บนศีรษะของประชาชนในปักกิ่ง ตลอดสมัยของสงครามกลางเมือง ตำรวจกับทหารเป็นอภิสิทธิชน ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ชอบขูดรีดราษฎรและชอบกินสินบน ข้าพเจ้ามองดูอภิสิทธิชนเหล่านี้ด้วยความหวาดเสียวในใจ เมืองไทยของข้าพเจ้ากำลังจะปฏิวัติ ถ้าข่าวลือเกิดเป็นจริงขึ้นมา เราจะมีอภิสิทธิชนเหมือนเมืองจีนไหม ? เราจะมีนักประชาธิปไตยที่มีสันดานเป็นประชาธิปไตย หรือว่าเราจะมีนกกระสาในนิทานอีสป ?
นกกระสาปักกิ่งในชุดยูนิฟอร์มสีดำกวาดตาไปรอบ ๆ ห้อง เราเคยรู้จักกันเมื่อสมัยเขาไปยืนรับเสด็จกรมกำแพง ฯ ที่สถานีรถไฟเฉียนเหมิน และเป็นนายตำรวจคุ้มกันตลอดเวลาที่เสด็จในกรมประทับอยู่ในปักกิ่ง แต่ในบัดนี้เขาไม่ยอมทักข้าพเจ้า เราสบตากันแล้วเขาก็เปลี่ยนสายตาไปที่วารยา เขายิ้มอย่างผู้มีอำนาจ แล้วก็หันไปนั่งยังโต๊ะกลมใหญ่พร้อมด้วยนายตำรวจอีกสามคนที่ติดตามเขาเข้ามา เจ้าของร้านชาวมุสลิมรีบกระวีกระวาดออกมาต้อนรับอย่างแทบจะหมอบราบกราบกราน เขาสั่งป๋ายกั๊นด้วยเสียงอันดัง แล้วก็ตะโกนตามหลังไป ให้เอาเป็ดปักกิ่งมาสองตัว
ข้าพเจ้ามองหน้าวารยา ในแววตาของทายาทหญิงตระกูลใหญ่แห่งเปโตรกราดมีอะไรที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องระวังตัว เราลดเสียงพูดให้เบาลง ได้ยินเพียงเราสองคนเท่านั้น วารยาพูดด้วยเสียงกระซิบว่า
“เจ้าคนนี้แหละ พ่อจะต้องจ่ายมันพันเหรียญในเดือนหน้า”
ข้าพเจ้าพยักหน้าโดยไม่มองไปยังนกกระสาปักกิ่งสามดาวคนนี้
“ฉันรู้จักเขาดี แต่เขาไม่ทัก เราก็ไม่อยากทัก”
“มันเป็นตำรวจที่เลวที่สุดในโลก” วารยาชายหางตาไปทางอภิสิทธิชนของปักกิ่งซึ่งกำลังดื่มป๋ายกั๊นอยู่อย่างมีความสุข
เราได้ยินเสียงเขาเรียกว้อดก้าด้วยเสียงดังกลบห้อง แล้วก็มีเสียงเจ้าของภัตตาคารขานตอบอย่างเคารพนบนอบ
“เธอคิดไหมว่าเจียงเฟจะรอด ?” วารยากระซิบเบา ๆ
ข้าพเจ้าไม่ตอบ แต่ถามว่า
“เธอพบเจียงเฟหรือยัง ?”
“ยัง”
“ฉันจะต้องไปบอกเจียงไฟให้รู้ตัว แต่มันคงไม่เกิดประโยชน์อะไร คนอย่างเจียงเฟไม่เคยกลัวตำรวจหรือทหาร”
“เธอเชื่อไม่ใช่หรือว่าเจียงเฟไม่ใช่คอมมิวนิสต์”
“เจียงเฟไม่มีทางจะเป็นคอมมิวนิสต์ได้เลย เขาเป็นศัตรูของคอมมิวนิสต์”
“เธอเคยคุยการเมืองกับเจียงเฟบ้างหรือเปล่า ?”
“เคย”
“เธอว่าเขามีหัวไปทางไหน ?”
“เจียงเฟเป็นแนชะแนลิสต์ เป็นนักต่อต้านลัทธิเผด็จการ เขาไม่เป็นฝ่ายรัฐบาลเท่า ๆ กับที่เขาไม่เป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์”
วารยาถอนใจเบา ๆ
“เขาไม่มีทางรอด” สตรีสาวเลือดสลาฟพูดอย่างหนักใจ “คนอย่างเจียงเฟไม่เหมาะที่จะอยู่ในเมืองจีน”
“แต่ฉันว่า เมืองจีนต้องการเจียงเฟ” ข้าพเจ้าพูดอย่างมั่นใจ “คนอย่างเจียงเฟจะสร้างโลกใหม่ที่น่า ไม่มีคนอย่างเขามนุษย์จะกลายเป็นทาส”
“เป็นทาส ?” วารยามีสีหน้าไม่เข้าใจ
“เวลานี้คนจีนกำลังเป็นทาสของนักปฏิวัติจอมปลอม หรือนักปฏิวัติที่มองชีวิตแค่คืบทั้งทางฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา เราต้องการคนที่ยืนขึ้นต่อต้านกับนักใส่หน้ากากเหล่านี้ เราจะถอยหลังไม่ได้ เจียงเฟอาจไม่รอด แต่เมืองจีนมีเจียงเฟอีกมากมายนัก คนเหล่านี้จะสร้างจีนใหม่ที่อยู่เป็นสุข”
“เธอคิดว่า เจียงเหมยเป็นคนที่เธอต้องการหรือเปล่า ?” วารยาหลุดปากออกมาด้วยอารมณ์ที่ควบคุมไว้ไม่ได้
ข้าพเจ้าสบตาหญิงสาว แล้วก็หยุดคิดเพื่อหาคำตอบที่รอบคอบ
“เธอว่าเจียงเหมยเป็นคนที่ฉันต้องการ เธอตั้งประโยคผิด เธอควรจะพูดว่าเจียงเหมยเป็นคนที่ชาติจีนต้องการ”
“เธอมีความเห็นในตัวเจียงเหมยอย่างไรบ้าง, ระพินทร์” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติ
ข้าพเจ้ายิ้มก่อนที่จะตอบ
“ฉันว่าในโลกของสตรีจีนยุคนี้ เจียงเหมยเป็นผู้หญิงตัวอย่างที่ชาติจีนต้องการ”
“เป็นผู้หญิงที่ควรบูชา ?” วารยาสอดขึ้นทันที
“ฉันว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นดอก แต่เมืองจีนต้องการผู้หญิงอย่างเจียงเหมย เช่นเดียวกับที่ต้องการผู้ชายอย่างเจียงเฟ”
วารยามองตาข้าพเจ้า แต่ไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าไม่มีความต้องการจะพูดอะไรอีก
ข้าพเจ้าปล่อยเวลาให้ผ่านไปอึดใจหนึ่ง ด้วยความอึดอัดที่อธิบายไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องการให้วารยาเข้าใจว่า ในความรู้สึกอันแท้จริงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกต่อเจียงเหมยอย่างไร
แล้วข้าพเจ้าก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“ฉันมาดูเมืองจีนมากกว่ามาเรียนวิชาที่เขาให้ฉันเรียน ฉันคิดว่าฉันเห็นเมืองจีนแล้ว คำตอบของเมืองจีนก็คือเวลา เวลาจะบอกเราว่า เมืองจีนจะทำให้โลกสงบหรือวุ่นวาย ฉันต้องการให้เมืองจีนมีคนอย่างเจียงเฟเจียงเหมย คนอย่างนี้เป็นคนรักมนุษยชาติ เขาเกิดมาเพื่อจะสร้างโลกให้ร่มเย็นเป็นสุข เขาอาจเป็นนักปฏิวัติก็ได้ แต่เขาไม่ปฏิวัติเพื่อเอาความทุกข์มาให้ประชาชนอย่างนักปฏิวัติฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ซึ่งได้ฆ่าคนจีนมาแล้วเป็นจำนวนล้าน ฉันเข้าใจเจียงเฟและเจียงเหมย ฉันเชื่อว่าวันใดที่เขาเป็นใหญ่ขึ้นมา วันนั้นโลกจะมีคนดีที่โลกต้องการ แต่ว่า.....” ข้าพเจ้าถอนใจเบา “ทุกวันนี้เราพบแต่คนดีที่โลกไม่ต้องการ ฉันไม่เข้าใจว่า โลกต้องการอะไร ประชามติของโลกกำลังเป็นบ้า เรากำลังฆ่ากันโดยที่เราไม่เคยรู้จักหน้าค่าตากันเลย ฉันว่าเรากำลังช่วยกันดับเทียนเพื่อต่อให้โลกมืด”