บทที่ ๕๕

ข้าพเจ้าออกจากที่พักของจรินทร์ พร้อมกับบัว ด้วยความมืดที่เต็มไปด้วยความสงสัย คำพูดของลอยที่กล่าวถึงตู้หลิงนายตำรวจสันติบาลเจ้าของบ้านที่แบ่งห้องให้ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่หนานเฉิง ได้แสดงชัดว่า ลอยกับตู้หลิงต้องมีอะไรกัน ลอยเพิ่งจะมาถึงปักกิ่งเป็นครั้งแรก เขาไม่มีโอกาสรู้จักตู้หลิงมาก่อน เขาจะต้องมีใครที่ชักนำให้เขาติดต่อกับนายตำรวจผู้นี้ ใครผู้นั้นควรจะเป็นจรินทร์มากกว่าคนอื่น สีหน้าและท่าทางของลอยในวันนั้นปิดรอยพิรุธไม่พ้น เขาจะต้องมีเรื่องสำคัญเกี่ยวข้องกับนายตำรวจสันติบาลผู้นี้อย่างแน่นอน ก็เรื่องอะไรเล่า ? การเมืองหรือ ? การค้าหรือ ? ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือการค้า, ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ในใจว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถจะมองลอยกับจรินทร์ในแง่ดีได้

คนไทยสองคนนี้ได้กลายเป็นคนลึกลับไปแล้วนับตั้งแต่วันนั้น ข้าพเจ้าต้องระวังตัว ไม่กล้าปล่อยตัวเหมือนก่อน ๆ จรินทร์ไม่กลับเมืองไทย เขาต้องการจะตายอย่างนักท่องโลก ลอยก็อีกคนหนึ่ง ที่จะท่องโลกไปอย่างไม่มีวันกลับเมืองไทยเหมือนกัน คนสองคนนี้จะท่องโลกไปทำไม ? เขาเป็นคนลึกลับจนเกินที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้เสียแล้ว

ข้าพเจ้าแยกกับบัวกลับหนานเฉิง เย็นวันนั้นเรารับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้า เสี่ยวเม่กับตู้หลิงก็นั่งอยู่ด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะมาล่า เพราะเสี่ยวเม่มักจะซ้อมวอลเล่ย์บอลล์ ส่วนตู้หลิงมักจะค่ำอยู่ตามเหลาที่ตลาดตุงอัน

เราคุยกันถึงเรื่องที่แล้วแต่อารมณ์จะพาไป ก่อนที่ข้าวชามสุดท้ายจะหมดเพราะเรี่ยวแรงของตะเกียบที่ทำด้วยงาแท้ ข้าพเจ้าก็หาโอกาสพูดถึงลอย

ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นว่า

“เออ ฉันได้เพื่อนคนไทยอีกคนแล้วละ เพิ่งมาถึงปักกิ่ง คุยกันมาเมื่อตะกี้”

เสี่ยวเม่หันมามอง แล้วพูดว่า

“ก็ดีซี พี่จะได้เหงาน้อยลงอีก เป็นคนไทยหรือเป็นลูกจีนจ๊ะพี่ ?”

“ก็เรียกว่าเป็นคนไทย แต่ผมแดง จมูกโด่ง พวกคนลากหยางเชอว่าเป็นอเมริกัน”

“ครึ่งชาติ ?”

“ไม่รู้เขา แต่นามสกุลแปลไม่ออก เพราะคงไม่ใช่ภาษาไทย”

“เหมือนอเมริกันก็ดี จะได้เดินเต็มถนนอย่างพวกมารีนในสถานทูต”

ข้าพเจ้าหัวเราะ

“เธอคงเกลียดพวกมารีน ?”

“เมื่อเดือนที่แล้ว ฉันเห็นมารีนคนหนึ่งถอดเข็มขัดไล่ตีคนตามถนนที่ฮาตะเหมิน”

“ถ้าเป็นเมืองไทย ก็ต้องหัวแตกแน่”

“ถ้าเป็นในกวางตุ้ง ก็คงหาศพไม่พบ เราเกลียดอิมพีเรียลิสต์เดนตายพวกนี้”

“เธอมีเหตุผลจะเกลียดฝรั่ง เพราะฝรั่งรังแกเมืองจีนมานาน แต่ฉันคิดว่า สักวันหนึ่งจีนจะเป็นมหาอำนาจ ก็เพราะฝรั่งรังแก”

“ฉันอยากให้วันนั้นมาถึงเร็ว ๆ เออ, เพื่อนใหม่ของเธอชื่ออะไรนะ ?”

ข้าพเจ้าลอบชำเลืองดูตู้หลิง รู้สึกว่าเขากำลังหูผึ่งคอยฟังอยู่

“ลอย” ข้าพเจ้าพยายามออกเสียงให้ชัด

ตู้หลิงมีอาการคล้ายกับจะสะดุ้ง แต่เขารีบก้มหน้าพุ้ยข้าวต่อไปด้วยตะเกียบงา

ข้าพเจ้าแน่ใจว่า ตู้หลิงจะต้องมีการติดต่อกับลอยแน่นอน ลอยไม่เคยมาปักกิ่ง ทำไมตู้หลิงจึงติดต่อกับเขาได้ คนทั้งสองคงจะยังไม่เคยเห็นหน้ากัน จะต้องมีคนกลางที่เคยติดต่อให้ และคนผู้นั้นก็ควรจะเป็นจรินทร์

เขาติดต่อกันด้วยเรื่องอะไร ? การค้าหรือการเมือง ? ตำรวจปักกิ่งมีทั้งการค้าและการเมือง ทำมาหากินเก่ง มีอภิสิทธิ์มากมาย เขาเป็นคนพวกหนึ่งที่ประชาชนหวาดกลัว

ที่ “ตู้ไจ่” หรือบ้านนายตู้ มีโทรศัพท์ใช้ฟรี เพราะเป็นบ้านนายตำรวจ วันหนึ่งเมื่อหิมะกำลังละลาย และชุนเทียนกำลังก้าวย่างเข้ามา คือหลังจากที่ลอยได้เข้ามาถึงปักกิ่งไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ ข้าพเจ้าก็ได้รับโทรศัพท์จากวารยา ราเนฟสกายา บอกให้ไปพบที่คาบารอฟสก์หลังโรงพยาบาล P.U.M.C. มีธุระด่วน

ข้าพเจ้ารีบไปพบวารยาในตอนเย็นวันนั้น วารยามีสีหน้าซีดเซียว ในแววตาเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวล คำแรกที่วารยากล่าวแก่ข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้งทันที

“พ่อต้องการให้ฉันกลับแมนจูเรีย”

“ฮาร์บิน ?” ข้าพเจ้าถามอย่างใจเต้น

“โบสถ์เซนต์แมรี่”

“ทำไม ?” เสียงของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

“พ่อบอกว่า ถ้าฉันเข้าโบสถ์ได้พ่อจะหมดห่วง”

ข้าพเจ้าจ้องหน้าหญิงสาวชาวเปโตรกราดด้วยเจตนาจะค้นหาคำอธิบายในแววตาของเธอ ข้าพเจ้ารู้สึกหวิววาบบอกไม่ถูกเมื่อประสานตากัน ดวงตาคู่นั้นมีความรู้สึกลึกซึ้ง, เศร้าหมอง, วิงวอน, เป็นดวงตาของผู้ที่กำลังอยู่ในทุกข์หนัก

“วารยา” ในที่สุดข้าพเจ้าก็คุมสติได้ “เธอเคยพูดถึงโบสถ์เซนต์แมรี่ ฉันไม่อยากจะเข้าใจว่า เธอจะไปขังตัวอยู่ในโบสถ์แห่งนี้”

“มันอาจเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ฉันกำลังจะรู้สึกว่า สุดทางของชีวิตของฉันได้ใกล้เข้ามาแล้ว บางทีโบสถ์เซนต์แมรี่จะเป็นทางออกทางสุดท้ายของฉันก็ได้”

“เธอไม่คิดสู้ชีวิตหรือ ? เราจะอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ถ้าเราไม่สู้”

วารยาถอนใจยาว

“ฉันมีเหตุผลที่จะเลิกสู้กับชีวิต” เธอพยายามยิ้มคล้ายกับจะปลอบตัวเอง “พ่อต้องทรมานมากเพราะห่วงฉัน แล้วอีกประการหนึ่ง ฉันก็เบื่อหน่ายชีวิตมากขึ้นทุกวัน ฉันพบแต่ศัตรู มีเธอคนเดียวที่มาคบฉันอย่างสุจริต”

“ศัตรู ?”

“เธอคงไม่เข้าใจ, ระพินทร์ ฉันมีศัตรูมาก” วารยาโคลงศีรษะไปมาช้า ๆ “เหลียงทำให้ฉันเกือบจะไม่เชื่อใครอีก แล้วก็พวกตำรวจ... เราถูกบีบคั้นจนทนไม่ได้ แล้วที่ร้ายกาจมากก็คือ พวกที่อยู่ตรงกันข้ามกับเรา เธอรู้ดีว่าพ่อกับฉันเป็นพวกขาว เป็นพวกไม่มีชาติ”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“ฉันเข้าใจ แต่ว่า เซนต์แมรี่เป็นทางออกของเธอแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วพ่อเล่า ?”

วารยานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง คล้ายกับหาคำตอบไม่ได้ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ดูราวกับกำลังถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียวในโลก

“พ่อไม่ได้ให้แสงสว่างแก่ฉันเลย ฉันยังไม่รู้ว่าพ่อจะอยู่ไปได้อย่างไรในปักกิ่ง พ่อต้องการอย่างเดียวให้ฉันไปเสียจากที่นี่ ส่วนตัวพ่อไม่ยอมพูดถึง”

“แล้วเธอจะทิ้งพ่อไปฮาร์บินได้อย่างไร ?”

“นั่นซี ฉันก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ แล้วก็ความจริงฉันก็ยังไม่อยากไปจากปักกิ่ง”

ข้าพเจ้าสบตาเธอ รู้สึกว่าข้าพเจ้าได้เห็นดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาลัย ปรากฏอยู่ในแววตา

“ฉันก็ไม่อยากให้เธอไป วารยา” ในที่สุดข้าพเจ้าก็หลุดปากออกไปอย่างไม่ตั้งใจ

วารยามองหน้าข้าพเจ้าด้วยความรู้สึกที่ข้าพเจ้าเดาไม่ถูก แต่แววตาของเธอดูจะคลายความเศร้าลงเล็กน้อย

“เธอพูดจริงใจหรือ, ระพินทร์ ?” เธอถามเสียงเบา แต่น้ำหนักของถ้อยคำทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้ง

“ฉันไม่เคยพูดอะไรกับเธอ โดยไม่มีความจริงใจ” ข้าพเจ้าตอบ

“เธอทำให้ฉันรู้สึกว่า โลกนี้ยังไม่ว้าเหว่จนเกินไปนัก” วารยายิ้มน้อย ๆ สีหน้าสดใสขึ้น “ระพินทร์, รู้ไหมว่าก่อนจะพบเธอ ฉันมีความรู้สึกอย่างไร ?”

ข้าพเจ้ามองตาเธอนิ่งอยู่ วารยาก็ยังคงสบตาข้าพเจ้าอยู่ตามเดิม

ความเงียบได้เข้ามาครอบคลุมห้องรับแขกแห่งคาบารอฟส์กครู่หนึ่ง ก่อนที่วารยาจะกล่าวต่อไป

“เธอคงไม่รู้ ฉันอยากจะสารภาพกับเธอก่อนที่เราจะจากกันไปคนละโลก ว่าก่อนที่ฉันจะพบเธอ ฉันมีพ่ออยู่คนเดียวที่ฉันจะพึ่งได้ ฉันไม่มีใครอีกเลย แต่เมื่อฉันได้พบเธอแล้ว ฉันสบายใจขึ้น เพราะมีความเชื่อมั่นใหม่ ๆ เกิดขึ้นในชีวิต ฉันเชื่อว่าฉันได้พบโลกที่ไม่เงียบเหงาเดียวดายเหมือนแต่ก่อน”

ข้าพเจ้าบอกไม่ถูกว่า ข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังวารยาพูด ความในใจที่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะได้ยิน สีหน้าและแววตาของเธอบอกหมดทุกอย่างว่า เธอมีอะไรอยู่ในใจ

ข้าพเจ้ายังคงนิ่งอยู่ เพราะยังหาคำพูดที่ควรจะพูดออกมาไม่ได้

วารยาหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดต่อไปว่า

“เธอคงจะตกใจที่ฉันพูดความจริง แต่ระพินทร์จ๊ะ, เธออย่าเข้าใจอะไรให้มากเกินไป ฉันต้องการเพียงสารภาพชีวิตของฉันให้เธอฟังเท่านั้น, ไม่ต้องการอะไรอีก ฉันคิดว่าฉันมีสิทธิจะพูดความจริง เพื่อความสบายใจของฉันเอง ฉันไม่ได้ใช้สิทธิเกินกว่าที่ฉันมี เธอไม่ต้องกลัวคำพูดของฉัน เธอมีหน้าที่ของเพื่อนแท้ เพียงแต่รับฟังเท่านั้น แล้วก็ฉันไม่อยากให้เธอเอาคำพูดของฉันไปคิด ไปจดจำ ปล่อยให้เวลามันผ่านไปดีกว่า แล้วเธอก็ลืมเสีย เราควรอยู่ในโลกนี้ด้วยการลืม อย่าไปจดจำอะไร เพราะมันทรมานชีวิต ความจำทำให้ชีวิตสั้น ไม่มีอะไรในชีวิตที่เราควรจะจดจำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแก่เราในชั่วชีวิตหนึ่ง เป็นได้เพียงสิ่งที่สมมุติขึ้นเท่านั้น มันหลอกเราเหมือนผี มันผ่านไปกับเวลา ไม่มีอะไรในโลกที่เราจะยึดมั่นได้ว่าเป็นของเรา วิญญาณดวงเดียวเท่านั้น ที่อาจจะเป็นของเราได้ แต่ถ้าตายแล้วสูญ เราก็จะไม่มีอะไรเหลืออีกเลย เธอเชื่อไหมว่าวิญญาณของเรายังอยู่เมื่อเราตายแล้ว ?”

ข้าพเจ้ายังคงอยู่ในอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความงงงวยและหวั่นไหว เพราะคำพูดที่วารยาไม่เคยพูดกับข้าพเจ้า อะไรทำให้เธอพูดเช่นนี้ ? ดูเหมือนว่าเธอกำลังอยู่ในความฝัน ที่มีทั้งความมืดและความสว่าง

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ