บทที่ ๑๑

แล้วพายุก็ทำท่าจะพัดมา เหตุการณ์ได้เป็นไปอย่างที่ข้าพเจ้าได้พูดกับเจียงเหมยที่เยียนจิงในวันนั้น

มุกเด็นจะต้องถูกยึดอย่างไม่มีปัญหาเลย เรือรบญี่ปุ่นออกมาแล่นอยู่เต็มทะเลเหลือง ปักกิ่งกำลังหวั่นไหว เพราะถ้ามุกเด็นในแมนจูเรียถูกยึด ปักกิ่งก็คงจะอยู่ไม่ได้

ข้าพเจ้าไม่ได้พบเจียงเหมยอีกเลยเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เพราะมัววุ่นวายอยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังรัดตัวเข้ามาในจีนเหนือ คุณแม่กับน้องสาวคนเดียวของข้าพเจ้าจะมีความทุกข์ทรมานมากกว่าใคร, เขียนจดหมายถามไปฉบับแล้วฉบับเล่า เพื่อนฝูงโรงเรียนเทพศิรินทร์ และบรรดามิตรในวงการหนังสือพิมพ์ก็พากันแสดงความห่วงใยไป ทุกคนวิตกว่า ถ้าญี่ปุ่นกับจีนเกิดรบกันขึ้น ข้าพเจ้าจะหนีไปไหนพ้น เราไม่มีสถานทูตไทยในปักกิ่ง เพราะจีนกับไทยยังไม่เปิดสัมพันธ์ทางการทูตกัน ทั้ง ๆ ที่เลือดจีนเลือดไทยก็ผสมกันมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหยา

คุณพ่อคนเดียวไม่เขียนจดหมายเลย ท่านไม่แสดงความตื่นเต้นตกใจ คุณแม่เล่ามาทางจดหมายว่า คุณพ่อยิ้มเมื่ออ่านข่าวญี่ปุ่นจะบุกปักกิ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ ท่านว่ามันก็ดีไปอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสใช้ลำแข้งของตัวเองได้ดีขึ้น เช่นเดียวกับที่ท่านได้เคยใช้มาแล้วเมื่อเป็นหนุ่ม ชีวิตต้องการความชำนาญ เราต้องเรียนชีวิตด้วยการจับต้อง, ไม่ใช่ด้วยการอ่านตำราร้อยแปดอย่างเดียว คุณพ่อยังคงใจเด็ด เหมือนสมัยขึ้นไปปราบอั้งยี่ที่เกาะช้างด้วยทหารครึ่งโหล ท่านต้องการให้ลูกชายคนเดียวของท่านเรียนชีวิตด้วยของจริง รู้จักความดุร้าย ความขมขื่นและความกลับกลอกหลอกลวงของมัน ข้าพเจ้าจำได้ว่าวันที่ข้าพเจ้าเดินทางออกไปจากเมืองไทย คุณพ่อขึ้นไปส่งข้าพเจ้าและอยู่กับข้าพเจ้าบนเรือ Kalgan ที่ท่าบอเนียว จนถึงเวลาเรือจะเคลื่อนลำ ท่านยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าจับ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้กราบเท้าอำลาท่านแล้ว ท่านบีบมือลูกชายคนเดียวของท่านแน่น แล้วพูดว่า “เป็นผู้ใหญ่กันเสียทีนะลูก ต่อไปนี้ขอให้พึ่งตัวเอง”

คำสุดท้ายของท่านก้องอยู่ในหูตลอดเวลาหลายสิบปีผ่านไป ข้าพเจ้าพึ่งตัวเอง พึ่งมือขวาที่ถือปากกาซึ่งมีอยู่เพียงเดียวและหมึกสีเดียวคือสีขาว, พึ่งปัญญาที่ริบหรี่อยู่ในความมืดของแผ่นฟ้าที่หาขอบเขตไม่ได้, และพึ่ง กฎแห่งกรรม ซึ่งไม่เคยพึ่งได้ เพราะกรรมคือถนนสายเดียวที่จะต้องเดิน, ไม่มีทางแยก

ข้าพเจ้าได้เดินไปบนถนนสายเดียวสายนี้จนถึงปักกิ่งด้วยการพึ่งตัวเอง และข้าพเจ้าไม่ลืมวันที่ปักกิ่งจะแตก โดยที่ไม่รู้จะมุดหัวเข้าไปพึ่งพิงสถานทูตไหน ปักกิ่งแตกแน่ เมื่อมุกเด็นแตกแล้ว แต่ดอกเถาดอกเหมยก็ยังชูกลีบบานสะพรั่งอยู่ในฤดูชุนเทียน, องอาจ, สดใส และสวยงาม

ที่คาบารอฟสก์ เรายังคงดื่มและเต้นรำกันอยู่ เหลียงกับวารยายังคงไปที่นั่น คืนไหนคืนนั้น เราต้องพบเขาทั้งสองที่โต๊ะเล็ก ๆ มุมห้อง ข้างกระถางสนแคระแห่งภูเขาท่ายซาน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสรู้จักวารยามากขึ้น เราได้เต้นรำกันเป็นครั้งคราวขณะที่บัวกับจรินทร์คุยสนุกอยู่กับเหลียง เหลียงดูจะพอใจที่ข้าพเจ้าพาวารยาออกไปในฟลอร์ ข้าพเจ้าคิดว่าเขาได้มีโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศอันจำเจ เขาคงจะคุยกับวารยาคนเดียวมานาน จนไม่รู้จะคุยอะไร คนเราเกิดมาด้วยเวลา แล้วก็เปลี่ยนไปด้วยเวลา–เวลาคือพระเจ้าของความเปลี่ยนแปลง

วันหนึ่งข้าพเจ้าไปเยียนจิงอีก เพื่อจะเยี่ยมเจียงเหมยกับสนาน แต่ทั้งคู่เข้าไปซื้อของในเมือง ข้าพเจ้าจึงเลยไปเยี่ยมศาสตราจารย์หวูมี่ที่มหาวิทยาลัยชิงหวา ซึ่งตั้งอยู่เคียงมหาวิทยาลัยเยียนจิง ศาสตราจารย์หวูมี่คือการ์เดี้ยนของข้าพเจ้า ท่านได้ปริญญาเอกทางวรรณคดีจากประเทศอังกฤษ, มีความรู้ทางวรรณคดีอังกฤษอย่างลึกซึ้งไม่แพ้วรรณคดีจีน, เป็นทั้งกวีและสะกอล่าร์ที่มีชื่อเสียงมากในวงนักปราชญ์วรรณคดีของประเทศจีน ท่านศาสตราจารย์หวูมี่เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษจีน ที่ไม่ยอมทิ้งคัมภีร์ของขงจื๊อ ท่านเป็นสัญญลักษณ์ของจีนเก่าซึ่งกำลังละลายมาเป็นจีนใหม่ ท่านต่อสู้เพื่ออดีตที่เป็นพื้นฐานของการสร้างอนาคต ท่านไม่ได้ทำลายอดีตเพื่อจะสร้างอนาคต ศาสตราจารย์หวูมี่เป็นนักปฏิรูปสังคม, ท่านเกลียดการปฏิวัติ และไม่ยอมพบหน้าพวกนายพลเลย

“ฉันอยากให้เธออยู่กับเรานาน ๆ” ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าตอนหนึ่ง “แต่ขอให้ระวัง อย่าติดนิสัยชอบปฏิวัติของพวกเราไปก็แล้วกัน เมืองไทยของเธอ–ฉันภาวนา–อย่าให้ใครปฏิวัติขึ้นเลย”

“เราไม่ชอบปฏิวัติหรอกครับ ราษฎรของเราหัวอ่อน พูดกันดี ๆ ก็รู้เรื่องถมไป” ข้าพเจ้าชี้แจง “สำหรับผม, รับรองว่าไม่เคยคิดปฏิวัติ มันยังไม่จำเป็น เราจะขาดทุนมากกว่ามีกำไร”

หวูมี่ เหล่าเซียนเซิง พยักหน้า

“เมืองจีนของฉันจะเป็นสนามรบต่อไปอีกนานนัก มันเป็นกรรมของราษฎร พวกนายพลรบกันเอง คอมมิวนิสต์รบรัฐบาล ที่ญี่ปุ่นก็จะเข้ามานั่งอยู่บนหัวของราษฎรอีก เราไม่มีทางออกเลย ที่เมืองจีนมันก็มียุคของมัน ถ้าเธออ่านให้มาก เธอจะเห็นว่ายุคอย่างนี้มันมีมาแล้วนับไม่ถ้วน ถ้าเราจะต้องเกิดมาเป็นคนจีน เราก็ต้องไม่ประหลาดใจที่มาพบยุคอย่างนี้”

ในฐานะที่เป็นการ์เดี้ยนเช่นเดียวกับนายหลอชาง ศาสตราจารย์หวูมี่ตอบไม่ได้ว่าท่านจะช่วยอะไรข้าพเจ้าได้ ถ้าญี่ปุ่นบุกเข้ามาในกำแพงเมือง ท่านบอกว่า ท่านเองก็คงจะนั่งอยู่ในห้องหนังสือของท่านต่อไป และทางออกทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ ข่มใจเขียนโคลงทิ้งไว้ให้ลูกหลาน จนกว่าปักกิ่งจะเงียบเพราะปืนใหญ่และรถถัง

จะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ข้าพเจ้าผละจากท่านศาสตราจารย์หวูมี่แล้วก็เดินเรื่อยไปที่ต้าหยวน ซึ่งอยู่ข้าง ๆ มหาวิทยาลัยชิงหวา ต้าหยวนเป็นสวนจีนขนาดกลาง มีน้ำ มีหิน มีเก๋ง และต้นหลิวที่สยายกิ่งอันเล็กเรียวลงไปเหนือพื้นน้ำ เหมือนนางฟ้าสยายผม ข้าพเจ้าคิดว่าจะนั่งกินน้ำชาอยู่ที่ต้าหยวนสักครู่ ก่อนจะเดินทางกลับเข้าประตูเมืองปักกิ่ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกไม่เกิน ๑๐ ไมล์

แต่ที่เก๋งริมแก่งหินจำลองข้างสระน้ำฝน มีผู้หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนนั่งอยู่ตามลำพัง, ไม่มีการเคลื่อนไหวอิริยาบถ, นิ่งและเงียบ, คล้ายกับรูปสลักหินหยกสีเขียวอันมีค่า

ข้าพเจ้าชะงัก แล้วข้าพเจ้าก็ใจเต้นเพราะรูปสลักหินหยกสีเขียวรูปนั้น คือวารยา ราเนฟสกายา

ข้าพเจ้าหยุดคิดนิดหนึ่ง–คือคิดว่าวารยามาทำไม มาคนเดียวหรือ ?

แล้วข้าพเจ้าก็ตกลงใจ ค่อย ๆ เดินตรงเข้าไปหา วารยาเหลียวหน้ามา มีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะคงไม่คิดว่าจะพบข้าพเจ้านอกกรุงปักกิ่งถึง ๑๐ ไมล์ และในสวนจีนอันเงียบสงัดแห่งนี้

“ฮัลโหล ระพินทร์” เธอร้องทุกอย่างตื่นเต้น “เราไม่ได้นัดกันเลยไม่ใช่หรือ ?”

ข้าพเจ้าหัวเราะอย่างร่าเริง

“เห็นจะต้องถามพระเจ้าเสียแล้ว เธอมานั่งอยู่ทำไมคนเดียว ?”

“ฉันมากับเหลียง”

“แล้วเหลียงล่ะ ?”

“ไปประชุมที่ชิงหวา เราจะมีการแข่งขันฟุตบอลล์ประจำปี ทีมเซ้าท์ไชน่าจะขึ้นมาโจมตีปักกิ่ง”

“อ้อ, เห็นข่าวในลีดเดอร์เหมือนกัน เธอคงหนีมานั่งอยู่ที่นี่นานแล้ว ?”

“สักครู่ นี่เธอมาคนเดียวหรือ ?”

“บัวกับจรินทร์เขาไม่ว่าง ฉันก็ไม่รู้จะไปไหน เลยมาคุยกับโปรเฟสเซอร์หวูมี่” ข้าพเจ้าตอบแล้วนั่งลงบนม้าหิน “เธอไม่ดื่มอะไรหรือ–น้ำชา ?”

“ก็ดีเหมือนกัน” วารยายิ้มอย่างอ่อนหวาน

ข้าพเจ้าร้องสั่งน้ำชาด้วยภาษาปักกิ่ง ซึ่งเพิ่งรู้ไม่กี่ร้อยคำ วารยาชมว่าสำเนียงของข้าพเจ้าชัดดี

“เจียงเฟเขาสอนดีมาก เขาเป็นครูประจำตัวของฉัน เขามีวิธีออกเสียงที่ทำให้ไม่รู้สึกยาก” ข้าพเจ้าอธิบาย “เธอคงไม่เคยพบเจียงเฟ ?”

วารยายิ้มอย่างมีความหมาย

“ฉันพบเจียงเหมย”

ข้าพเจ้าชะงักด้วยความแปลกใจ น้ำเสียงของวารยามีอะไรบางอย่างที่สะดุดใจทันที

“เธอรู้จักเจียงเหมย ?” ข้าพเจ้าจ้องหน้าเธอเพื่อจะค้นหาความจริง

“ฉันมาที่เยียนจิงกับเหลียงบ่อยๆ ถ้าไม่รู้จักเจียงเหมยก็แย่กันเท่านั้นเอง ใคร ๆ ก็ต้องรู้จักราชินีแห่ง Forbidden City”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสายตาของวารยาที่พุ่งมายังข้าพเจ้ามีความหมายอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ซึ่งข้าพเจ้ายากที่จะเข้าใจได้ แม้ว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องคิด แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกประหม่าอย่างที่เข้าใจตัวเองไม่ได้เลย

“เธอคงคุ้นกับเจียงเหมยมาก ?” ข้าพเจ้าถาม

วารยาหัวเราะเสียงใส

“เธอรู้ไหม, ระพินทร์, เธอตื่นเต้น”

“ตื่นเต้น ?” ข้าพเจ้าตกใจเล็กน้อย พยายามควบคุมสติอย่างระวังตัว ข้าพเจ้ากำลังถูกโจมตีแน่นอน

“เธอคงสนใจกับเจียงเหมยมากซีนะ, ระพินทร์,” วารยาถามยิ้ม ๆ

“ฉันสนใจกับทุกคนที่นี่”

“ที่เยียนจิง”

“ทุกแห่งในปักกิ่งที่รู้จัก”

“แต่ฉันว่าคงไม่มีใครน่าสนใจเท่าเจียงเหมย ฉันก็สนใจ”

ข้าพเจ้าพยายามหัวเราะเสียงดัง เพื่อทำลายบรรยากาศที่ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่ากำลังจะเคร่งเครียด

“เออ, ฉันถามเธอบ้างละ, วารยา เธอว่าเธอสนใจ สนใจอะไร ?”

“อ้าว ก็สนใจเพราะเป็นราชินีเยียนจิงน่ะซี สนใจความสวยงาม สนใจความเก่ง สนใจความกล้า”

“สวย–เก่ง–กล้า เธอวาดภาพให้เจียงเหมยใกล้เคียงกับความจริงมาก สนานเขาจะต้องภูมิใจ”

“เธอรู้จักสนานหรือ ?”

“เขามาจากเมืองไทย เธอรู้จักเขาเหมือนกันใช่ไหม ?”

“ถ้าฉันรู้จักเจียงเหมย ฉันก็ต้องรู้จักสนาน”

ข้าพเจ้าหัวเราะด้วยเจตนาที่จะกลบความรู้สึกบางอย่างในสีหน้า

“จริงของเธอ สนานเป็นเงาของเจียงเหมย”

“พวกผู้ชายคงอิจฉาสนาน” วารยามองตาข้าพเจ้าอย่างท้าทาย

“จริงของเธออีก ฉันรับว่าฉันอิจฉาสนาน”

“เออ, พูดออกมาเสียอย่างนี้ ทุกคนก็สบายใจ”

“ทุกคน ? รวมทั้งตัวเธอด้วยหรือ, วารยา ?” ข้าพเจ้าวางแผนจะรุกเอาบ้าง

“ฉันรับว่าใช่” วารยาตอบอย่างองอาจ

“ทำไม ?”

“อ้าว, ก็ไม่ต้องเอาไปคิดนะซี”

“คิดอะไร ?”

“คิดสงสัยว่าเธอจะอิจฉาสนานหรือไม่ ?” พูดแล้วก็หัวเราะ

“ขออนุญาตถามนิดเถอะ, วารยา ทำไมเธอจะต้องสงสัย ?”

“เพราะฉันเป็นคนชอบสงสัย” รอยยิ้มยังมีอยู่ แววตายังเป็นประกาย “ฉันคิดว่าเธอคงไม่อยากให้มีสนาน”

“ตายจริง ! ฉันมิบาปแย่หรือ ?” ข้าพเจ้าทำตาโต

“ฉันคิดว่าฉันเข้าใจผู้ชายดี” วารยาพูดช้าๆ อย่างพยายามจะอธิบาย “ผู้ชายมีธาตุอิจฉา ผู้ชายชอบความสวยงามของผู้หญิง เขามีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้หญิงที่สวย ๆ แล้วก็–เขาไม่อยากให้ใครเข้ามาเกะกะหัวใจ ผู้ชายเป็นอย่างนี้ใช่ไหม ระพินทร์ ?”

“ฉันว่าผู้หญิงกับผู้ชายก็มีหัวใจเหมือน ๆ กัน” ข้าพเจ้าพยายามตั้งหลักเพื่อจะต่อสู้ “ความสวยงามผู้หญิงผู้ชายก็ชอบคล้าย ๆ กัน แต่ความงามของผู้ชายไม่เหมือนผู้หญิง ผู้หญิงชอบความสง่า, ความแข็งแรง, ความกล้าหาญของผู้ชาย เพราะผู้ชายเป็นผู้ป้องกัน เธอก็คงไม่พูดว่าเธอไม่ชอบผู้ชายแบบนี้ ?”

“แต่เธอก็คงไม่พูดว่าเธอไม่ชอบผู้หญิงอย่างเจียงเหมย” วารยารุกเพื่อจะป้องกันตัว

ข้าพเจ้าพยักหน้ารับ พยายามทำใจให้กล้า

“เธอชอบอะไรในตัวเจียงเหมย ?” วารยาถามอย่างสนใจ

“เธอสนใจมากหรือ วารยา ?” ข้าพเจ้าสบตาสาวงามเลือดสลาฟ

“ฉันสนใจ” เธอตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

“เพราะอะไร ?”

“เพราะฉันต้องการศึกษาจิตใจของผู้ชายน่ะซี–โดยเฉพาะผู้ชายคนไทย ซึ่งฉันรู้จักเป็นคนแรก”

“บัวล่ะ ?”

“ฉันไม่ถือว่าฉันรู้จัก”

“เพราะเหตุใด ?”

“เพราะเขามีแต่ความกว้าง ไม่มีความลึก”

“บัวเป็นคนเปิดเผย ใจดี”

“แต่ฉันสนใจกับความลึก”

“ความลึก?” ข้าพเจ้าสบตาเธอเพื่อขอคำอธิบาย

“ความลึกคือความเข้าใจ คนเราจะเข้ากันได้อย่างสุจริต ก็เพราะหัวใจมีความลึก พวกนักปรัชญามีความลึกมากกว่าพวกพ่อค้า”

“เธอคงชอบปรัชญา ?”

“ชีวิตของคนเป็นปรัชญา แต่ที่เรามองข้ามไปเสียก็เพราะเราขาดความลึก”

“เธอทำให้ฉันสนใจมากขึ้นวันนี้” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ

“แต่ก่อนเธอไม่เคยสนใจมากเท่าวันนี้หรือจ๊ะ ระพินทร์ ?” วารยาสบตาข้าพเจ้าระหว่างที่พูดแล้วก็มองออกไปที่ต้นหลิว

“ฉันก็สนใจ แต่ไม่มากเท่าวันนี้” ข้าพเจ้าตอบ “วารยา, ฉันเป็นคนช่างคิด คิดบ้า ๆ บอ ๆ ล้วนแต่เรื่องที่คนเขาไม่คิดกัน ฉันเป็นคนบ้าที่ต้องห่วงตัวเอง ฉันรู้ว่าความคิดบ้า ๆ บอ ๆ ของฉันจะต้องทำให้ฉันเดินเข้าไปในป่าใหญ่ เมื่อฉันกลับเมืองไทย–เป็นป่าชีวิตที่มืดทึบ เมื่อหลงเข้าไปแล้วก็หาทางออกไม่ได้ คนที่เข้าใจตัวเองโดยไม่แคร์ว่าใครเขาจะเข้าใจหรือไม่ เป็นคนโง่เอาตัวไม่รอด ฉันรู้อนาคตของฉันดี ฉันสนใจเธอมากขึ้นในวันนี้ ก็เพราะฉันชอบคำว่าความลึกของเธอ ฉันเข้าใจเธอก็เพราะเธอมีความลึก จริงของเธอคนเราจะเข้าใจกันได้ ก็เพราะความลึกของหัวใจ ฉันคิดว่าเธอคงจะเข้าใจฉันเท่าที่ฉันเข้าใจตัวเอง บางทีเธออาจเป็นคนเดียวที่เข้าใจฉันก็ได้”

“ฉันได้คุยกับเธอหลายครั้ง” วารยาพูดช้า ๆ น้ำเสียงหนักแน่น “ฉันคิดว่าฉันเข้าใจเธอ, ระพินทร์, คนทั้งโลกเขาอาจไม่เข้าใจเธอ แต่ขอให้เธออุ่นใจได้ว่าฉันเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจ ความคิดของความคิดของเธอที่เราคุยกันที่ชีซานวันนั้น ฉันเข้าใจดี”

“ขอบใจ วารยา” ข้าพเจ้าถอนใจอย่างมีความสุข “ฉันจะไม่ลืมเธอ เราจะต้องจากกันในวันหนึ่ง เมื่อฉันกลับเมืองไทย แต่เธอจะเป็นกำลังใจของฉันจนตลอดชีวิต”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ