- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๗
๑
หิมะยังไม่ละลาย เรามีเรื่องที่จะต้องพูดกันอีกมาก จรินทร์ กอนซาเลสกระเด็นเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้า เหมือนถูกเหวี่ยงด้วยมือของพระเจ้าหรือของอะไรก็แล้วแต่ ที่มีอำนาจมากพอจะผลักดันชีวิตของมนุษย์ให้กลิ้งไปในเส้นทางที่ส่วนมากเขาไม่เคยปรารถนาจะเข้าไปเดินเร่ร่อนอยู่เลย ข้าพเจ้าคิดว่า จรินทร์อาจเป็นบุคคลที่ข้าพเจ้าจะต้องใช้ความระมัดระวังมากแม้ในการพูดที่ต้องประหยัดถ้อยคำ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้าพเจ้าก็เกิดความรู้สึกว่า จรินทร์เป็นเพื่อนที่ดีมีน้ำใจ รักษาคำพูด สุภาพเรียบร้อย และตรงต่อเวลา จรินทร์มีชีวิตที่อิ่มแปล้ไปด้วยชีวิต บางทีชีวิตอาจจะสอนเขาว่า เมื่อเขาพบนกพิราบที่ไม่เคยเป็นภัยแก่ใครเขาก็ไม่ควรจะแสดงตัวเป็นเหยี่ยวที่มุ่งแต่จะฆ่าเพื่อให้ชีวิตได้รอดอยู่
อย่างไรก็ดี จรินทร์ กอนซาเลส เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีความเป็นไทยเต็มตัว เขาเกลียดพวกทหารต่างชาติที่เข้ามารักษาสถานทูต เหตุที่เกลียดก็เพราะว่าทหารพวกนี้ทำท่าเป็นนักเลงโตอยู่ตลอดเวลา คนไทยมีนิสัยแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ชอบนั่งอยู่บนศีรษะของใคร และในเวลาเดียวกันก็ไม่ต้องการให้ใครมานั่งอยู่บนศีรษะของเขา จรินทร์เคยโรมรันกับทหารพวกนี้หลายครั้งเพราะถูกเข้าใจว่าเป็นคนกวางตุ้ง บางครั้งเขาก็ต้องใช้ตีนไทยอย่างเจ้ากี้เจ้าการ เพราะทนดูนักรบผิวสำลีเหล่านี้รังแกคนจีนกลางถนนไม่ได้ นี่แหละ–จรินทร์ !...นักเผชิญโชคเผชิญภัย ผู้เห็นชีวิตเป็นปุยนุ่นที่ลอยไปในสายลมพัด
จากปากคำของจรินทร์ ข้าพเจ้าได้ทราบว่าเขาเป็นเพื่อนที่คุ้นกับสนาน ตั้งเรืองแสง มาก จรินทร์บอกว่าสนานเป็นคนดีคนหนึ่ง ถ้าข้าพเจ้าได้รู้จักก็คงจะต้องชอบเขา และจากสนานเขาก็เล่าไปถึงเจียงเหมย– ดาวเยียนจิง ซึ่งอาจจะได้รับเลือกเป็นมิสเยียนจิงคนต่อไป เขาบอกข้าพเจ้าว่าสนานหายใจเป็นเจียงเหมย ข้าพเจ้าก็ว่าเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินที่เจียงเหมยควรจะถูกตอม ข้าพเจ้าได้เห็นรูปของผู้หญิงสาวคนนี้จากฝีมือถ่ายของบัว ข้าพเจ้าก็ยังอดหลับตามองเห็นหน้าเจียงเหมยไม่ได้ จรินทร์ชวนให้ข้าพเจ้าไปเที่ยวเยียนจิง ข้าพเจ้าก็รับคำ
จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ เรา บัว จรินทร์ และข้าพเจ้านัดพบกันที่ ไว.เอ็ม.ซี.เอ. เวลา ๗.๐๐ น. ที่นั่นเป็นสถานีปลายทางของรถบัสสายปักกิ่ง–เยียนจิง–ชิงหวา รถบัสสายนี้มีอยู่ไม่กี่คัน และเป็นรถบัสสายเดียวที่เชื่อมเยียนจิงกับปักกิ่งซึ่งอยู่ห่างกันสิบกว่าไมล์เท่านั้น นักศึกษาเยียนจิง ชิงหวา รวมทั้งพวกโปรเฟสเซ่อร์ต่างก็ต้องอาศัยรถสายนี้เพราะไม่เคยมีใครมีรถยนต์ส่วนตัวแม้แต่ดีนหวู่เล่ยชวน รถยนต์ส่วนตัวในปักกิ่งหาทำยายากเต็มที มีแต่รถแท้กซี่รุ่นยวนซีไข ซึ่งมีอยู่นับคันได้
บัสฟอร์ดสีเทาควบปุเลง ๆ ไปตามถนนหินที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ข้าพเจ้าได้เห็นภาพชนบทนอกกำแพงมหานครปักกิ่งเป็นครั้งแรก ขณะนั้นกำลังชิวเทียน ใบมะฮอกะนีสีแดงร่วงไปเป็นส่วนมาก แต่ต้นไผ่ยังยืนอยู่อย่างท้าทายกับลมหนาว สองฟากถนนเป็นทุ่งนาและที่ราบ ดินสีเหลือง ซึ่งถูกถมอยู่ใต้ฝุ่นของทะเลทรายโกบีนับเป็นหมื่น ๆ ปี ทำให้เนื้อดินโปร่งไม่อุดตันเหมือนดินเหนียว พืชที่ชาวบ้านปลูกเลี้ยงชีวิตก็มีข้าวสาลีกับถั่วหรือโซยาบีน ตลอดท้องทุ่งเราเห็นกองดินรูปสถูปเล็ก ๆ ที่เรียงรายอยู่เหมือนดอกเห็ดที่แข่งกันโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน สถูปเหล่านี้จรินทร์อธิบายว่าคือหลุมฝังศพทั้งใหม่และเก่า มีอายุนับด้วยศตวรรษก็มี คนจีนรอบปักกิ่งฝังศพไว้ในท้องทุ่งใกล้ ๆ บ้าน เวลายิ่งผ่านไปจำนวนสถูปก็ยิ่งมากขึ้น สักวันหนึ่งอาจไม่มีที่ดินปลูกข้าวปลูกถั่วก็ได้ ข้าพเจ้าคิด
เราผ่านหลุมศพของบารอน ฟอน เคตตเล่อร์ ราชทูตเยอรมันที่ถูกพวกนักมวย (Boxers) ฆ่าตายในวันแรกที่สถานทูตนานาชาติถูกล้อมแบบอินเดียนแดง เพื่อจะลากตัวพวกฝรั่ง ญี่ปุ่น ออกมาฆ่าให้สมแค้น เพราะได้ทำการปล้นเมืองจีนมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ ๑๙ หลุมศพของเคตตเล่อร์ราชทูตเยอรมันนี้วันหลังข้าพเจ้าเช่ารถแท้กซี่ไปเที่ยวสุสานราชวงศ์เหม็ง (หมิง) หรือ Ming Tombs ได้เข้าไปดูถึงที่ ก็เห็นยังอยู่ครบถ้วน คือป้ายหินสลักชื่อบอกปีตายยังอยู่หลุมศพพูนดินกันขอบด้วยหิน บริเวณรอบ ๆ ต้นสนขึ้นรุงรังเพราะไม่มีใครคอยดูแลตกแต่งทำให้มืดทึบวิเวกวังเวง บารอน ฟอน เคตตเลอร์ราชทูตเยอรมันก่อนสงครามไกเซ่อร์ ได้นอนนิ่งอยู่ในป่าสนนี้มาหลายสิบปีแล้ว บทบาทของเคตตเลอร์แม้จะไม่เหี้ยมเกรียมป่าเถื่อนเหมือนบทบาทของ ม. ปาวี มนุษย์ใจหินนักล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสที่เข้ามาปล้นเมืองไทยในสมัยใกล้เคียงกับยุคบ๊อกเซ่อร์ แต่เขาก็เป็นคนหนึ่งที่พวกนักมวยผู้แค้นจนคลั่งมั่นหมายว่าจะต้องฆ่าตามคำสั่งประหารของฮองไทเฮา คือพระนางตสือสีผู้สร้างวันสุดท้ายให้แก่ราชวงศ์แมนจู ความจริงเคตตเลอร์ไม่น่าจะถูกฆ่า ถ้าเขาเก็บตัวอยู่หลังกำแพงของสถานทูต แต่คนเราเมื่อมันถึงที่จะต้องตาย มันก็ต้องออกมาให้เขาฆ่ากลางถนนจนได้ และเมื่อฆ่าแล้วพวกนักมวยอี้เหือฉวนผู้ทะนงตัวว่ามีของวิเศษยิงไม่เข้าฟันไม่ออก ก็คุมกันเข้าถล่มสถานทูตนานาชาติอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นทุกทิศ แล้วศึกราชทูตแปดชาติกับพวกนักมวยเพชฌฆาตมืดของฮองไทเฮาก็เปิดการแสดงเป็นข่าวใหญ่กระพือไปทั่วโลกถึง ๕๕ วัน และในวันสุดท้ายฮองไทเฮาผู้สร้างวันสุดท้ายให้แก่ระบอบฮ่องเต้ก็ปลอมพระองค์เป็นไพร่สามัญขึ้นเกวียนเล็ดลอดหนีออกไปจากประตูชัยของปักกิ่งทางทิศตะวันตกมุ่งหน้าไปสู่คุนหมิงหู แดนสงบและสวยงามที่ วารยา ราเนฟสกายา พยายามจะยิงตัวตายต่อหน้าข้าพเจ้า
๒
บัสฟอร์ดสีเทาควบต่อไป และตลอดทางจนกระทั่งถึงประตูใหญ่สีแดงเลือดนกของมหาวิทยาลัยเยียนจิง ซึ่งมีสิงโตหินตัวสูงใหญ่นั่งเฝ้าอยู่ตรงทางเข้า ข้าพเจ้าก็นึกถึงแต่วันที่ปักกิ่งแตกเพราะกองทัพแปดมหาอำนาจเดินดุ่มเข้าทลายประตูเมืองเพื่อช่วยพวกราชทูตในวงล้อมให้พ้นจากการถูกจับไปตัดศีรษะ และเพื่อปล้นสะดมราษฎรกับพวกขุนนางเจ้าราชวงศ์ทั้งหลายด้วย ปักกิ่งได้เคยแตกมามากมายหลายครั้งตลอดยุคอดีตในประวัติศาสตร์พัน ๆ ปี แต่ครั้งนี้ เมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๐ มหานครโบราณอันเป็นไคโรของตะวันออกได้แตกเป็นครั้งแรกด้วยน้ำมือของกองทัพผู้ล่าอาณานิคมอันส่วนมากเป็นชนชาติผิวสำลี ผู้รับมรดกสูตรดินระเบิดไปจากคนอื่น มันเป็นละครโรงใหญ่–ละครแห่งความสลดใจ–ละครของกรรมเก่าที่ผู้แสดงล้วนแต่ต้องการเอาเวรไประงับเวร มันก็เหมือนเอาน้ำมันไปดับไฟนั่นแหละ ไฟมันจะไหม้โลกจนไม่มีมนุษย์ผู้อวดดีคนไหนจะรอดชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะคนโง่ไม่กี่คนเอาน้ำมันไปดับไฟเล่น ด้วยอารมณ์ของความโฉดเฉา คนโง่ไม่กี่คนนี้กำลังบงการโลกให้หมุนไปสู่ความแตกดับ และเราทั้งหลายก็โง่พอที่จะเดินตามมันไปเหมือนลูกแกะ
ในรถบัสคันนั้นจรินทร์นั่งคู่กับบัว ส่วนข้าพเจ้านั่งคู่ไปกับสุภาพบุรุษปักกิ่งวัยสูงกว่าข้าพเจ้าเล็กน้อยคนหนึ่ง เราต่างคนต่างก็ไม่ใช่ผู้ดีอังกฤษจึงทักทายกันอย่างไม่มีพิธีรีตอง สุภาพบุรุษผู้นั้นคงจะเห็นท่าทางของข้าพเจ้าเป็นคนหน้าใหม่ อาจเป็นชาวกวางตุ้งที่เพิ่งจะขึ้นไปเปิดหูเปิดตาในปักกิ่ง เขาจึงส่งภาษากลางถามมาประโยคหนึ่งตอนที่บัสถึงเยียนจิง ซึ่งข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่าเขาถามว่าอะไร เนื่องจากยังไม่สันทัดที่จะโต้ตอบกับเขาด้วยภาษากลางหรือภาษาปักกิ่งเพราะเพิ่งจะเริ่มเรียนพูด ข้าพเจ้าก็บอกเขาเป็นภาษาอังกฤษว่าข้าพเจ้าเป็นคนไทย ขึ้นมาปักกิ่งก็เพื่อจะเรียนหนังสือ เขาแสดงความสนใจ ควักนามบัตรภาษาอังกฤษยื่นให้ แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษที่ฟังชัดว่า
“เธอขึ้นมาเรียนหนังสือถึงที่นี่เทียวหรือ ? มีอะไรที่ฉันจะช่วยได้ ติดต่อฉันได้เสมอที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ซินหมิน”
“ขอบใจ” ข้าพเจ้าสบตาเขาอย่างจริงใจ พลางควักนามบัตรยื่นให้เป็นการแลกเปลี่ยน “ฉันชื่อระพินทร์ พรเลิศ ถ้าฉันออกเสียงไม่ผิด–ชื่อของเธอ...”
“จางเหลียง” เขารีบสวนขึ้นโดยเร็ว
“จางเหลียง” ข้าพเจ้าทวนคำ รู้สึกคล้ายมีอานุภาพบางอย่างเข้ามาบังคับใจให้ต้องจำ “ฉันโชคดีจังที่ได้พบนักหนังสือพิมพ์ บางทีอาจจะทำให้เราคุยกันสนุกมากขึ้นก็ได้ ถ้าฉันจะบอกให้เธอทราบว่าฉันก็เคยอยู่ในวงการหนังสือพิมพ์มาครั้งหนึ่ง”
“อ้อ งั้นหรือ ? ถ้างั้นเราก็พวกเดียวกัน” จางเหลียงหัวเราะ “เธอเขียนอะไร ? ข่าว–คอลัมน์–บทความ—”
“ส่วนมาก–บทความกับนวนิยาย” ข้าพเจ้าตอบ
“เธอยังเขียนอยู่หรือ ?”
“เขียนบ้าง แต่ไม่มากนัก เพราะต้องเรียนหนังสือ หนังสือพิมพ์ในเซี่ยงไฮ้ก็เขียนนิดหน่อยเวลาว่าง”
“ดีมาก” จางเหลียงจับแขนข้าพเจ้าอย่างเป็นกันเอง ฉันเขียนส่ง Leader ออกในปักกิ่ง ถ้าเธอสนใจฉันอยากได้งานเขียนของเธอบ้าง”
“เอาซี วิเศษทีเดียว เธอคิดว่าฉันควรจะเขียนอะไร ?”
“อะไรก็ได้เกี่ยวกับเมืองไทยที่เราไม่ค่อยรู้ ฉันว่าเราควรจะไปกินข้าวกันสักมื้อหนึ่ง”
“ดีเหมือนกัน เรานัดกันทางโทรศัพท์ดีไหม ?”
“ดีแน่” เขาตอบแล้วสบตาข้าพเจ้าอย่างยิ้มแย้ม “พบกันใหม่ ทางโทรศัพท์”
“ตกลง”
เราจับมือกันเมื่อบัสหยุดนิ่งที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยเยียนจิง ลงจากรถแล้วบัวถามข้าพเจ้าถึงเพื่อนคนใหม่ เมื่อข้าพเจ้าเล่าให้ฟัง จรินทร์ซึ่งยืนอยู่ด้วยก็พูดว่า
“ผมมีเพื่อนอยู่ในสันติบาล จางเหลียงคนนี้เขามีชื่ออยู่ในบัญชีดำ”
“บัญชีดำ” ข้าพเจ้าทวนคำด้วยความประหลาดใจ “หมายความว่า จางเหลียงเป็นคนที่ตำรวจต้องการตัว”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น”จรินทร์ตอบ
“เป็นคอมมิวนิสต์ ?” ข้าพเจ้าตื่นเต้นเล็กน้อย
“ไม่ใช่ เป็นฝ่ายค้านรัฐบาล”
“ค้านไม่ได้ยังงั้นหรือ ?”
“ระบบนายพลครองเมือง ใครค้านก็เคราะห์ร้ายหน่อย” จรินทร์หัวเราะในคอ “มันก็แบบนี้แหละ ประชาธิปไตยที่ไม่มีประชาชนเป็นรากฐาน ผมว่าคุณอยู่ห่างๆ นายจางเหลียงคนนี้หน่อยจะดีกว่า”
“แต่ผมรู้สึกว่า จางเหลียงเป็นสุภาพบุรุษ ท่าทางเขาเป็นคนทำงาน นัยน์ตาซื่อ เสียงที่พูดเป็นเสียงคนสุจริต”
จรินทร์หัวเราะอีก
“คนสุจริตไม่ใช่คนเคราะห์ดีเสมอไปหรอก ในบ้านเมืองของพวกนายพล คนสุจริตที่ไม่ยอมหลิ่วตาอย่างจางเหลียง เขาเรียกว่าเป็นคนดีที่โลกไม่ต้องการ”
ข้าพเจ้านึกไปถึงจางหลินที่ข้าพเจ้าบังเอิญได้พบในรถไฟสายเซี่ยงไฮ้ เมื่อมีฮอลิเดย์สมัยอยู่ St. Stephen ’s จางหลินกับจางเหลียงชื่อคล้ายกันมาก และก็ดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่ยอมหลิ่วตาตามใครด้วยเหมือนกัน ข้าพเจ้าเล่าเรื่องจางหลินที่ข้าพเจ้าพบให้จรินทร์ฟัง เขาก็โพล่งออกมาทันทีว่า
“นายคนนี้ร้ายกว่าจางเหลียง เขาเป็นพี่น้องกัน แต่จางหลินคนที่รุนแรงมาก สงสัยว่าจะอยู่ไม่ทน ที่นี่ฝ่ายค้านชอบหายตัว”
“ประชาธิปไตยที่ฝ่ายค้านต้องหายตัวไป ผมจะสวดมนต์ภาวนา ขออย่าให้เมืองไทยได้พบเลย” ข้าพเจ้าพูดเสียงค่อนข้างเครียด “เขาลือกันว่าเมืองไทยจะปฏิวัติ ผมชักเป็นห่วง ถ้าปฏิวัติเพื่อจะเอาประชาธิปไตยแบบนี้เข้ามาคนไทยจะแย่”
๓
เราเดินไปที่หอพักนักศึกษาชาย ซึ่งปลูกเป็นตึกแถวยาวเหยียดทางด้านตะวันตก แต่ละตึกแบ่งห้องออกเป็นสองฟาก มีทางเดินอยู่กลาง นักศึกษาชายหลายคนทั้งที่อยู่ในห้องและเดินอยู่นอกห้อง กำลังส่งเสียงเอะอะด้วยความคึกคะนอง บางคนส่งเสียงร้องเพลง บางคนพูดกันแบบตะโกน บางคนแต่งเครื่องสปอร์ต วิ่งส่งเสียงลั่นลงไปที่สนาม ชีวิตกำลังบานเหมือนดอกไม้ ชั่วชีวิตหนึ่งของคนมันก็ไอ้ตอนนี้แหละ มันไม่มีตอนไหนอีกที่ชีวิตจะเบ่งบานได้เต็มที่ มันเป็นเวลาที่เราสามารถตะโกนออกไปได้จนสุดเสียง ว่าโลกนี้เป็นของฉันคนเดียว มันเป็นความรู้สึกอย่างเดียวกับเจ้านกน้อยที่บินออกไปจากรังได้เป็นวันแรก มันเห็นโลกเป็นของมัน มีเสรีภาพ มีความสดใสชื่นบาน มีความภาคภูมิคึกคะนอง แต่มันนึกไม่ถึงว่า ในท้องฟ้าสีน้ำเงินอันแผ่ไพศาล ยังมีอินทรีกับเหยี่ยว หรืออย่างน้อยก็อีกาที่อยู่ด้วยการฆ่า โลกนี้มนุษย์ที่พ้นจากความเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว มักอยู่ด้วยการฆ่า ฆ่าแบบล้างชีวิต ฆ่าแบบทำลายชื่อเสียงเกียรติยศ ฆ่าแบบนินทาตามโต๊ะอาหาร เพื่อความสบายใจ และความสำราญในการสนทนาชั่วครู่ เราฆ่ากันทุกวัน–ทุกขณะลมหายใจ เราชอบเป็นเหยี่ยวเป็นอีกา เราไม่ชอบเป็นนกพิราบ
จรินทร์หยุดที่หน้าห้องหมายเลข ๙ เคาะประตูเบา ๆ สักครู่ลูกบิดก็หมุนดังแกร๊ก แล้วบานประตูก็เปิดออก
“คุณจรินทร์” เจ้าของห้องร้องออกมาเป็นภาษาไทย “ผมกำลังนึกอยู่ที่เดียวว่าคุณคงจะมา”
“นั้คุณบัว...” จรินทร์แนะนำ “นี่คุณสนาน ตั้งเรืองแสง”
“ครับ–เราเคยพบกัน วันนั้นคุณถ่ายรูปเจียงเหมย” สนานพูดพลางหัวเราะเสียงค่อนข้างดัง “เจียงเหมยเขาว่าคุณจะส่งรูปมาให้”
“ผมเอามาแล้ว” บัวตอบยิ้ม ๆ เอามือคลำกระเป๋า
“ดีจัง” สนานพูดอย่างตื่นเต้น “เข้ามาข้างในซีครับ ห้องผมมีเก้าอี้ตัวเดียว ต้องนั่งเตียง”
เราเข้าไปในห้อง ข้าพเจ้าตามหลังเป็นคนสุดท้าย จรินทร์รีบแนะนำสนานให้ข้าพเจ้ารู้จัก
“คุณระพินทร์มาเรียนอยู่ที่หวาเหวิน ของ ดร. เพทตัส” เขาอธิบาย “คุณกำลังได้เพื่อนคนไทยอีกคนหนึ่ง คงจะเลิกเหงาได้”
“ครับ ผมดีใจจัง” สนานมีสีหน้าแช่มชื่นเต็มไปด้วยเลือดฝาด “คุณระพินทร์มาถึงเมื่อไหร่ครับ ?”
“ผมตามเสด็จในกรมมา” ข้าพเจ้าเลี่ยงตอบ “เดิมคิดว่าจะแย่ เพราะมีแต่คุณบัว แต่คุณจรินทร์ก็โผล่เข้ามา แล้วก็มีคุณอีกคนหนึ่ง ยังมีคนไทยอีกไหมครับ?”
“ก็อาจจะมีคุณรอย....”
สนานพูดยังไม่ทันจบ จรินทร์ก็สอดขึ้นว่า
“รอยเพื่อนผม เวลานี้ยังอยู่หมาเก๊า ว่าจะขึ้นมาปักกิ่ง”
“ดีแน่ เมื่อไหร่ครับ ?” ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ
“ยังไม่แน่ครับ รอยเขาไม่เคยกำหนดอะไรแน่นอน เขาไม่ชอบให้ใครต้องใช้ความจำ”
คุยกันครู่ใหญ่ สนานก็เสนอให้เราไปพบเจียงเหมย เพื่อให้บัวมีโอกาสส่งรูปถ่ายให้เจ้าตัวด้วยมือของเขาเอง บัวสบตาข้าพเจ้าคล้ายกับจะถามว่า “ยังไง ตื่นเต้นไหม ?”
สนานนำเราทั้งสามไปที่หอนอนของนักศึกษาหญิงทางทิศตะวันออก ซึ่งเรียกกันว่า Forbidden City หรือเมืองต้องห้าม หมายความว่า แขกชายต้องยืนรอขาแข็งอยู่ที่ประตู จนกว่าเธอที่เขาต้องการพบจะถูกตามตัวออกมา และเมื่อพบแล้วก็ต้องไปคุยกันที่อื่น อาจเป็นในสวนหิน สวนดอกไม้หรือร้านอาหารหลังมหาวิทยาลัย แต่ถ้าใครต้องการนั่งเก้าอี้นวมสบาย มีเตาผิงในฤดูหนาว ก็ต้องไปที่เจ่เม่โหลว ซึ่งเป็นเก๋งขนาดใหญ่ หลังคาลูกฟูกชโลมด้วยสีเขียวใบไม้แก่และสีแดงเพลิง สร้างไว้สำหรับซ้อมเปียโน และอาศัยนั่งพูดกันแบบไปรเวต–ไม่ต้องอธิบายความหมายของคำว่าไปรเวตก็ได้กระมัง หรือถ้าจะเกณฑ์ให้อธิบายก็อยากจะบอกว่า ไม่ต้องการให้ใครสะเออะเข้าไปฟัง
สนานทำหน้าที่เคาะประตู Forbidden City สักครู่ยายแก่อาม้าคนหนึ่งก็ต้วมเตี้ยมออกมาเปิดประตู เมื่อได้รับแจ้งว่าเราต้องการพบใคร แกก็ปิดประตูปัง แล้วเดินต้วมเตี้ยมกลับเข้าไปข้างใน
เรารอเจียงเหมย–ดอกไม้ของเยียนจิง ข้าพเจ้าไม่กล้าสบตาบัว เพราะกลัวเขาจะมองลอดซี่โครงเข้าไปให้เห็นหัวใจที่กำลังเต้นแรง จะห้ามเท่าไหร่มันก็ไม่ฟัง