บทที่ ๒๔

คืนนั้นหลังจากการเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อฉลองวันอิสรภาพของวลาดิมีร์ได้ผ่านไปแล้ว วารยาก็ขออนุญาตพ่อไปคาราซาร์กับข้าพเจ้า วลาดิมีร์อนุญาตแต่โดยดี คุยกันอีกครู่หนึ่ง วารยาก็ชวนข้าพเจ้าออกไปจากคาบารอฟส์ก์

พอโผล่ออกไปนอกถนนซึ่งค่อนข้างมืดสลัว เพราะไฟถนนมีแสงไม่พอ เทศบาลคงมีเงินน้อยไป พวกคนลากรถซึ่งเป็นขาของชาวปักกิ่ง ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ก็รุมกันเข้ามาล้อม ส่งภาษาพื้นเมืองเอะอะ ต่างคนต่างจะให้ไปคันของตน เราเลือกคนลากรถหนุ่มฉกรรจ์ได้สองคน คะเนว่าจะต้องมีฝีเท้าดี เราไม่ผิดหวัง รถลากชั้นดีเกือบจะหุ้มด้วยทองเหลืองทั้งคัน ขัดมันแวววาวเมื่อกระทบแสงไฟ วิ่งไล่กันไปอย่างรวดเร็ว บ่ายหน้าไปทางคาราซาร์

ตลอดทางซึ่งเราใช้เวลาไม่กี่นาที ข้าพเจ้าก็ครุ่นคิดถึงถ้อยคำและท่าทางของวลาดิมีร์ มีอะไรหลายอย่างที่ชวนให้สะดุดใจ วลาดิมีร์จะต้องมีแผนการอะไรสักอย่างหนึ่งแน่นอน ถนนใหม่ของเขาคืออะไร ? มันจะต้องเป็นถนนที่เขาคิดว่าปลอดภัยสำหรับวารยา แต่วารยามีภัยอะไรเล่า? นี่คือปัญหาที่ข้าพเจ้าอดเอามาคิดไม่ได้

เมื่อถึงคาราซาร์แล้ว ข้าพเจ้าก็พาวารยาไปที่โต๊ะตรงมุมห้องโถงด้านตะวันตกซึ่งเงียบดี เพราะอยู่ห่างจากฟลอร์เต้นรำ เบียร์ซากุระช่วยให้เราคุยกันด้วยอารมณ์ที่ชื่นบานตลอดเวลา เราออกเต้นรำกันเพียงสองรอบ เพราะทั้งวารยาและข้าพเจ้าพอใจกับการนั่งพูดกันถึงสิ่งที่ชีวิตต้องการ มากกว่าจะออกไปโลดเต้นอยู่กับเสียงดนตรี เราต่างคนดูเหมือนจะมีความรู้สึกว่าเรามีความในใจที่อยากจะพูดกัน เราไม่ต้องการให้มันหนักอึ้งอยู่โดยไม่หาโอกาสระบายมันออกมา

ข้าพเจ้าไม่คิดว่าความในใจของเรานี้ เราเจตนาจะสร้างมันขึ้น เหมือนคนหนุ่มคนสาวทั้งหลาย มันไม่ใช่ความในใจอย่างที่หนุ่มสาวทุกคนมี

มันเป็นความรู้สึกที่ว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวมากกว่าอย่างอื่น ขอให้เชื่อเถิด สาบานได้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้รักวารยา แต่มีอะไรหลายอย่างเหลือเกินในตัววารยา ที่จูงใจให้ข้าพเจ้าต้องสนใจ บัวไม่เคยเข้าใจข้าพเจ้า เขาเชื่อสนิทว่าข้าพเจ้ากำลังหลงรักวารยาอย่างมากมาย เขาไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่ได้พูดออกมา บัวมองวารยาอย่างผู้หญิงสาวธรรมดา ซึ่งเขาคิดว่า เขาได้ผ่านมาแล้วอย่างโชกโชนในกรุงเทพฯ และในโตเกียว เขาว่าข้าพเจ้าไม่ประสา ข้าพเจ้าใหม่เกินไปสำหรับผู้หญิง ก็อาจจะจริงของเขา ในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักผู้หญิง ไม่เคยถูกตัวผู้หญิง ในฮ่องกงข้าพเจ้าขังตัวเองอยู่กับ Pokfulum House และ Stanley House เพื่อนฝูงเขาหนีเที่ยวกันตอนหลัง Prep คือการเรียนตอนกลางคืน ข้าพเจ้าไม่เคยไปไหนกับเขา เต็มใจสมัครเป็นยามประตูคอยเปิดประตูให้เมื่อเขากลับตอนหลังเที่ยงคืน และบางคืนก็ต้องเสี่ยงกับการถูกครูจับได้ เพราะอาจารย์ Tang Ying Lan หรืออาจารย์ Tam Cheung Huan บางทีก็ลุกขึ้นมาเดินตรวจตึกนอนตอนดึก ๆ ที่ Stanley หลังเกาะฮ่องกงอันเป็นที่ตั้งของ St. Stephen s College ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตให้หมดเปลืองไปด้วยการเรียนอย่างหนัก ในเวลาฮอลิเดย์ก็ออกไปเที่ยวบนแผ่นดินใหญ่ หรือมิฉะนั้นก็ออกไปนั่งเขียนรูปในซอกหินชายหาด ซึ่งมีสุมทุมพุ่มไม้ร่มเย็นสบาย เป็นชีวิตที่ขลุกอยู่กับธรรมชาติอันสวยงามมากกว่าจะอยู่กับผู้หญิงที่สวยงาม มันเป็นมุมสงบที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า แม้ ๖๒ ปีจะได้ผ่านไปแล้วในบัดนี้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้พบมุมสงบมุมใดเท่าเทียมกับที่ข้าพเจ้าได้พบที่ Stanley มันเป็นมุมสงบในวิมานของธรรมชาติ ที่ไม่มีมนุษย์ย่างกรายมาให้เห็นเป็นการกวนระบบประสาท มีแต่น้ำทะเลใสแจ๋ว ในซอกหิน มีทรายขาวสะอาด มีโขดหินที่มนุษย์ไม่สามารถจะประดับให้งามเหมือนได้ มีแผ่นน้ำอันไกลลิบสุดขอบฟ้า แสดงความกว้างใหญ่ไพศาลที่ช่วยให้ชีวิตพ้นจากการถูกบีบด้วยแผ่นคอนกรีตในตัวเมือง แล้วก็...ยังมีฟ้ากับลมซึ่งพาจิตของเราท่องเที่ยวไปในจักรวาลที่หาความสิ้นสุดไม่พบ นั่นคือมุมสงบ–ต่างกับมุมสงบในวัดที่ข้าพเจ้าหนีเข้าไปหาพระธรรม ข้าพเจ้าพยายามเข้าให้ถึงแก่นพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ประสาทข้าพเจ้าถูกทำลายด้วยเสียงที่นักธรรมเขาทะเลาะกัน เขาเถียงกันด้วยโทสะและอคติ แต่ละคนก็ว่าตัวถูก ไม่มีใครผิด ข้าพเจ้าไม่คิดว่านั่นเป็นมุมสงบ ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ควรจะเป็นของยาก ถ้าเราไม่ทำให้ยาก เราพูดกันมากไปจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ฟังแล้วถึงวยงงไปหมด จนไม่สามารถจะเข้าถึงแก่นธรรมของท่านได้ ข้าพเจ้าว่านักธรรมหลายคนกำลังสรางบาป เพราะอคติอันเป็นโมหะของเขา ได้สร้างกำแพงใหญ่บดบังไม่ให้เราเห็นแก่นของธรรม บาปอันนี้เป็นบาปที่หนักมาก เพราะทำให้เราไม่สามารถจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้

จากมุมสงบของ Stanley ข้าพเจ้าก็ก้าวเข้าไปในมุมที่ไม่สงบของปักกิ่ง ข้าพเจ้าพบรอยเลือด พบน้ำตา พบความทุกข์ยากของประชาชน พบความคิดโกง ความเหี้ยมโหด เห็นแก่ตัวของพวกนายพล พบลิ้นที่ไม่มีกระดูกของนักการเมือง พบคอมมิวนิสต์ที่คิดว่าการทำลาย คือการสร้างสรรค์ พบคนขอทานที่อดตายหนาวตายอยู่ข้างถนน และในขณะเดียวกันก็พบผู้ขูดรีดทั้งหลาย นั่งกินนอนกินอยู่บนหลังของราษฎร แล้วในที่สุด–ข้าพเจ้าก็ได้พบวารยา ราเนฟสกายา–พบความทุกข์ใจที่คงไม่มีใครในปักกิ่งจะสามารถล่วงรู้ได้ แต่ข้าพเจ้าก็คิดว่าในชั่วโมงแรกที่เรานั่งอยู่ด้วยกันที่คาราซาร์ตามลำพังสองต่อสองเป็นครั้งแรกนี้ ข้าพเจ้าควรจะต้องรู้อะไรบ้าง

“เราจะไม่เต้นรำกันอีกสักเพลงหรือวารยา ?” ข้าพเจ้าถามขึ้นในตอนหนึ่ง เมื่อเห็นวารยานั่งซึมไปคล้ายกับมีอะไรอยู่ในใจ

“อย่าดีกว่า ระพินทร์ ฉันอยากจะนั่งอยู่เงียบ ๆ อย่างนี้ดีกว่า” วารยาหันมาสบตาข้าพเจ้า “เธอชอบเต้นรำมากหรือ ?”

“ฉันเต้นรำด้วยความจำเป็น” ข้าพเจ้าตอบ

“ไม่ชอบ ?”

“ไม่เคยชอบ เพราะมันไม่ใช่สมบัติของคนไทย”

“แต่มันไม่ใช่ของเลวไม่ใช่หรือ ?”

“ก็ไม่มีอะไรเลว ถ้าเราไม่ทำให้มันเลว”

วารยาหัวเราะ

“เธอพูดเก่งเสมอ เธอควรเรียนกฎหมาย”

“เพื่ออะไร ?”

“เพื่อสร้างความยุติธรรมให้แก่ประชาชน”

ข้าพเจ้าส่ายหน้าแล้วหัวเราะ

“เธอคิดหรือว่า กฎหมายคือความยุติธรรม ? เธอคิดหรือว่าขึ้นศาล คือการเข้าหาความยุติธรรม”

“มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด วิธีเดียวที่มนุษย์จะได้รับความยุติธรรมอย่างมากที่สุดที่จะมากได้”

“เธอพูดไม่ผิด มันเป็นวิธีเดียวที่มนุษย์จะได้รับความยุติธรรมอย่างมากที่สุดที่จะมากได้” ข้าพเจ้าหัวเราะ “กฎหมายให้ความเป็นธรรม ถ้าเป็นกฎหมายที่ดี แต่การขึ้นศาลมันก็เหมือนขึ้นเวทีมวย ใครมีศอกมีเข่าก็ต้องใช้ ใครขึ้นไปยืนให้เขาชกเอาข้างเดียว แบบนี้ความยุติธรรมที่แท้จริงมันก็เกิดไม่ได้”

“ก็จริงของเธอ” วารยามองตาข้าพเจ้าแล้วยิ้ม “มีคนคิดกันว่า กฎหมายและผู้พิพากษาจะช่วยให้โลกมีสันติสุขได้ เธอว่าอย่างไร ?”

ข้าพเจ้าสั่นศีรษะ

“ก็อาจจะช่วยได้บ้างสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ สันติสุขของโลก ผู้พิพากษากับกฎหมายบันดาลไม่ได้ สันติสุขมันมาจากท้องของประชาชน ถ้าท้องประชาชนอิ่ม โลกก็สงบ”

“เธอคิดอย่างนั้นหรือ ?” วารยาถามช้า ๆ อย่างตรึกตรอง

“ไม่ใช่คิด ฉันเชื่อ” ข้าพเจ้าตอบอย่างมั่นใจ “คนเราถ้าปล่อยให้หิวแล้วมันก็วุ่นวาย ความหิวสร้างความปั่นป่วนให้แก่โลก ถ้าเรากำจัดความหิวไม่ได้ ก็อย่าคิดเลยว่าเราจะพบสันติภาพถาวร”

“แต่เราจะกำจัดความหิวได้อย่างไรล่ะ ระพินทร์” วารยาถามอย่างสนใจ

“การกินแรงกันตั้งแต่โลกเริ่มมีมนุษย์ไม่กี่คน จนกระทั่งมีเป็นพัน ๆ ล้านคนในขณะนี้ เป็นต้นเหตุของความหิว ถ้าจะกำจัดความหิว ก็ต้องกำจัดการกินแรงให้หมดไป พวกคอมมิวนิสต์พยายามกำจัดการกินแรง เพื่อให้ประชาชนอิ่ม แต่เขาไม่รู้ว่าเขาทำผิดวิธี วิธีของเขาก็คือกำจัดเสรีภาพการทำมาหากินของราษฎร นั่นมันก็เท่ากับจำกัดการเคลื่อนไหวอย่างอิสระของการเศรษฐกิจ ผลที่เกิดขึ้นก็คือความขาดแคลน แล้วก็เขายังทำผิดมากขึ้นอีก ซึ่งทำให้ราษฎรมีความทุกข์ยากมากขึ้น คือเอาราษฎรไปเป็นทาสแรงงานของรัฐ เขาช่วยคนให้พ้นจากการถูกกินแรงจากคน แต่เขากลับเอาขื่อคาใส่คอคนให้รัฐกินแรง หมายความว่าในประเทศคอมมิวนิสต์ก็ยังมีการกินแรงอยู่ ความหิวความขาดแคลนก็ยังจะต้องมีอยู่”

“แล้วเธอจะทำอย่างไร ?” วารยาถามสวนขึ้นทันที

“การกำจัดการกินแรงที่ประชาชนไม่เสียเสรีภาพ ไม่ถูกรัฐกินแรงแทนบุคคล เรามีอยู่วิธีเดียวเท่านั้น–คือวิธีสหกรณ์”

“แต่โลกจะเป็นสหกรณ์ได้หรือ ระพินทร์ ในเมื่อพวกนายทุนเขาไม่ยอมเคารพแรงงาน ?”

“นั่นคือปัญหา” ข้าพเจ้าตอบแล้วถอนใจเบา ๆ “เรากำลังยืนอยู่ที่ทางแยก เราจะไปทางไหน ? ฆ่ากันให้หมดโลก หรือว่าเราจะร่วมมือกันเพื่อสันติภาพถาวร”

เราเรียกอาหารว่างมา เพราะท้องเริ่มหิว นาฬิกาบอกเวลา ๒๓ นาฬิกากว่าแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าวารยาควรจะกลับก่อนเที่ยงคืน

“เร็วเหลือเกิน” วารยาพูดอย่างบ่น “ฉันอยากจะคุยกับเธอให้นาน ๆ โอกาสอย่างนี้ฉันไม่ค่อยจะได้มีนัก”

“แต่เธอจะมีได้เสมอ ขอให้เรียกฉันถ้าเธอต้องการ” ข้าพเจ้าตอบ

“ขอบใจ ระพินทร์” วารยายิ้มเศร้า ๆ “ฉันมีความสุขมากคืนนี้–เธอคงไม่รู้หรอกว่า ฉันสุขอย่างไร”

ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีอะไรพุ่งเข้ามาที่หัวใจ นั่นเป็นคำสารภาพของวารยาหรือ ? ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

“วารยา” ข้าพเจ้าเรียกชื่อเธอแล้วก็ใจเต้นไม่สามารถจะพูดอะไรอีกได้

“อะไรจ๊ะ ระพินทร์ ?” วารยาสบตาข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าหนีตาเธอทันที ข้าพเจ้าหมดความสามารถจะเผชิญกับแววตาอันเต็มไปด้วยความรู้สึกของเธอได้ ปักกิ่งกำลังสงัด เที่ยงคืนกำลังย่างเข้ามา หัวใจของเราวังเวงบอกไม่ถูก แต่ข้าพเจ้าก็เอาชนะตัวเองได้

“ชีวิตเป็นของยาก เรายังรู้จักมันไม่พอ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น เกือบจะไม่รู้ว่าได้พูดอะไรออกไป และหมายความว่าอย่างไร

“ยากมากหรือ ระพินทร์” วารยาถามเสียงเครือ

ข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายตื่นจากภวังค์

“ฉันพูดอะไรออกไป วารยา เธอลองทวนคำพูดของฉันอีกทีซิ” ข้าพเจ้าพูดอย่างงงงวย

“เธอบอกว่าชีวิตเป็นของยาก”

“อ้อ!” ข้าพเจ้านิ่งคิด “ฉันว่าอย่างนั้นหรือ ? เธอล่ะ เธอเห็นอย่างไร ?”

“ฉันอยู่มาด้วยความยาก ก็ถูกของเธอ” วารยาตอบ

“เรายังรู้จักชีวิตไม่พอ เธอกับฉันยังมีอายุน้อยเกินไปที่จะรู้จักชีวิต”

“แต่เราก็ได้พบความจริงของชีวิตไม่น้อยแล้วไม่ใช่หรือ ระพินทร์”

“สิ่งที่เราพบเป็นเพียงน้ำหยดเดียวในทะเล”

“ถ้าเธอคิดเช่นนั้น เราก็จะไม่รู้จักชีวิตเลยจนกระทั่งเราตาย”

“จริงอย่างเธอว่า เราจะไม่รู้จักชีวิตเลยจนกระทั่งเราตาย ชีวิตคืออะไร ? ไม่มีใครตอบได้”

“แต่เราไม่เป็นทาสของชีวิตไม่ใช่หรือ ? เราไม่ได้กลัวชีวิตไม่ใช่หรือ ? หรือเธอกลัว ?”

ข้าพเจ้าหันไปสบตาหญิงสาวชาวเปโตรกราด พยายามยิ้มเพื่อกลบความรู้สึกในใจ

“ฉันไม่เคยกลัวชีวิต ไม่เคยกลัวคน ไม่เคยกลัวอะไร แต่ฉันกลัวตัวเอง”

“กลัวตัวเอง” วารยาแย้มตากว้างด้วยความประหลาดใจและดีใจระคนกัน

“ฉันกลัวความต้องการของตัวเอง–แล้วก็–ฉันกลัวว่าความต้องการของฉันจะไปทำให้คนอื่นเขาเกิดทุกข์”

ในความมืดสลัวของแสงไฟสีน้ำเงินอ่อน ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าได้เห็นสีหน้าของวารยาเปลี่ยนไป ความสุขในแววตาได้หมดไปอย่างรวดเร็ว

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ