บทที่ ๒๕

คืนนั้นที่คาราซาร์เป็นคืนที่ข้าพเจ้าไม่เคยลืมตลอดชีวิตอันยาวนานเป็นเวลาหลายสิบปี เวลาได้ผ่านไปพร้อม ๆ กับยุคทองซึ่งทุกคนจะต้องมีในครั้งหนึ่งของชีวิต ซึ่งเมื่อผ่านไปแล้วก็ยากที่จะผ่านกลับมาอีก แม้จะเป็นเวลาของพระเจ้าที่เปลี่ยนชีวิตจิตใจมนุษย์–เปลี่ยนขอทานให้เป็นเศรษฐี–เปลี่ยนเศรษฐีให้เป็นคนที่คลานอยู่ข้างถนน–เปลี่ยนนักการเมืองผู้เหยียบแผ่นดินสะเทือนให้เป็นคนเดินดินที่โหนรถเมล์ แต่เวลาที่เป็นของพระเจ้านี้ไม่ได้เปลี่ยนหัวใจข้าพเจ้า คำพูดของวารยายังคงฝังลึกอยู่ในดวงใจที่กำลังหนุ่มและไม่เคยแก่ไปตามเวลาที่โลกหมุนอยู่ในจักรวาล หัวใจของข้าพเจ้าไม่แก่ชราแม้มันจะต้องหยุดเต้นในวันหนึ่งซึ่งอาจไม่ช้านัก เลือดข้าพเจ้ายังคงเข้มข้นฉีดแรง เลือดของความรักมนุษย์–รักโลกที่ข้าพเจ้าอาศัย และรักชาติไทยที่กรรมเก่าชักนำให้ข้าพเจ้ามาเกิดและด้วยหัวใจที่เลือดไม่เคยจางดวงนี้–ความรู้สึกในวารยาซึ่งเกิดขึ้นในคืนวันนั้นที่คาราซาร์จึงยังคงฝังอยู่ในชีวิตที่มืดมาถึง ๖๒ ปี โลกมืดสำหรับข้าพเจ้าเพราะมันเป็นโลกที่มนุษย์ยังคงคิดว่ากฎที่ว่า ผู้ที่รอดอยู่ก็คือผู้ที่แข็งแรงกว่า ยังคงใช้ได้และจะต้องใช้อยู่เรื่อยไป ระหว่างประเทศ, ระหว่างผิว, ระหว่างชั้น และระหว่างเจ้าของเงินกับเจ้าของแรงงาน แต่โลกที่มืดและเย็นยะเยือกน่าสยดสยองนี้ ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าหวาดกลัวและตกใจจนกระทั่งจะลืมคำพูดของวารยา ราเนฟสกายาในคืนวันนั้นเสียได้

เมื่อเรากลับออกมาจากคาราซาร์ นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนเศษแล้ว ที่ประตูเหล็กซึ่งเปิดออกถนนใหญ่หันหน้าไปทางลีเกชั่น ควอเตอร์ บุคคลผู้หนึ่งเดินสวนเข้ามาพร้อมด้วยหญิงสาวชาวจีนผู้หนึ่งซึ่งแต่งตัวเพริศพริ้งแบบสาวสังคม วารยากับข้าพเจ้าสะดุ้งเพราะคาดไม่ถึงว่า บุคคลผู้นั้นจะกลายเป็นเหลียงกวงต้าน นักเรียนบอสตันผู้มักจะเป็นเงาของวารยา

เหลียงชะงักเมื่อเห็นเรา เขาคงรู้สึกไม่สบายใจเช่นเดียวกับเราเหมือนกัน เพราะเหตุที่เขามีผู้หญิงเดินเคียงคู่มาด้วย แต่เขาก็ควบคุมตัวเองได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้ข้าพเจ้า เขาทักขึ้นก่อนว่า

“ฮัลโล, วารยา, ว่าไง, ระพินทร์ ไม่ได้พบกันหลายวันทีเดียว”

วารยาไม่ตอบ ได้แต่ยิ้ม ไม่มีกิริยาสะทกสะท้านอย่างใด ข้าพเจ้าจึงตอบว่า

“คุณวลาดิมีร์เลี้ยงฉลองอินดิเพนเดนท์เดย์ เราก็เลยมาฉลองต่อที่นี่”

“ดี–ดี– ชอบใจที่เธอช่วยทำให้วารยาไม่เหงา” เหลียงพูดแล้วมองหน้าผู้ที่เขาเคยทำตัวเป็นองครักษ์ “เธอคงสนุกมาก–ฉันยินดีด้วย”

“เธอก็คงจะสนุกมากเหมือนกัน” วารยาพูดยิ้ม ๆ น้ำเสียงนุ่มนวลไม่ตื่นเต้น

เหลียงยิ้มจืด ๆ หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเขาเริ่มกระสับกระส่าย เขาทำท่าคล้ายกับจะหาคำพูดโต้ตอบที่ถูกวารยาเหน็บแนม แต่วารยาไวกว่า

“อย่าเสียเวลาเลยเหลียง เวลาของเธอมีค่า เข้าไปซี ! ไปสนุกกันให้เต็มที่ ! คืนนี้เขามีนักร้องคนใหม่มาจากเซี่ยงไฮ้” หญิงสาวพูดเสียงสะบัด

“เธอไม่เข้าไปอีกหรือ ?” เขาถามอย่างไม่มีความหมาย

“ฉันจะกลับ ดึกมากแล้ว” วารยาตอบอย่างชาเย็น

วารยาไม่ปล่อยให้เหลียงพูดอะไรอีก รีบออกเดินนำข้าพเจ้าไปทันที ข้าพเจ้าหันไปราตรีสวัสดิ์กับนักเรียนบอสตันเพียงสองคำแล้วก็เดินตามวารยาไปยังกลุ่มรถลากซึ่งจอดรออยู่เป็นตับ ไม่มีรถยนต์แม้แต่คันเดียวเพราะในปักกิ่งรถยนต์มีอยู่นับคันได้ แล้วก็เป็นรถที่ควรจะขายเป็นเศษเหล็กทั้งนั้น

ข้าพเจ้าหมกมุ่นอยู่กับการเรียนภาษาตลอดเดือนที่ผ่านไป เจียงเฟพบข้าพเจ้าทุกเช้า เขาทำให้ข้าพเจ้าพูดภาษาปักกิ่งได้ชัดกว่าคนอื่นที่มาจากทางภาคใต้และภาคกลาง ภาษาปักกิ่งเป็นภาษาหลวงหรือที่เรียกว่าแมนดาริน ยึดสำเนียงปักกิ่งเป็นหลัก คนจีนภาคอื่นแม้จะอ่านหนังสือได้เพราะใช้หนังสือเหมือนกัน แต่ก็พูดกันคนละภาษา เรียกว่าฟังกันไม่รู้เรื่องทีเดียว คนจีนที่มาจากภาคอื่นเหล่านี้ มักพูดภาษากลางหรือภาษาที่มีปักกิ่งเป็นศูนย์กลางได้พอฟังกันรู้เรื่อง แต่ที่ฟังแล้วเอาเรื่องเกือบไม่ได้ก็มีเหมือนกัน เพราะสำเนียงแปร่งและเพี้ยนจนเกือบจะเป็นคนละคำ ชาวเจื้อเจียง (Chekiang) เป็นชาวจีนที่พูดภาษากลาง (ปักกิ่ง) ฟังยากที่สุด คนจีนด้วยกันเองก็ต้องใช้ความพยายามเดา ที่ฟังได้ก็เพราะความเคยชิน ศาสตราจารย์เฉียนมู่ที่สอนข้าพเจ้าในมหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นชาวเจื้อเจียง ท่านพูดร้อยคำข้าพเจ้าฟังออกไม่เกิน ๓๐ คำ เวลาฟังเล็คเชอร์จึงลำบากมาก เสียงของท่านเพี้ยนและแปร่งจนเกือบจะเรียกได้ว่าท่านไม่ได้พูดภาษาปักกิ่ง เจียงเฟเป็นผู้เชี่ยวชาญทางภาษาปักกิ่งมาก พูดได้ชัด สำเนียงไม่เพี้ยนเลย เพราะฉะนั้น ดร. เพทตัสจึงได้เชิญให้มาเป็นทิวเต้อร์ สอนการพูดภาษาปักกิ่งตัวต่อตัวทุกวัน และข้าพเจ้าเป็นคนเคราะห์ดีที่ได้รับเลือกให้ได้รับการฝึกกับเจียงเฟ

วันหนึ่งเมื่อเลิกเรียนแล้ว ข้าพเจ้าก็เชิญเจียงเฟไปรับประทานอาหารกลางวันที่ตลาดตุงอัน เพราะเชื่อว่าคงจะได้ฟังความคิดความเห็นดี ๆ จากเขาบ้าง เราสั่งหยางโร่วซึ่งเป็นอาหารชั้นหนึ่งมาก่อน พร้อมด้วยเบียร์ห้าดาวซึ่งดื่มกันอย่างแพร่หลายในปักกิ่ง เจียงเฟถามถึงจรินทร์ ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ได้พบเขาเกือบเดือนแล้ว

“เธอรู้จักจรินทร์มานานแล้วหรือ ?” เขาถาม

“ก็มาพบกันที่นี่”

“เขาทำอะไร ?”

“ก็–ไม่เห็นทำอะไร”

“มาเรียนอะไร ?”

“ก็–ไม่เห็นเรียนอะไร”

เจียงเฟนิ่งคิดสักครู่ก็ถามว่า

“ฉันพบจรินทร์ที่ฮาตะเหมินเมื่อวาน เขากำลังจะย้ายบ้านจากซานเถียวหูทุ่ง เขาว่าเพื่อนอีกคนหนึ่งจะมาจากหมาเก๊า–ชื่อรอย เธอรู้จักรอยไหม ?”

“ไม่รู้จัก จรินทร์ไม่เคยพูดให้ฉันฟังเลยว่าจะมีเพื่อนมาใหม่”

“จรินทร์เขาคุยว่าเขาเคยท่องเที่ยวไปทั่วเมืองจีน เป็นนักผจญภัย–นี่ฉันนึกเอาเองนะ ท่าทางจรินทร์เป็นคนคล่องเอาการ เห็นโลกมามาก สู้ชีวิตมามาก”

“เธอนึกไม่ผิดหรอก จรินทร์เป็นนักผจญชีวิตที่หาตัวจับยาก รู้จักชีวิตทุกแง่ทุกมุม นามสกุลของเขาไม่ใช่ภาษาไทย”

“กอนซาเลซ”

“แต่เขาก็เป็นคนไทยอย่างฉันนี่แหละ ฉันก็มีเชื้อจีนมาจากทวด”

“งั้นหรือ ?” เจียงเฟแสดงความสนใจ

“ทวดของฉันเกิดในตระกูลช่าย เรียกตามสำเนียงแต้จิ๋วว่าฉั่ว แต่ครูที่ฮ่องกงเรียกฉันว่าซู คงจะเลียนสำเนียงมาจากชื่อไทย ฉันเลยกลายเป็นลูกหลานซูตงปอยอดกวีของชาติจีนที่ไม่มีวันตาย”

“เธอก็ควรจะเป็นกวีเสียบ้างซี จะได้เป็นลูกหลานซูตงปอ” เจียงเฟหัวเราะ

“อยากจะเป็นแต่มันเป็นไม่ได้ เมืองจีนกว้างใหญ่ไพศาล มีธรรมชาติสวยงามเหลือเกิน จึงผลิตกวีออกมามากมาย เธอต้องเอางานของ ตู้ฝู่, หลี่ไป๋, มาสอนฉันบ้างซี”

“เธอต้องไปเรียนกับจางเซียนเซิง ฉันมันคลั่งแต่เรื่องที่ไม่เป็นกวี”

“อะไร ?”

“พูดไปก็เหมือนคนเพ้อฝัน แต่มันก็คงจะดีกว่าไม่ฝันเสียเลย ในสมองของฉันมันเต็มไปด้วยเรื่องชาติบ้านเมือง เรื่องประชาชนที่อดอยาก–เรื่องนายพลนักไถ–แล้วก็เรื่องคอมมิวนิสต์ ซึ่งจะเข้ามาเป็นนกกะสาแทนพวกนายพลเหล่านี้”

“เจียงเฟ เธอจะแบกชาติไว้บนบ่าคนเดียวไม่ได้” ข้าพเจ้าให้ความเห็น

“ถ้าทุกคนคิดว่าชาติจะแบกไว้คนเดียวไม่ได้ ก็จะไม่มีใครแบกชาติ แล้วชาติจะอยู่ได้อย่างไร” เจียงเฟพูดเสียงเบาแต่น้ำเสียงลึกและแน่น “เวลานี้คนที่มีอำนาจวาสนาเขาคิดแต่จะกอบโกยเอาตัวรอด เขาแสวงอำนาจเพราะอำนาจคือเงินทอง มันเป็นกลียุคที่เราต้องสู้ไม่ใช่หนี บางคนเขาเบื่อชาติเบื่อสังคม เบื่อความวุ่นวายร้อยแปด เขาก็คิดหนีไปสร้างสังคมใหม่ อยู่กับดอกไม้อยู่กับธรรมชาติ ใช้ชีวิตอิสระแต่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนสกปรกโสมม ต่างกับพวกเซียนที่จำศีลภาวนาทำใจทำกายให้สะอาดอยู่บนยอดเขา คนที่หนีสังคมพวกนี้ไม่ยอมทำงาน มีแต่จะกินจะใช้ ทำให้สังคมหมดเปลืองลงไปทุกวัน เป็นคนเอาเปรียบสังคมชัด ๆ เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง ถ้ามีคนพวกนี้เต็มบ้านเมือง สังคมจะอยู่ได้อย่างไร ใครจะรับผิดชอบต่อชาติที่เต็มกำลังจะแหลกเพราะทอปบู๊ตของพวกนายพล ฉันหนักใจ ระพินทร์ เพราะเวลานี้มีคนเบื่อชาติ เบื่อสังคม เบื่อพวกนายพลมากขึ้นทุกวัน ประชาชนมากมายไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่นั่งมองดูตาปริบ ๆ มีปากก็เหมือนไม่มี นี่แหละคือประเทศจีนของฉัน ประเทศไทยของเธอคงไม่เป็นอย่างนี้ใช่ไหม, ระพินทร์ ?”

ข้าพเจ้าถอนใจเบา ๆ มองตาคนหนุ่มร่างกำยำผู้มีหัวใจกำยำเหมือนร่าง เขาเป็นลูกหลานเจียงไน่อาน วีรบุรุษที่ชาติจีนไม่เคยลืม

“เห็นใจเธอ เจียงเฟ” ข้าพเจ้าตอบ “ฉันโชคดีที่บังเอิญเมืองไทยยังไม่วุ่นวายอย่างนี้ เรามีพระเจ้าแผ่นดินที่รักประชาชนเหมือนพ่อรักลูก พระเจ้าแผ่นดินของเราไม่ทำร้ายเราเลย มีแต่ความเมตตากรุณา เรายังไม่มีพวกนายพลอย่างเมืองจีน นายพลของเรากว่าจะได้สายตะพายแต่ละสายต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจนแก่เฒ่า นายพลทุกคนรักชาติยิ่งกว่าชีวิต ไม่กินสินบนไม่คอร์รัปชั่น ไม่รีดไถประชาชน ทำแต่งานในหน้าที่ เป็นคนรับใช้ชาติที่เราเคารพบูชาและกราบไหว้สนิทมือ”

“ชาติหน้าขอให้ฉันไปเกิดในเมืองไทยด้วยสักคน” เจียงเฟพูดยิ้ม ๆ “เมืองไทยเป็นสุขเพราะมีพระเจ้าแผ่นดินที่ดี แต่เมืองจีนล่มจมเพราะมีฮ่องเต้มีฮองไทเฮาที่เลว ประชาชนเสียภาษีเพื่อจะได้สร้างกองทัพเรือ แต่ยายฮองไทเฮาแกกลับเอาไปสร้างปราสาทราชวังส่วนตัว–สร้างคุนหมิงหู สร้างเรือหินอ่อนลำมหึมาสำหรับชมดาวชมเดือน พระเจ้าแผ่นดินของเธอ ฉันฟังแล้วเลื่อมใส มนุษย์เรายังเจริญไม่พอที่จะอยู่ได้ด้วยความสงบสุขโดยไม่มีหัวหน้า แต่ปัญหามันก็มีว่าเราจะหาหัวหน้าที่ดีได้ที่ไหน ? ฉันหมายถึงหัวหน้าที่ไม่โกงประชาชน”

ข้าพเจ้าหัวเราะ รู้สึกขบขันในคำพูดของเขา

“ก็ต้องรอคนดีมาเกิด” ข้าพเจ้าตอบ

“เธอคิดไหมว่าประชาธิปไตยจะเลือกคนที่ให้เราได้ ?” เจียงเฟถามเป็นเชิงปรารภ

“ประชาธิปไตยมันก็เหมือนเสื้อตัวหนึ่งจะเอาไปใส่คนทุก ๆ คนให้พอดีเห็นจะไม่ได้หรอก มันก็ต้องมีหลวมมีคับมียาวมีสั้น ถ้าเราคิดว่าประชาธิปไตยคือเสื้อที่ใคร ๆ ก็ใส่ได้เราก็คิดผิด”

“ก็เห็นจะจริงของเธอ ดร. ซุนเอาเสื้อประชาธิปไตยมาให้เราใส่ มันคับจนหายใจไม่ออก” เจียงเฟโคลงศีรษะไปมา

“ฉันกำลังได้ข่าวว่าเมืองไทยของฉันเขาจะเป็นประชาธิปไตยกัน ไม่รู้จะเป็นได้แค่ไหน ถ้าประชาธิปไตยมันทรยศ มันก็ทำลายชาติไทยคนไทยป่นปี้แน่ ๆ”

ขณะนั้นมีคนสามคนเดินผ่านประตูห้องที่เรานั่งกินอาหารอยู่ไปช้า ๆ คนหนึ่งหันมาดูเรา ข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นหลูกวง เราสะดุ้งเมื่อเห็นข้าพเจ้ากับเจียงเฟแต่ไม่พูดอะไร รีบเดินผ่านเลยไป แล้วหายเงียบไปทางบันได

ยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะพูดอะไรกับเจียงเฟ บุรุษหนุ่มร่างเพรียวแบบนักกีฬาอีกผู้หนึ่งก็เดินผ่านไปบ้าง ดูเหมือนจะรีบตามหลังหลูกวงกับพวกไป เขาไม่ทันได้เหลียวมาเห็นเรา

“สนาน” ข้าพเจ้าพูดเป็นเสียงกระซิบ

เจียงเฟมีสีหน้าเครียด นิ่งอึ้งไม่พูดอะไรเลย ข้าพเจ้าจึงกล่าวต่อไปว่า

“สนานคงจะมากับหลูกวง”

เขาพยักหน้า แต่ก็ไม่ให้ความเห็นอะไร คงนั่งนิ่งสีหน้าบอกความไม่ปกติของอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ข้าพเจ้ามีความคุ้นเคยกับปักกิ่งมากขึ้นทุกวัน คุ้นกับฝุ่นสีแดงที่บินมาจากทะเลทรายโกบี–คุ้นกับอูษฐและลาซึ่งเดินอยู่เต็มถนน–คุ้นกับกลิ่นกระเทียมสดที่กินกันทุกครัวเรือนซึ่งเดิมทีเหม็นจนเกือบทนไม่ไหวเมื่อเข้าไปพูดกันใกล้ ๆ–แล้วก็คุ้นกับผู้หญิงสาวที่มีมารยาทนุ่มนวลแช่มช้อยเป็นผู้ดีต่างกับที่ข้าพเจ้าพบในฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ เจียงเหมยเป็นผู้หญิงสาวชาวจีนคนหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักสตรีจีนดีขึ้นมากมาย สี่พันกว่าปีของวัฒนธรรมอันสูงด้วยคุณค่าได้สร้างความงามให้แก่สตรีจีนซึ่งมีความลึกซึ้งตรึงใจไม่ต่างกับความงามของสตรีไทย ที่วิทยาศาสตร์และยาพิษของพวกฝรั่งยังไม่ได้ทำลาย

ข้าพเจ้าถามตัวเองว่า ความงามของเจียงเหมยราชินีแห่งเยียนจิงใช่หรือไม่ที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องสนใจกับเธอ? ข้าพเจ้าตอบด้วยความซื่อว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งแน่ แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องสนใจโดยที่ข้าพเจ้าไม่กล้าจะตอบตัวเองว่าเหตุใด–สิ่งนั้นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเจียงเหมยกับสนาน

ที่เป๋ห่ายวันนั้น ข้าพเจ้ารู้แน่ว่า เจียงเหมยมีความขัดแย้งกับสนานอย่างล้ำลึกและรุนแรงด้วยเรื่องหลูกวง สนานไปคบกับหลูกวง เจียงเหมยไม่ต้องการเช่นนั้น สนานเป็นคอมมิวนิสต์หรือ ? ถ้าสนานเป็นคอมมิวนิสต์ เจียงเหมยจะทำอย่างไร ? ระหว่างหัวใจกับลัทธิ–เธอจะเลือกอะไร ? ข้าพเจ้ามองเห็นแต่ความมืดอันวุ่นวาย

ข้าพเจ้าไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดจึงต้องไปมหาวิทยาลัยเยียนจิงอีกเมื่อถึงวันเสาร์ หลังจากที่ได้ไปกินอาหารที่ตลาดตุงอันกับเจียงเฟได้สามวัน ข้าพเจ้าตรงไปยังตึกเจ่เม่โหลว หรือ Sister Halls โทรศัพท์ไปยังหอพักของเจียงเหมยซึ่งเรียกกันว่า Forbidden City เสียงของเจียงเหมยที่แล่นมาตามสายแจ่มใสบริสุทธิ์ เป็นเสียงที่แสดงความตื่นเต้นยินดีที่จะได้พบข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ารออยู่ที่เจ่เม่โหลวประมาณยี่สิบนาที ราชินีแห่งเยียนจิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถงที่ข้าพเจ้านั่งรออยู่บนเก้าอี้นวม ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืน ยิ้มรับเธอด้วยความสุข รู้สึกว่าลมที่พัดลอดหน้าต่างมาจากซีซานมีความหอมระรื่นชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ