บทที่ ๖

ข้าพเจ้าได้เข้ามาอยู่ในมหานครปักกิ่งได้แปดวันแล้ว เวลาแปดวันเป็นเวลาสั้นจริง ๆ ก็จริง แต่เมื่อเป็นวันว่างของการหยุดฮอลิเดย์ฤดูชิวเทียน ข้าพเจ้าก็มีเวลาเต็มวันที่จะใช้ให้หมดไปด้วยความเห่อที่จะเห็นปักกิ่งตั้งแต่ฝุ่นของทะเลทรายโกบีในหูทุ่งนับพัน ไปจนถึงพระที่นั่งท่ายเหือเตี้ยน อันเป็นที่สถิตของราชบัลลังก์มังกร ซึ่งฮ่องเต้ประทับว่าราชการแผ่นดินมานับด้วยจำนวนศตวรรษ ปักกิ่งได้ยืนโต้ฝุ่นของทะเลโกบีและลมหนาวของไซบีเรียมานับด้วยพัน ๆ ปี ตั้งแต่สมัยเลียดก๊ก...เก่ายิ่งกว่าโรมหรือเอเธนส์ และบัดนี้...ต่อหน้าข้าพเจ้าผู้เห็นปักกิ่ง จากตัวหนังสือของฮอคส์พอตต์ ซึ่งเสด็จพระองค์ชายเจ้านายผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ได้ประทานให้ข้าพเจ้าเป็นสมบัติติดตัวไปก่อนวันจะลงเรือ “คาลกัน” ออกทะเลจีน.....ปักกิ่งก็ยังคงยืนอยู่ในที่เดิม ถนนหนทางยังคงเต็มไปด้วย ลา, อูฐ, หยางเชอ, และขอทาน กำแพงเมืองอันสูงใหญ่ก็ยังคงยืนทะมึนอยู่ทั้งสี่ทิศ ล้อมรอบด้วยคูน้ำสำหรับป้องกันข้าศึกยุคง้าวและทวน ไม่มีอะไรใหม่จนเกินไปในปักกิ่ง ซึ่งเสด็จในกรมกำแพง ฯ เสด็จเข้าไปประทับอยู่ราวสัปดาห์เศษ ดอกท้อ ดอกโบตั๋น, ดอกสาวเย่า, ยังจะบานต่อไปเหมือนกับที่เคยบานมาแล้วในชุนเทียนสมัยเลียดก๊ก แต่ว่าเช่นเดียวกับที่เลือดมนุษย์ได้เองมาแล้วตลอด ๓,๐๐๐ กว่าปี....ตั้งแต่ยุคฉีจนถึงยุคกบฎนักมวย.....ปักกิ่งก็คงจะนองเลือดอีก เพราะศึกจักรวรรดินิยมของพวกซามูไรใจเหี้ยม ซึ่งกำลังจะบุกเข้าไปในแมนจูเรีย เพื่อพุ่งลงมายึดปักกิ่ง ตามความคาดคิดของคนเป็นอันมากในขณะนั้น

ข้าพเจ้าไปเฝ้าเสด็จในกรมกำแพง ฯ ที่โฮเต็ลเดอเปอแกง ในวันที่จะเสด็จขึ้นมุกเด็น เสด็จในกรมทรงมีเมตตาประทานโอวาทแก่ข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ข้าพเจ้าอย่าประมาท เพราะความประมาทคือทางแห่งความตาย โดยเฉพาะในแผ่นดินที่เลือดยังไม่แห้ง ข้าพเจ้ากราบพระบาทด้วยความซาบซึ้งในน้ำพระทัยที่ได้ทรงห่วงใย เลือดไทยหยดหนึ่งที่มีกรรมเก่าเป็นสายป่านดึงเอาไปเวียนว่ายอยู่ในลุ่มแม่น้ำเหลือง แผ่นดินเก่าของขงจื๊อและกวนอู

ความวุ่นวายในสถานีรถไฟเฉียนเหมินค่อย ๆ หมดลง เมื่อขบวนรถไฟสายปักกิ่งมุกเด็น ได้คลานออกไปในแสงแดดจ้าอันอบอุ่นนอกชานชาลา บรรทุกเอาเสด็จในกรมแห่งราชวงศ์จักรี พร้อมด้วยคณะผู้โดยเสด็จไปจากเรา จนลับตาไปกับโค้งกำแพงเมือง บัวกับข้าพเจ้ายืนส่งเสด็จอยู่กับนายหลอชาง เมื่อท้ายขบวนลับตาไปแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว้าเหว่อย่างประหลาด มีความรู้สึกคล้ายกับว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้เห็นเจ้านายผู้มีเมตตาพระองค์นี้อีก

นายหลอชางแยกทางกลับบ้าน บัวชวนข้าพเจ้าไปตุงอันซื่อฉ่าง ตลาดอันใหญ่ยิ่งของปักกิ่ง ขายของทุกอย่างตั้งแต่อาหารไปจนถึงหนังสือ มีร้านหนังสือเก่า ๆ อยู่หลายสิบร้าน ขายทั้งหนังสือภาษาต่างประเทศและภาษาจีน หนังสือภาษาต่างประเทศเป็นหนังสือ “มือสอง” เสียมากกว่า ๙๐% ราคาถูกมาก ล้วนแต่เป็นหนังสือดี ๆ ทั้งทางวรรณคดีและวิชาการทุกสาขา เราเดินเลือกหนังสืออยู่สองชั่วโมงเศษ ก็ถึงเวลาที่จะหิวจึงเลือกร้านหยางโร่ว ยี่ห้อเก่าได้ร้านหนึ่ง ข้าพเจ้าได้รับคำชี้แจงจากเพื่อนไทยที่ควรจะมีอยู่เพียงคนเดียวในปักกิ่งว่า ที่รู้ว่ายี่ห้อเก่าก็เพราะเห็นเขาบูชายี่ห้อไว้ข้างใน เหมือนบูชาของศักดิ์สิทธิ์ แสดงว่าร้านนี้ได้ตั้งมาแล้วมากกว่าร้อยปี

บัวส่งภาษาที่ได้มาไม่กี่คำให้เอาหยางโร่วมาก่อน เรานั่งอยู่ในห้องเล็ก ๆ กั้นฝาไม้เก่า ๆ เป็นห้อง ๆ ฝุ่นละอองจับเขรอะตามซอกกระดาน พื้นไม้สึกคอดด้วยกาลเวลา ทั้งห้องมีแต่ความเก่า ไม่มีเครื่องประดับที่เจริญตาอะไรเลยนอกจากโต๊ะเก้าอี้ ซึ่งถ้าไม่มีก็คงไม่ใช่ห้องอาหารเป็นการแน่นอน

“เป็นอย่างไรบ้างเมื่อคืน ?” บัวเอ่ยขึ้นขณะที่เรากำลังรออาหาร

“เสียดายที่คุณไม่ไป” ข้าพเจ้าสบตาอันแวววาวของเขา “แอลเลนบ่นตามเคย ไม่กินเส้นกันเสียจริง ๆ”

“คุณหมายถึงวารยา ?”

“ใช่”

“แปลว่าพบวารยา ?”

“พบ เขาไปกับเหลียง”

“เขาก็ไม่เคยไปกับใครนอกจากเจ้านักเรียนบอสตันคนนี้” บัวควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ “แล้วยังไง, คุณได้รู้จักวารยาแล้วซี ?”

“เหลียงเขาแนะนำ”

“แล้วยังไง ?”

“เราคุยกัน–เต้นรำกัน สนุกอยู่จนดึก”

“ผมไปติดอยู่เสียที่คารุซาวา พวกญี่ปุ่นเขาเลี้ยง เสียดายที่ไม่ได้ไปคาราซาร์ด้วย......แล้วยังไง ?” บัวมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่คล้ายกับจะเร่งรัดให้เล่าเรื่องวารยาต่อไปอีก

“ผมก็ได้คุยกับวารยานานพอควร เป็นคนลึก มีอะไรที่ต้องค้นคว้า”

“ค้นคว้าอะไร ?”

“ก็ไม่รู้ซี แต่มันมีอะไรที่ซ่อนอยู่ในดวงตา ผมอยากจะใช้คำว่าดวงวิญญาณ”

“เป็นคนลึกลับ”

“ไม่แน่ วารยาคุยเปิดเผยดีพอใช้ แต่เธอมีอะไรก็ไม่รู้ ผมอาจจะต้องติดตามลองศึกษาดู”

“เพื่ออะไร ?”

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ข้าพเจ้าหัวเราะแล้วจึงคิดหาคำตอบต่อไป เพราะเชื่อว่าบัวคงจะรุกใหญ่

“ผมว่าคุณจะเสียเวลาเปล่ากระมัง” บัวมองข้าพเจ้าด้วยแววตาอันคมกริบ “สำหรับผม วารยาเป็นคนสวย เรียกว่าสวยเย็น ๆ ก็เท่านั้นเอง”

“สวยเย็น ๆ ของคุณนั่นแหละ ผมสนใจ ผู้หญิงสวยเย็น ๆ มีไม่มาก”

“คุณจะสนใจไปทำไม เจ้าเหลียงมันคุมอยู่ทั้งคน”

ข้าพเจ้ายิ้มแล้วส่ายหน้า

“ไม่ใช่เรื่องนั้น ผมไม่มีอะไร แต่ผมเป็นนักเขียน คุณคงเข้าใจ”

“คุณจะเอาวารยาไปเขียน–งั้นหรือ ?”

“จีนปฏิวัติ–รัสเซียปฏิวัติ–คนพวกนี้มีอะไรที่น่าเขียน ชีวิตอย่างนี้เมืองไทยไม่ค่อยมีเพราะเราไม่มีปฏิวัติ”

“แต่เขาลือกันว่าเมืองไทยจะปฏิวัติ”

“ถึงปฏิวัติก็คงไม่มีผู้หญิงอย่างวารยา วารยาทำให้ผมมีสังหรณ์ในใจ”

“ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?” บัวหัวเราะก๊ากใหญ่ “คุณจะไปใหญ่เสียแล้วละ, ระพินทร์ คุณพบวารยาเพียงคืนเดียวนะ, อย่าลืม แล้วก็พบอย่างดม คุณดมวารยา คุณไม่ได้รู้จักวารยาเลย”

“นั่นน่ะซี ผมถึงต้องสนใจ ผมจะดมวารยาไม่ได้ ผมจะเอาอะไรไปเขียน ถ้าผมดม”

เด็กปักกิ่งยกหยางโร่วเข้ามา มีกระเทียมดองอย่างดีพ่วงท้ายมาด้วย ส่งกลิ่นตระหลบอบอวล กลิ่นหยางโร่วหรือเนื้อแกะ กับกระเทียมดอง ทำให้ทั้งห้องอึดอัดหายใจไม่สะดวก สำหรับคนที่เพิ่งเป็นน้องใหม่

หยางโร่วเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาเรื่องวารยา บัวเปลี่ยนมาพูดเรื่องแกะซึ่งเป็นอาหารชั้นหนึ่งของจีนเหนือ เราคุยกันด้วยภาษาไทย เสียงดังกว่าปกติไปบ้างในบางครั้ง เพราะไม่ต้องวิตกว่าจะมีใครมาฟัง หลังจากเบียร์ห้าดาวชั้น ๑ ของจีนเหนือได้หมดไปแล้วขวดหนึ่ง กำลังเริ่มขวดที่สองบัวก็เรียกอาหารจานพิเศษอื่น ๆ มาอีก แต่ก่อนที่เจ้าบ๋อยตัวเล็กผมเกรียน จะเหวี่ยงจานเข้ามาด้วยมือที่เชี่ยวชาญ ก็มีบุรุษหนึ่งแต่งตัวแบบสากล หวีผมเรียบ ร่างโปร่ง ท่าทางทะมัดทะแมง หน้าตาบอกว่าเป็นสุภาพบุรุษเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เข้ามาเยี่ยม ๆ มอง ๆ อยู่ที่ประตูห้อง

“ขอโทษครับ, คุณเป็นคนไทยหรือครับ ?” เขาถามด้วยภาษาไทย ที่ฟังได้ชัดเหมือนคนไทยพูด

เราทั้งสองสะดุ้งโหยง เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีเสียงคนไทยดังแหวกอากาศเข้ามาในเวลาอย่างนี้ และอีกประการหนึ่งสำหรับข้าพเจ้า ความคิดที่ว่าจะมาเจอคนไทยในปักกิ่ง ยกเว้นบัว ซึ่งรู้อยู่ล่วงหน้า ก็ไม่เคยมีอยู่ในสมอง

บัวหันหน้าไปสบตาบุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้นั้น พร้อม ๆ กับข้าพเจ้า เราทั้งสองยิ้มรับเขาอย่างเลื่อนลอยและประหลาดใจ

“ครับ, เราเป็นคนไทย” ข้าพเจ้าตอบโพล่งออกไป แล้วก็จับตารอดูปฏิกิริยาของเขาต่อไปอีกอย่างพินิจพิเคราะห์

“ผมต้องขออภัยโทษ ผมบังเอิญผ่านหน้าห้อง ได้ยินเสียงคุยกันโดยผมไม่ได้ตั้งใจจะฟังหรอกครับ” เขาอธิบายอย่างใช้ความพยายาม “ที่นี่ผมไม่ค่อยจะเคยได้ยินใครพูดไทยเลย พอได้ยินก็ดีใจอดแวะเข้ามาไม่ได้ ผมขอโทษนะครับ ถ้าเป็นการรบกวน”

“เปล่าครับ...เปล่า” บัวรีบสวนขึ้นแล้วขยับตัวทำท่าจะลุกจากเก้าอี้ “เชิญก่อนครับ....เชิญซีครับ”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืน แล้วร้องเชิญเขาเป็นการยืนยันว่าเราไม่มีความรังเกียจอะไรที่จะได้คนไทยในต่างแดนมาร่วมโต๊ะด้วย สุภาพบุรุษร่างเพรียวลม หวีผมเรียบก้าวเข้ามาในห้องอย่างแช่มช้า ท่าทางเป็นผู้ดีเต็มตัว ข้าพเจ้าขยับเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุดให้เขา แล้วก็นั่งลงพร้อมกัน

“คุณคงแปลกใจมาก” เขาเอ่ยขึ้นก่อนแล้วยิ้มอย่างละมุนละไม “ผมขอแนะนำตัวเองครับ ผม–จรินทร์ กอนซาเลส ครับ”

เราแนะนำตัวเองให้เขารู้จักชื่อเป็นการตอบแทน ข้าพเจ้าสะดุดใจนามสกุลเขาทันที และคิดว่าบัวก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน เพราะเขาชำเลืองมาสบตาข้าพเจ้าแวบหนึ่ง คล้ายกับจะถามว่า เป็นไทยแน่แล้วหรือ ข้าพเจ้าฉวยโอกาสขณะที่จรินทร์ กอนซาเลส หันไปยิ้มกับบัว รีบศึกษาหน้าตาผิวพรรณตลอดจนทุกอย่างบนศีรษะและเรือนร่างของเขา ครั้นแล้วก็บอกกับตัวเองว่า นายหนุ่มใหญ่คนนี้ต้องมีเลือดฝรั่งแน่นอน เพราะผมของเขามีสีน้ำตาลอ่อน ๆ ปน ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น

“ผมโชคดีครับ วันนี้” จรินทร์เจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนหาเรื่องพูดต่อไป “ผมว่าจะมาดูหนังสือในตงอันซื่อฉ่าง อ่านสักสองสามเล่ม แต่พอผ่านร้านหยางโร่วนี่ก็เหมือนมีอะไรดลใจให้ต้องเข้ามา ก็พอดีได้ยินเสียงคุณพูดกันอยู่ในห้องนี่ คุณพักที่ไหนครับ ?”

“ตงซื่อผายโล่ว คอลเลช ออฟ ไชนีส สะตัดดีส์” บัวตอบ “ระพินทร์ก็อยู่ด้วยกันครับ เขามาจากฮ่องกง มาถึงหลังผมสัปดาห์เดียว”

“คุณพักอยู่ในโรงเรียน ผมรู้จักโรงเรียนนี้ เขาสอนแต่พวกหมอสอนศาสนาไม่ใช่หรือครับ ?” จรินทร์ถามด้วยความสนใจ

“ครับ เราแทรกเข้ามาพิเศษ เราผ่านมาทางสถานทูตไทยในโตเกียว” บัวอธิบาย” “ระพินทร์เขาก็ขึ้นอยู่กับสถานทูตของเราในญี่ปุ่น เรามาเรียนครับ คุณก็คงมาเรียนเหมือนกัน ?”

จรินทร์ กอนซาเลส ยิ้มเห็นฟันขาว เขาเอามือลูบคางที่โกนไว้อย่างเกลี้ยงเกลา แล้วตอบว่า

“ผมเพิ่งโกนหนวดทิ้งเมื่อเช้าครับ ห้อยติดมาจากเมืองไทยกันผีหลอก” หยุดคิดนิดหนึ่ง “ผมไม่ได้มาเรียนหนังสือ ผมมา–เอ้อ–เที่ยวเล่น”

“เที่ยวเล่น” ข้าพเจ้าทวนคำ “คุณเป็นพวกทัวริสต์”

“ก็ไม่เชิงครับ ผมมาเที่ยวของผม บินเดี่ยวมาครับ เที่ยวไปเรื่อย ๆ ตามความพอใจ”

“คุณคงไปมารอบโลก ?” บัวถาม

เขาสั่นศีรษะทันที

“เปล่าครับ–ไม่รอบครับ ราว ๆ ครึ่งโลกเท่านั้น”

ข้าพเจ้าทำความเข้าใจกับตัวเองว่านายจรินทร์คนนี้คงมีเงินเหลือใช้, รำคาญก็เลยหาทางใช้เงินให้มันหมด ๆ ไปด้วยการเที่ยวไปเรื่อย ๆ ครึ่งโลก

“คุณคงมาถึงปักกิ่งหลายวันแล้วครับซีครับ” ข้าพเจ้าถาม

“หลายเดือนแล้วครับ ผมมาจากหมาเก๊า” เป็นคำตอบ

“อ้อ หลายเดือน” พูดเสียเพลิน เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแขกคนไทยนักท่องเที่ยวครึ่งโลกของเรายังไม่มีแก้วสักใบเดียว ข้าพเจ้าก็เรียกบ๋อย แล้วพูดว่า “คุณดื่มกับเรานิดนะครับ คุณต้องการอะไรครับ ?”

“ผมได้ทั้งนั้น ป๋ายกั๋น–หวงเจียว–ว้อคก้า–หวูซิ้ง แต่เอาป๋ายกั๋นก็แล้วกันครับ”

“ป๋ายกั๋น” ข้าพเจ้าทวนคำอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ ๒๘ ดีกรีของเรานั่นแหละครับ ระดับเดียวกัน”

“เอาเหล้าฝรั่งไหมครับ ?” บัวถามอย่างห่วงใย

“ผมว่า–” เขานิ่งคล้ายกับจะให้การตัดสินใจครั้งสุดท้าย “เอาไอ้หวู่ซิ้งห้าดาวนี่ก็ได้ครับ”

“เบียร์ ?”

“ครับ–เบียร์”

จรินทร์ กอนซาเลส ควรจะเป็นนักดื่มที่มีความเชี่ยวชาญมากพอดูทีเดียว จากท่วงทีที่เขาลูบคลำอยู่กับแก้ว แต่เขาไม่ดื่มมาก ดูเหมือนว่ายังจะสงวนท่าทีอยู่ เพราะเพิ่งรู้จักกันไม่ทันอึดใจ ตลอดเวลาข้าพเจ้านั่งถามตัวเองว่า จรินทร์เป็นใคร มาอยู่เมืองจีนทำไม, เขาว่าเขามาเที่ยวเล่น, ฟังดูแล้วไม่ค่อยเกิดศรัทธาเลย

เราคุยกันอย่างมากมายถึงเรื่องเมืองไทยและเมืองจีน ข้าพเจ้าจับความได้ว่า จรินทร์เป็นคนเกิดเมืองไทย มีเลือดฝรั่ง และได้เดินทางออกจากเมืองไทยมาได้หลายปีแล้ว ด้วยเหตุผลที่เขาไม่แถลง และเราก็ไม่พยายามซัก เวลานี้เขาพักอยู่ที่โรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งจัดแบบเกสต์เฮ้าส์ ตั้งอยู่แถว ๆ ฮาตะเหมิน

“คุณคงเที่ยวปักกิ่งเสียปรุ ?” ในที่สุดข้าพเจ้าถามขึ้น

“ครับ ก็ค่อนข้างปรุ”

“คุณพูดปักกิ่งได้คล่อง เมื่อเห็นพูดกับบ๋อย”

“ครับ ก็พอเอาตัวรอด”

“อยู่ไม่กี่เดือน–พูดได้คล่องอย่างนี้–คุณคงได้ครูดี”

“ผมพูดเป็นตั้งแต่อยู่หมาเก๊า ภาษาปักกิ่งไม่ยากครับ อีกไม่กี่เดือนคุณก็พูดได้”

“คุณจะอยู่ปักกิ่งอีกนานไหมครับ คุณจรินทร์ ?” บัวซึ่งนิ่งอยู่นานเริ่มเปิดปาก

“ผมยังไม่มีโครงการครับ แต่มันก็สบายดี ก็ไม่อยากไปไหนอีก”

“จะอยู่ตลอดไป ?”

“ก็แล้วแต่ฟ้าดินครับ” เขาหัวเราะคล้ายกับจะพยายามดับความรู้สึกบางอย่างที่มีอยู่ในใจ

“จะกลับเมืองไทยไหมครับ ?” ข้าพเจ้าล้วงกระเป๋ากางเกงชั้นในของเขา เพราะอดใจร้อนไม่ได้

จรินทร์มีสีหน้าเครียดเล็กน้อย รอยยิ้มหายไปทันที เขาก้มหน้าหลบตาต่ำ นิ่งอึ้งไปสักประเดี๋ยว ก็ตอบว่า

“ผมชอบปักกิ่ง ผมอาจจะตายอยู่ที่นี่ก็ได้”

ข้าพเจ้าสบตาบัว ไม่มีปัญหาเลยบัวก็คงรู้สึกอย่างเดียวกันกับข้าพเจ้า คือรู้สึกว่า จรินทร์ กอนซาเลส เป็นคนลึกลับ มีอะไรอยู่เบื้องหลังแน่นอน เขาทิ้งเมืองไทยมาตายเมืองจีน มันเรื่องอะไรกัน ?

นั่นซี มันเรื่องอะไรกัน ?

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ