บทที่ ๔๐

ข้าพเจ้าสั่งผีเจี่ยวมาขวดหนึ่ง แล้วกหนมาทางเจียงเหมย คำถามของเธอข้าพเจ้ายังไม่ได้ตอบในทันที มันเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าต้องการจะตอบอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าเปิดผีเจี่ยวรินให้เจียงเหมยและตัวเอง แล้วก็พูดว่า

“ฉันเคยคุยเล่น ๆ กับสนานเรื่องแนวราษฎร อยากจะล้วงความรู้สึกที่เขาซ่อนไว้ในใจ เขาบอกว่าแนวราษฎรเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ถ้าไม่ฝังนายทุนให้หมดหมดเสียก่อน เขาว่าฉันจะฝันไปมากกว่า เราเลยเลิกพูดกัน”

“แล้วมันคืออะไรล่ะ, ระพินทร์ แนวราษฎรของเธอ ?” เจียงเหมยถามอย่างเร่งรัด

ข้าพเจ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปประเดี๋ยวหนึ่ง เพราะยังนึกไม่ออกว่าจะขึ้นต้นอย่างไรดี ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตกลงใจว่าจะเริ่มด้วยเรื่องของเจียงเฟ

“เธอคงทราบดีว่าฉันรักจิตใจของเจียงเฟมาก” พูดแล้วข้าพเจ้าก็สบตาหญิงสาวคล้ายกับจะหยั่งความรู้สึก แววตาคู่นั้นสุกใสเหมือนดวงดาว มีประกายที่แสดงออกซึ่งความรู้สึกตื่นเต้นพอใจ “เจียงเฟเป็นพวกเราที่ยืนอยู่แนวของราษฎร เขาต่อสู้เพื่อชาติของเขา แต่เขาไม่หลงชาติและคิดจะเหยียบย่ำชาติอื่น เขาต้องการอิสรภาพและเสรีภาพ แล้วก็–เขาเกลียดสงคราม”

“เธอรู้จักพี่เฟดีเท่าฉัน พี่เฟเกลียดสงคราม” เจียงเหมยยืนยัน “แต่ความคิดของเขา ไม่มีใครสนใจ นอกจากจะไม่สนใจแล้ว เขาถูกคนใหญ่คนโตเกลียดชัง เวลานี้เขาอยู่ในกรงขังของตำรวจ กำลังจะถูกยิงทิ้ง ไม่มีใครต้องการเขาอีกแล้ว”

“แต่เราต้องการ ราษฎรทั้งโลกต้องการคนอย่างเขา” ข้าพเจ้าสวนขึ้นทันที “ถ้าราษฎรส่วนใหญ่ของโลกมีความคิดอย่างเจียงเฟ สงครามจะไม่มี แนวราษฎรของเราจะมั่นคงมาก”

เจียงเหมยถอนใจยาวอย่างท้อแท้ หลบตาลงต่ำ นิ่งอยู่เช่นนั้นโดยไม่พูดอะไร บริเวณเก๋งริมสระน้ำเงียบสงัด นาน ๆ ได้ยินเสียงปลาผุดขึ้นฮุบตัวแมลงเล็ก ๆ เหนือผิวน้ำเสียครั้งหนึ่ง

อากัปกิริยาของหญิงสาวคงไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นด้วยกับความรู้สึกนึกคิดของข้าพเจ้า แต่คงจะไม่เชื่อว่าแนวราษฎรเป็นสิ่งที่สามารถจะเป็นไปได้ ข้าพเจ้าเองก็เคยบอกตัวเองเสมอว่าข้าพเจ้าฝันไป

“ฉันเข้าใจเธอ เจียงเหมย” ในที่สุดข้าพเจ้าก็เอ่ยขึ้นช้า ๆ “แนวราษฎรมันไม่มีทางสำเร็จได้ในอายุของเรา”

หญิงสาวพยักหน้าน้อย ๆ ยิ้มเศร้า ๆ แล้วพูดว่า

“เราจะรวมคนทั้งโลกไม่ได้ดอก ระพินทร์ มนุษย์เรายังมีเรื่องที่เข้าใจกันไม่ได้อีกมากนัก ฉันมองเห็นแต่เลือด มันไหลนองมาตั้งแต่โลกเริ่มมีมนุษย์จนกระทั่งวันนี้”

“แต่ว่า–” ข้าพเจ้าหยุดคิดนิดหนึ่ง “ทำไมเราจะต้องฆ่ากันโดยที่เราไม่เคยรู้จักหน้าค่าตากันเลย ? ไม่มีใครนึกสะดุดใจบ้างหรือ ?”

“เราหลงชาติหลงลัทธิประเพณีหลงตัวเอง เรายังอยู่ในความหลง เราก็ต้องฆ่ากัน” เจียงเหมยโคลงศีรษะไปมา

“ฉันก็เข้าใจอย่างเธอ แต่เราจะไม่ตั้งต้นหยุดฆ่ากันเสียบ้างหรือ ? สมมติว่าเราตั้งสมาคมระหว่างชาติขึ้น–สมาคมแนวราษฎร”

“พวกโซชลิสต์ก็เคยทำกันมาแล้วเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑”

“แต่เขาก็คุมกันไม่ติด เพราะแต่ละคนหันหลังให้แก่ชาติไม่ได้” ข้าพเจ้าหัวเราะเบา ๆ “มันก็น่าขบขันที่เราจะต้องกินอุดมคติกันต่อไป จะต้องถือว่าชาติอยู่เหนืออะไรทั้งหมดแม้แต่มนุษยธรรม”

“แน่นอน เราจะต้องฆ่ากันต่อไปอีก เพราะเรายังคงกินอุดมคติเรื่องชาติกันอย่างไม่ยอมฟังว่า มโนธรรมที่แท้จริงของเรามันต้องการอะไรกันแน่”

“แต่ฉันยังไม่ยอมล้มความคิดเรื่องสมาคมแนวราษฎร” ข้าพเจ้าพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น “ถ้าไม่มีลำธารแม่น้ำและทะเลจะเกิดไม่ได้ สมาคมแนวราษฎรของโลก ถ้าไม่มีใครตั้ง เราก็จะมีสันติภาพไม่ได้”

“แต่เธอต้องไม่ลืมว่า ถ้าเราแก้ปัญหาเรื่องท้องไม่ได้เราก็แก้ปัญหาสันติภาพยังไม่ได้”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“อ๋อ, แน่นอน สมาคมแนวราษฎรนอกจากจะต้องพยายามลดความบ้าคลั่งของสิทธิชาตินิยมลงแล้ว ยังจะต้องวางแผนเศรษฐกิจของโลก ไม่ให้มนุษย์กดขี่เอาเปรียบกินแรงกันแบบทุนนิยมอีกด้วย แต่ต้องไม่ใช้วิธีการของคอมมิวนิสต์หรือแม้แต่โซชลิสต์ เกิดเป็นคนต้องเสรี เราจะเอาโซ่ตรวนมาแก้ปัญหาเรื่องท้องไม่ได้เลย เพราะคนหิวข้าวพอทนได้ แต่ถ้าหิวเสรีภาพแล้วก็ทนกันไม่ได้นาน”

รุ่งขึ้น ข้าพเจ้าพบบัวในห้องอาหารตึกเวสท์บิลดิ้ง ข้าพเจ้าก็เล่าให้เขาฟังว่าเจียงเหมยจะเอาเงินจากลุงมาซื้อชีวิตเจียงเฟ ลุงของเจียงเหมยเป็นพ่อค้าใหญ่ฐานะร่ำรวย พอจะโยนสินบนก้อนใหญ่ให้สันติบาลปักกิ่งอย่างหลี่เค่อจ่างงับเอาไปกินได้โดยไม่ยากนัก บัวแสดงความเบาใจ เขาพูดว่า

“ถ้ามีเงินก้อนมาให้มันได้ เจียงเฟก็รอด แต่ใครจะเป็นคนติดต่อ ?”

“เจียงเหมยคงจะให้ลุงมาติดต่อเอง จรินทร์ของเราก็ลองติดต่อดูแล้ว แต่ว่าคำมันยังเล็กไปมันเลยไม่ฮุบ นี่เพียงแต่ชั้นนายพันนะ ถ้าถึงชั้นนายพลจะต้องหน้าเหลือง มันมีฮาเร็มจะต้องเลี้ยง”

บัวหัวเราะเสียงดัง

“นายพลที่นี่–แทบจะว่าคนไหนคนนั้น ถ้าไม่มีฮาเร็มมันก็ไม่ใช่นายพล ลัทธิอย่างนี้ขออย่าระบาดเข้าไปในเมืองไทยเลย”

“นายพลเมืองไทยยังไม่เฟ้อเหมือนเมืองจีนหรอกน่า ของเรากว่าจะเป็นนายพลใส่สายตะพายได้สักเส้นหนึ่ง ก็ต้องคัดเอาที่หัวกระเด็นจริง ๆ เขาไม่ตั้งกันส่งเดชเต็มบ้านเต็มเมืองหรอก ผมว่าฮาเร็มของนายพลเมืองไทยคงไม่มี” ข้าพเจ้าพูดแล้วก็หัวเราะ

บัวควักกระเป๋าหยิบซองจดหมายออกมาซองหนึ่ง ปิดแสตมป์ไทยเห็นถนัด ข้าพเจ้าเดาทันทีว่าเขาจะต้องมีข่าวทั่จะบอก

“ผมได้รับจดหมายจากนายโอ๋ เขาได้เป็นหัวหน้าแผนกเงินแล้ว มันไปเร็วดี” บัวพูดอย่างร่าเริง “แล้วยังมีข่าวที่คุณควรจะสนใจ คุณทองใบเพื่อนคุณกำลังเป็นเศรษฐี พิมพ์หนังสือขายดีเป็นเทน้ำเทท่า”

“ทองใบ โภคผล ใช่ไหม ?”

“นั่นแหละ นายโอ๋บอกว่าคุณทองใบตั้งสำนักพิมพ์ ‘อุทิศ’ พิมพ์หนังสืออ่านเล่นเล่มละ สตางค์ ขายเป็นหมื่น คนซื้ออ่านทั่วประเทศ”

“อ๋อ, ทองใบ”

“ดูเหมือนเขาเป็นต้นคิดให้คุณแปลเรื่องอัชฌาเทวีลงไทยเขษมไม่ใช่หรือ ? ผมเคยอ่าน”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“เมื่อตอนผมอยู่ห้องแปด แปลอัชฌาเทวีเสียเพลินเลยอดสกอล่าชิป แต่มันก็ดีเหมือนกัน มันทำให้ผมได้มาปักกิ่ง”

“ยังไง ?” บัวมองหน้าข้าพเจ้า

“ปีนั้นกระทรวงคัดนักเรียนชิงทุนสกอล่าชิป ๖ คน มีเด็กสวนกุหลาบ, เทพศิรินทร์, ปทุมคงคา, สามโรงเรียน ไอ้ผมอยู่เทพศิรินทร์ ลือกันว่าเป็นช้างเผือก แต่พอสอบเข้าจริงกลายเป็นช้างเก๊ สวนกุหลาบเอาที่ ๑ ที่ ๒ ไปกินหมด ท่านเจ้าคุณอาจารย์ชี้หน้าล้งเล้งผมใหญ่ หาว่ามัวไปแปลอัชฌาเทวีเสียเพลินทำให้โรงเรียนขายหน้า ผมเสียใจจนน้ำตาตกที่ทำให้โรงเรียนเสียชื่อ แต่เดี๋ยวนี้ผมดีใจ”

“อ้าว ทำไม ?”

“ผมได้มาปักกิ่ง” ข้าพเจ้าตอบยิ้ม ๆ “ถ้าผมได้สกอล่าชิปผมต้องไปอังกฤษ ผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นความทุกข์ยากของมนุษย์ มันเป็นบทเรียนที่หาเรียนในอังกฤษไม่ได้ เพราะที่นั่นเราพบแต่ความอิ่มความอบอุ่นไม่มีความหิวและความหนาว”

บัวทำหน้าคล้ายกับจะบอกว่ารำคาญที่ได้ยินข้าพเจ้าพูดถึงความทุกข์ของมนุษย์อีก เขาเคยมีความเห็นว่าปัญหาของมนุษย์เป็นเรื่องใหญ่เกินไปที่เราจะเก็บเอามาคิด เอาตัวให้รอดเสียก่อน แล้วโลกก็จะรอดเอง เขาก็มีเหตุผล ทุกคนมีตนเป็นที่รัก เราจะรักใครยิ่งกว่าตน ? ธรรมชาติบัญญัติไว้ว่าทุกคนต้องต่อสู้เพื่อตนจะได้รอด มันช่วยไม่ได้ถ้าสัตว์ใหญ่จะต้องกินสัตว์เล็ก

“คุณคงคิดว่าคุณเคราะห์ดีที่ได้มาปักกิ่ง ?” ในที่สุดบัวก็เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นข้าพเจ้านิ่งไป

“ผมกำลังเข้าใจเช่นนั้น” ข้าพเจ้าตอบ “ก่อนขึ้นมาปักกิ่ง ผมต้องไปอยู่ฮ่องกง คุณก็ไปอยู่ญี่ปุ่น เราพบสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน คุณพบความรุ่งเรือง–พบจักรวรรดินิยมของซามูไร ผมพบร่องรอยของความเป็นทาสที่จักรวรรดินิยมสร้างขึ้นไว้ พบความบอบช้ำ พบสงครามกลางเมืองในกวางตุ้ง พบการต่อสู้ของคนจนที่กลายเป็นคอมมิวนิสต์ คุณพบความสว่าง ผมพบความมืด เราขึ้นต้นชีวิตต่างกันเมื่อตอนออกจากเมืองไทย เพราะฉะนั้นเราจึงอาจเห็นไม่เหมือนกันก็ได้”

“แต่ผมไม่ได้คิดอย่างพวกซามูไร ผมก็ไม่ชอบคนหลงชาติพวกนี้” บัวสวนขึ้นทันที

“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ข้าพเจ้ารีบชี้แจง ผมหมายความว่าเรามองมนุษยภาพกันคนละแง่”

“อาจเป็นได้” บัวหัวเราะ “ผมอยู่กับวันนี้ คติชีวิตของผมคือวันนี้ เพราะวันนี้ทำให้เรามีวันพรุ่งนี้ ถ้าเราทำวันนี้ให้สำเร็จไม่ได้ พรุ่งนี้อาจไม่เป็นของเราก็ได้”

“ผมว่าคุณพูดถูกต้อง” ข้าพเจ้ารับรองอย่างจริงใจ

“คุณคิดดูซี, ระพินทร์” บัวฉวยโอกาสกล่าวต่อไป “โลกไม่ได้เป็นของเราคนเดียว เราจะไปเจ็บร้อนแทนคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา ผมเห็นว่าเราทำไม่ได้ ขอโทษนะ ผมเคยบอกคุณเสมอว่าคุณฝันมากไป”

ข้าพเจ้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ผมก็อยากจะรับว่า ผมฝัน” ข้าพเจ้าพูดช้า ๆ “แต่ถ้าเราไม่คิดไม่ฝันกันบ้าง โลกก็คงดีขึ้นไม่ได้ ทุกวันนี้โลกดีขึ้นเพราะเราคิดเราฝัน วิทยาศาสตร์ทุกแขนง ถ้าคนไม่คิดไม่ฝันไม่ทดลอง ก็ก้าวหน้าไม่ได้”

บัวขมวดคิ้วนิ่งคิดไปสักประเดี๋ยวก็พูดว่า

“แต่ผมหมายถึงว่าเราไม่ควรฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”

“อะไรล่ะที่คุณเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ ?” ข้าพเจ้าถามเสียงเบา

บัวนิ่งคิดอีกก่อนที่จะตอบ

“อย่างแนวราษฎรของคุณ ที่คุณเคยเถียงกับผม....”

“อ๋อ, นั่นเวลาจะพิสูจน์” ข้าพเจ้าสวนขึ้นทันที “ผมมีเหตุผลของผม แนวราษฎรจะสำเร็จไม่ได้ในชีวิตของคุณกับผม แต่แนวราษฎรจะต้องเกิดขึ้นในวันหนึ่งข้างหน้า การศึกษากับการคมนาคมจะทำให้ราษฎรเข้าใจกัน ความชั่วร้ายที่เป็นแง่หนึ่งของวัตถุ และความล้มเหลวของการจัดระบอบเศรษฐกิจของโลกที่เกิดเพราะการเดินสายริมสุดของลัทธิทุนนิยมกับลัทธิคอมมิวนิสต์ ตลอดจนสงครามที่จะติดตามมาสร้างความพินาศให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง จะทำให้ราษฎรเข้าใจกันได้มากขึ้นทุกวัน และมีการร่วมมือกันมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งเราก็จะพบทางเส้นใหม่ของเราที่แนวราษฎรจะเดินไปหาสันติภาพถาวร”

“สันติภาพถาวร !” บัวพูดแล้วหัวเราะ “คุณคิดหรือว่าโลกจะมีสันติภาพถาวร ?”

“เราก็ต้องเลือกเอาว่าเราจะใช้ปัญญา หรือเราจะใช้ความหลง, คือหลงชาติ, หลงลัทธิ, และหลงตัวเอง”

เย็นวันนั้น เมื่อข้าพเจ้าผ่านไปทางตึกประชุม มิสปอปอฟก็ยื่นจดหมายปิดแสตมป์ไทยให้ฉบับหนึ่ง

“ดีใจไหม ? เธอคงจะสบายใจไปได้อีกหลายวัน” มิสปอปอฟพูดยิ้ม ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเมตตาอารีอันเป็นอุปนิสัยของเรอ

ข้าพเจ้ามองตาเธออย่างไม่เข้าใจ เธอจึงพูดต่อไปว่า

“ฉันทายไม่ผิดหรอก จดหมายคนรักของเธอใช่ไหม ?”

ข้าพเจ้ายกของขึ้นดูลายมือ จำได้ทันทีว่าใครเขียนมา

“เพื่อนเขาเขียนมา แต่ก็คงจะสบายใจได้เหมือนกัน” ข้าพเจ้าพูดแล้วก็หัวเราะ เลขานุการิณีของ ดร. เพทตัสก็เลยหัวเราะไปด้วย

ข้าพเจ้าตรงไปที่ห้องสมุดซึ่งอยู่ทางปีกใต้ของตึก หามุมสงบข้างหน้าต่างได้มุมหนึ่ง แล้วก็ลงมือเปิดซองถึงจดหมายของเพื่อนเก่าออกมาอ่านด้วยความตื่นเต้น

สุดใจเพื่อนร่วมโรงเรียนเทพศิรินทร์ ซึ่งเราตั้งฉายาว่า “ดอนคิว” ได้เขียนมาว่าดังนี้

“อั๊วไม่ได้เขียนเสียนาน แต่ลื้อคงจะรู้เรื่องเมืองไทยอยู่ทุกอาทิตย์แล้ว เห็นพวกเราบอกว่าช่วยกันเขียนไปเป็นประจำ ไอ้อั๊วก็เลยคอยแต่อ่านจดหมายของลื้อจากกุหลาบบ้าง จากมาลัยบ้าง จากทองใบบ้าง จากเฉวียงบ้าง เมื่อวานได้อ่านจากโชติ ลื้อเล่าเรื่องเมืองจีนสนุกดี มันทั้งสนุกทั้งหนัก อ่านแล้วก็ปวดหัวเพราะต้องเอามาคิด ที่ลื้อเขียนมาอั๊วมองเห็นเงา ความยุ่งยากมันจะมาถึงเราในวันหนึ่งถ้าพวกซ้ายได้อำนาจ ลื้อเล่าเรื่องนายสนานลูกเสี่ยใหญ่ถนนเยาวราช ลูกคนมีเงินไม่น่าเป็นคอมมิวนิสต์เลย คอมมิวนิสต์มันดียังไงอั๊วอยากรู้ ว่าง ๆ เล่าไปให้อั๊วฟังหน่อย มันยังเป็นของใหม่สำหรับคนไทย พวก “เก๊กเหม็ง” จุดไฟขึ้นบ้านเมืองเลยพังทลายไปกันใหญ่ อยากให้เขียนมาลงหนังสือพิมพ์พวกเรา จะได้เตือนสติพวก “เก๊กเหม็งไทย” ที่กำลังคิด “เก๊กเหม็ง” กันอยู่เดี๋ยวนี้ อั๊วนอนสะดุ้งทุกคืน กลัวราษฎรจะแย่เหมือนเมืองจีน ที่กลัวมากก็คือพวกตาอยู่, พวกผีกระสือ และพวกเปรตอสุรกาย

อั๊วยังคงแปลดอนคิวอยู่ เพื่อนฝูงเขายอมให้อั๊วผูกขาด ไม่มีใครแปลแข่ง ลื้อเคยเขียนรูปเรื่องดอนคิวให้อั๊วสมัยศัพท์ไทย ไทยเขษม เสนาศึกษา ฯลฯ เวลานี้อั๊วไม่มีคนเขียนรูปเสียแล้ว ต้องปล่อยให้ทางโรงพิมพ์เขาว่ากันไปเอง โชติกำลังเป็นพลุ กุหลาบก็ฟิตจัด “ศรีกรุง” ถูกล่ามโซ่ปิดแท่นเพราะบทความเรื่อง “มนุษยภาพ” ของกุหลาบ พวกเรายังจับกลุ่มกันอยู่ หัวยังแข็งตามเดิม ก้าวไปแต่ข้างหน้า ไม่มีถอยหลัง มันเรื่องของคนหนุ่ม ช่วยไม่ได้ เราหกคะเมนตีลังกากันหลายครั้ง ไม่ถูกใจก็ยกพวกเดินออกจากโรงพิมพ์ไป อั๊วว่ามันก็โก้ดีเหมือนกัน แต่พออั๊วหายเมาก็คิดได้ว่าเราไม่จำเป็นจะต้องทำถูกไปเสียทุกอย่าง ไอ้เลือดร้อน ๆ บางทีมันก็ไม่ค่อยดีนัก

พูดถึงเลือดร้อน อั๊วก็วิตกถึงพวกคนหนุ่ม “เก๊กเหม็งไทย” ที่กำลังจับกลุ่มกันอยู่เดี๋ยวนี้ คนลือกันทุกวันว่าเขาจะปฏิวัติยึดอำนาจแต่แล้วก็เงียบไป เจ้าคุณตำรวจก็สอดส่องหาตัว แต่ท่านก็ไม่ค่อยเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะคนที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาคงไม่กล้าทำ ขืนทำก็จะต้องมีอันจะเป็นไปตามคำสาบาน แต่ข่าวลือมันก็ไม่สิ้นซาก ลือกันจนนอนสะดุ้ง ไอ้อั๊วเวลาเมาก็หลับสบาย แต่เวลาหายเมามันก็ต้องเอามาคิด เก๊กเหม็งไทยคณะนี้ก็คนหนุ่ม มองอะไรดีไปหมด ไม่มองด้านเสีย อั๊วกลัวมากข้อนี้ เมืองไทยเป็นปึกแผ่นรอดอยู่ได้ก็เพราะมีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินวันไหนมันก็คงเป็นเมืองจีน อั๊วไม่รู้ว่าพวกเก๊กเหม็งไทยเขาจะเอายังไงกัน ถ้าจะให้เมืองไทยเป็นรีปับลิค อั๊วว่าฉิบหายแน่ นอนภาวนาขอให้เขาใช้ปัญญา อย่าคิดบ้า ๆ ไปถึงขนาดนั้นเลย

ลื้อกำลังอยู่กับการปฏิวัติที่ยังไม่มีการจบเกม ลื้อว่าอย่างไร ? ไอ้ปฏิวัตินี่ดีไหม ? ปฏิวัติกับปฏิรูปลื้อจะเอาข้างไหน ? อั๊วว่าถ้ามันไม่ร้ายไม่ด่วนถึงรอไม่ได้เพราะคอจะขาดก็ไม่ควรปฏิวัติ

เวลานี้ก็มีข่าวว่าในหลวงก็ทรงมีพระราชดำริจะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้เหมือนกัน แต่มันเรื่องของเวลา พวกเก๊กเหมงเขาคงไม่ทันใจ อั๊วไปคุยกับหลวงยุทธ ฯ เขาว่าเขารู้ตัวพวกเก๊กเหม็งหลายคน แต่เขาไม่บอกชื่อ โดยมากมาจากปารีส บางคนหัวซ้ายจัด เพราะไปได้พวกญวนเป็นครู อั๊วก็ชักเป็นห่วง เลยอยากจะรู้ว่าคอมมิวนิสต์มันอะไรกันแน่ เวลานี้รู้เพียงเลา ๆ เพราะหาหนังสืออ่านให้ละเอียดไม่ได้ หลวงยุทธ ฯ บอกว่าพวกเก๊กเหมงเขาไม่เชื่อว่ารัฐธรรมนูญจะลอยลงมาให้เอง หรือถึงจะลอยลงมาก็ช้าเกินไป เขาว่าบ้านเมืองจะแย่ถ้าไม่รีบแก้ เวลานี้มันก็มีเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ ต้อง “ดุลยภาพ” กันมาครั้งนั้น แต่บ้านเมืองก็สงบเรียบร้อย อั๊วก็เห็นใจพวกนี้เหมือนกัน แต่อยากให้เป็นการปฏิรูปมากกว่าปฏิวัติ โรมสร้างไม่ได้ในวันเดียว มันต้องทีละขั้น นี่เขาจะเอาให้ได้ในวันเดียว หลวงยุทธ ฯ ว่ากลัวราษฎรจะไม่พร้อม อั๊วเห็นด้วย ถ้าราษฎรไม่พร้อม ตาอยู่ ผีกระสือ เปรตอสุรกาย ก็จะเข้ามากินโต๊ะกัน แล้วราษฎรจะตัวเหลือง ประชาธิปไตยมีประโยชน์อะไรถ้ามันเป็นเครื่องมือหากินของพวกตาอยู่ พวกเปรต พวกเหลือบ พวกปลิง !

อั๊วว่าลื้อมาอยู่เมืองจีนก็ดีแล้ว จะได้ดูเมืองจีน รู้จักเมืองจีน บางทีจะเป็นประโยชน์ต่อเมืองไทยบ้างในเวลาข้างหน้า

อั๊วสบายดี ถ้าลื้อเห็นอั๊วตอนนี้จะแปลกใจ เพราะอั๊วเมาทุกวัน

รักมาก

สุดใจ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ