- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๕๐
๑
ด้วยความอยากรู้ ข้าพเจ้ากลับไปหาตู้หลิงอีก หลังจากที่ได้ยืนคุยกับเสี่ยวเม่เพียงไม่กี่คำ ข้าพเจ้าพบเขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องหนังสือ
“อ้าว, คิดว่านอนแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้นทักข้าพเจ้าอย่างแปลกใจ
“ลืมถามพี่ตู้ไปเรื่องหนึ่งเมื่อกี้” ข้าพเจ้านั่งลงข้าง ๆ เขา “เจียงเฟเป็นอย่างไรบ้าง ?”
คิ้วของนายตำรวจสันติบาลขมวดเข้าหากันทันที นิ่งอึ้งอยู่สักประเดี๋ยวก็ตอบว่า
“ก็ยังไม่มีอะไรเคลื่อนไหว”
“ยังไม่มีการยิงเป้า ?” เสียงของข้าพเจ้าสั่นเล็กน้อย
“เมื่อคืนยิงไปสาม แต่ไม่มีเจียงเฟ”
“แน่หรือ ?”
“ไม่เห็นมีชื่อเจียงเฟนี่”
คำตอบที่เต็มไปด้วยความเลื่อนลอยของเขา ทำให้ข้าพเจ้ากระวนกระวายใจมากขึ้น ตู้หลิงไม่ได้ตอบอย่างแน่นอนว่า เจียงเฟไม่ได้ถูกยิงเป้า เขาพูดเพียงว่าไม่มีชื่อเจียงเฟ เจียงเฟอาจจะถูกยิงในคืนวันพรุ่งนี้ก็ได้
“เขาพิจารณาเด็ดขาดกันหรือยัง ?” ข้าพเจ้าถามต่อไปอีก
“ต้องถามหลี่เค่อจ่าง ไม่มีใครรู้ดีกว่าเขาหรอก”
“แปลว่า เจียงเฟอาจถูกยิงเป็นคนต่อไปก็ได้ ?”
“ก็ไม่แน่”
ไม่มีใครพูดอะไรอีกเป็นเวลานาน ห้องนั้นเงียบกริบเกือบจะได้ยินเสียงลมหายใจของเราเอง ตู้หลิงไม่พยายามอธิบายอะไรมาก เพราะอาจกลัวความรับผิดชอบก็ได้ ส่วนข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะถามอะไร รู้สึกมึนงงเหมือนถูกตีที่ศีรษะ
“เจียงเฟคงไม่รอด” ในที่สุดข้าพเจ้าก็ปล่อยให้คำพูดหลุดออกมาจากริมฝีปากอย่างไม่รู้สึกตัว ตาเหม่อมองดูเปลวไฟสีเขียวจากกองถ่านหินในเตาเหล็กตรงหน้า
ตู้หลิงยังคงนั่งอยู่ ทำให้ความเงียบในห้องนั้นเพิ่มความน่ากลัวยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
“เจียงเฟไม่ใช่คอมมิวนิสต์ พี่ตู้ต้องเข้าใจ” ข้าพเจ้าไม่สามารถจะบังคับอารมณ์ไว้ต่อไปได้ “ทำไมรัฐบาลถึงต้องฆ่าคนที่รักชาติอย่างเจียงเฟ ? เมืองจีนไม่ต้องการคนดีบ้างหรือ ?”
ตู้หลิงถอนใจยาว เขาวางมือลงบนเข่าข้าพเจ้า แล้วก็บีบไว้แน่น
“เธออย่าพูดถึงคนดีเลย, ระพินทร์” เขาพูดเสียงแหบ “สมัยนี้คนดี ความดี ไม่มีความหมายอะไรเท่าไหร่นัก โลกมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว”
“ก็แปลว่าฉู่หวาเขาคิดถูกแล้ว ใช่ไหม ?” ข้าพเจ้าถามเสียงเครียด
“ไม่มีใครคิดถูก ทุกคนคิดผิดด้วยกันทั้งนั้น” เสียงของเขายังคงแหบอยู่ คล้ายกับหมดแรงจะพูด
“ไม่มีใครคิดถูก ?” ข้าพเจ้าทวนคำ “ถ้าทุกคนคิดผิด โลกมันก็ต้องแตก”
“ถูกแล้ว, โลกมันกำลังจะแตก” ตู้หลิงพูดอย่างหนักแน่น “ฉันมองเห็นสงครามในยุโรป ในเมืองจีนมันจะถึงสมัยสามก๊กอีกครั้งหนึ่ง บางทีฉู่หวาอาจทายถูกก็ได้ ทางออกของโลกก็คือต้องฆ่ากัน ทำลายกันอย่างขนานใหญ่เสียที อะไรที่มันล้น ๆ อยู่จะได้ลดลงไป เราสะสมชีวิตกับทรัพย์สมบัติไว้จนล้นโลกแล้ว เราต้องลดจำนวนมันลงไป–ต้องเผาต้องทำลายมันไปเสียบ้าง แบบที่เขาเอากาแฟทิ้งทะเลในอเมริกาใต้”
“เธอคงเป็นนักทำลายเหมือนฉู่หวา” ข้าพเจ้าพยายามหัวเราะ เพื่อกล่อมอารมณ์ตัวเอง
“แต่การทำลายก็คือความตาย มันไม่ใช่ทางออก”
“มันอาจเป็นทางออกก็ได้ เพราะทำให้การสะสมลดลง”
“แต่ฉันไม่เข้าใจว่าคนที่เจริญแล้ว ทำไมจึงต้องทำลาย ทำไมเราจึงไม่หาวิธีสร้างให้ดีขึ้น วางระเบียบชีวิตให้ดีขึ้น”
“เจียงเฟมีความคิดในการสร้าง และวางระเบียบชีวิตเสียใหม่ แต่รัฐบาลหาว่าเขาเป็นคอมมิวนิสต์” ข้าพเจ้าพูดเป็นเชิงแย้ง
ตู้หลิงบีบเขาข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
“เราก็ต้องเห็นใจรัฐบาลเหมือนกัน” เขาพูดช้า ๆ อย่างใช้ความคิด รัฐบาลต้องคิดอย่างรอบคอบ แต่นักศึกษาต้องการให้รุดหน้าไปเร็ว ๆ แล้วส่วนมากก็เป็นพวกคอมมิวนิสต์ชาตินิยม หัวคิดรุนแรง ฉันว่าถ้าเขาแก่ตัวลงและลองเป็นรัฐบาลดูบ้าง เขาก็จะทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้”
ข้าพเจ้านิ่ง ในใจคิดด้วยเลือดของคนหนุ่มว่า รัฐบาลหนีความผิดไม่พ้นที่เที่ยวจับนักศึกษามายิงเป้า มันเป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินไป เยาวชนเป็นเสาหินของชาติ เยาวชนต้องคิด ต้องสนใจกับบ้านเมือง ถ้าห้ามเยาวชนคิดเสียแล้ว เยาวชนจะเตรียมตัวเป็นเสาหินของชาติได้อย่างไร รัฐบาลนานกิงยังขาดกุศโลบายที่จะทำความเข้าใจกับเยาวชน ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบคอมมิวนิสต์อย่างร้ายแรง เพราะเป็นการไล่ต้อนเด็กเหล่านี้ให้ไปเข้าค่ายเมาเซตุง ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่ในปักกิ่ง ข้าพเจ้าได้พบเยาวชนส่วนมากเกลียดชังรัฐบาล เหตุที่เกลียดก็เพราะรัฐบาลแตกแยกกันเอง, รักษาความสงบ ความปลอดภัยของชาติไม่ได้, สร้างความก้าวหน้าทางชีวิตเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนไม่ได้, และที่สำคัญนั้น รัฐบาลขาดการทำความเข้าใจกับเยาวชน และขาดวิธีการที่จะนำเยาวชนไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลเอง
และที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง, ความทุกข์ยากของประชาชนทั่วแผ่นดินจีน รัฐบาลแก้ไม่ได้ เยาวชนที่ไม่ผละไปเข้าค่ายคอมมิวนิสต์ เพราะหมดศรัทธา, ก็กลายเป็นคนแอนตี้สังคม, แอนตี้สถาบัน, แอนตี้ทุกอย่างที่เป็นการสร้างสรรค์ เยาวชนกลุ่มนี้ต้องการทำลายเพราะหมดหวังในชีวิต แต่เมื่อทำลายแล้ว ก็ไม่รู้จะสร้างอะไรขึ้นมาแทน
มันจึงเกิดความอลเวงไปทั้งแผ่นดินผืนใหญ่ปานทวีปตลอดสิบ ๆ ปีของการปฏิวัติ เพื่อจะสร้างนกกระสาขึ้นมาแทนขอนไม้ที่กำลังผุไปเพราะกาลเวลา
๒
ที่จงซานกงหยวน สวนสาธารณะที่มีชื่อเสียงที่สุดของปักกิ่ง แม้หิมะปลายฤดูจะโปรยปุยละเอียดสีขาวบริสุทธิ์ลงมาบ้างจากท้องฟ้าสีหม่นในเวลาเช้า แต่ผู้คนที่ต้องการพักผ่อนในวันสุดสัปดาห์ก็ทยอยกันเข้าไปนั่งยังโต๊ะน้ำชา ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ใต้ต้นสนอันมีอายุแก่เท่า ๆ กับราชวงศ์แมนจู ข้าพเจ้าไปอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติแล้วก็เดินเรื่อยไปจนถึงกงหยวนแห่งนี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ตั้งใจจะพบจรินทร์ ซึ่งนัดว่าจะไปกินน้ำชาหลุงจิ่งกันที่นั่น ข้าพเจ้าเดินลัดเลาะอยู่ในลานใหญ่ใต้ต้นสนโบราณบริเวณที่มีคนคับคั่งที่สุด ครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นจรินทร์มา จึงนั่งรออยู่ที่โต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่งใต้ต้นหยางข้างสระน้ำ ซึ่งก่อด้วยหินที่เอามาจากภูเขาท่ายซาน
ลมระลอกสุดท้ายที่พัดผ่านมาจากไซบีเรียกระโชกมาเป็นครั้งคราว คล้ายกับจะเป็นการอำลาจากของตงเทียนแห่งนครประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าอยู่ในชุดต้าผาวสีเทายัดสำลี อบอุ่นสบายไม่เดือดร้อนเพราะกระไอเย็นของหิมะแห่งลุ่มน้ำมังกรดำ คนที่มากินน้ำชาในจงซานกงหยวนส่วนมากเป็นคนชั้นกลาง และนักศึกษา อุ้มลูกจูงหลานมากันทั้งครอบครัวก็มี เป็นการใช้ชีวิตในวันสุดสัปดาห์ที่ร่มรื่นชื่นบาน, ไม่ค่อยมีใครขมวดคิ้วนิ่วหน้าคิดถึงปัญหาอะไร โดยเฉพาะปัญหา ตงซานเสิ่ง หรือแมนจูเรีย ซึ่งกำลังเป็นข่าวครึกโครมสะเทือนไปทั้งโลกว่า สันนิบาตประชาชาติ หรือกว๋อจี้เหลียนเหือห้วย กำลังจะหลิ่วตาปล่อยให้ซามูไรญี่ปุ่นฮุบเอาไปกินอีกตามเคย จงซานกงหยวนกำลังยิ้มรับสปริง ซึ่งจะมีเพียงดอกไม้ที่หล่นอยู่บนซากศพ มันเป็นการยิ้มก่อนที่ความตายจะมาถึง
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป แต่จรินทร์ก็ยังไม่โผล่หน้าออกมาจากกลุ่มคนให้ข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้าทราบจากบัวว่า เขากลับจากเป๋ต้ายเหือ เมืองตากอากาศชายทะเลขอบอ่าวเป่จื๋อลี่ เมื่อวานพร้อมกับผู้หญิงเซี่ยงไฮ้คนหนึ่ง จรินทร์ไม่เคยขาดผู้หญิง ดูเหมือนว่าถ้าไม่มีผู้หญิงในโลกนี้ ชีวิตเขาก็จะไม่มีความหมายอะไร แต่ว่าเขาไม่เคยมีเมียตามความหมายของเมีย เขามีความกลัวอย่างใหญ่หลวงอยู่อย่างหนึ่ง คือกลัวความเป็นเมีย เขาว่าชีวิตผู้ชายสิ้นสุดลงที่ความเป็นเมีย ความเป็นเมียเป็นหลุมลึกที่ฝังอิสรภาพและเสรีภาพของผู้ชายทุกคน เพราะฉะนั้นถ้าผู้หญิงคนไหนเกิดจะมีความเป็นเมียขึ้นมา เขาก็จะหนีไปให้ไกลที่สุด บัวบอกว่า สาเหตุอันหนึ่งที่ทำให้จรินทร์กลายเป็นนักท่องเที่ยวมาราธอน ไม่คิดกลับเมืองไทย ก็คือ เมียกำลังคอยเขาอยู่ในกรุงเทพ ฯ และเมียคนนี้ได้ต่อสู้อย่างเหนียวแน่นที่จะไม่ยอมใช้นามสกุลอื่น, ไม่ใช่เพราะความรัก, แต่เพราะจรินทร์เป็นทายาทของนายเหมืองพลวงที่แม่ฮ่องสอน
ข้าพเจ้าคิดว่า จรินทร์อาจกำลังข้าวใหม่ปลามันอยู่กับผู้หญิงเซี่ยงไฮ้คนนั้นจนนอนยังไม่ตื่นก็ได้ “ถ้าคุณมาเมืองจีน คุณต้องแวะเซี่ยงไฮ้ มันเป็นปารีสของตะวันออก” เขาบอกข้าพเจ้าในวันหนึ่งเมื่อพบกันใหม่ ๆ “เซี่ยงไฮ้มีสารพัดให้คุณดู คุณคงเคยได้ยินเรื่องไอ้พระเอกเกรตเดนขนาดสูงแค่เอว มันทำได้ทุกอย่าง เสียค่าดูไม่กี่เหรียญ ก็ได้เดินตัวเบาออกมา”
จรินทร์ ผู้ไม่มีทุกข์ เป็นเจ้าสำราญที่ยิ้มกับมัจจุราชในเมืองจีนได้ทุกแห่งทุกเวลา ที่หมาเก๊า บ่อนใหญ่ของตะวันออก เขายิ้มกับคุกมืดของปอร์ตุเกส และมือมืดของราชาค้าของเถื่อนจากเกาะเฮิ้งก๋อง ซึ่งกลายเป็นเกาะฮ่องกง อันเป็นเพชรเม็ดใหญ่ของมหาสมุทรแปซิฟิค จรินทร์ทำให้ข้าพเจ้าพบชีวิตอีกแบบหนึ่งที่อยู่กันคนละฝั่งกับชีวิตของเจียงเฟ จรินทร์เกลียดความรับผิดชอบ แต่เจียงเฟรักความรับผิดชอบ–รักมากเกินไปจนลืมรักตัวเอง และหลูกวงกับสนานก็เป็นชีวิตอีกแบบหนึ่งเหมือนกันที่ไม่มีอะไรเหมือนจรินทร์ แต่ว่าฉู่หวา หรือชูฟ้า นิ่มนิรันดร์ แม่ไทยพ่อไหหลำ มีอะไรบางอย่าง–และบางอย่างเท่านั้น–ที่คล้าย ๆ จรินทร์ คือต้องการเสรีภาพที่ไม่มีการพูดถึงความรับผิดชอบ เพราะความรับผิดชอบ บางครั้งก็กลายเป็นโซ่ตรวนและค่ายทรมาน
จรินทร์คงจะยังจมอยู่ในฟูกกับแม่สาวชาวเซี่ยงไฮ้คนนั้น จึงยังไม่โผล่หน้ามาเลย ข้าพเจ้าตัดสินใจจะไปใช้วันสุดสัปดาห์ที่มหาวิทยาลัยเยียนจิง บางที ถ้าสนานหนีเข้าเมืองกับหลูกวง ข้าพเจ้าก็อาจได้พบเจียงเหมยซึ่งข้าพเจ้าก็อยากจะพบ เพราะอยากรู้เรื่องเงินที่ลุงของเธอกำลังวิ่งเพื่อเอามากู้ชีวิตของเจียงเฟผู้หลาน
๓
แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายที่ขาจวนจะเกแล้วตัวนั้น, ก็มีเสียงร้องทักเป็นภาษาไทยมาทางเบื้องหลัง ข้าพเจ้าหันไปดูก็พบชูฟ้าเดินยิ้มเข้ามา
“คุณจะกลับละหรือ ?” เขาเข้ามายืนที่โต๊ะ “ไม่นั่งกินน้ำชากันก่อนหรือ ? ผมเป็นแฟนหลุงจิ่งของจงซานกงหยวน”
“คุณควรจะนั่งลง ผมนั่งอยู่แล้ว” ข้าพเจ้ายิ้มตอบ
ชูฟ้านั่งลงยังเก้าอี้หวายตรงหน้า ข้าพเจ้าร้องสั่งชาหลุงจิ่งมาอีกชุดหนึ่ง พร้อมด้วยเม็ดแตงโมจากเมืองซานตุง
“นี่มานั่งอยู่คนเดียว ?” ชูฟ้าพูดเป็นเชิงถาม ข้าพเจ้าพยักหน้า
“คุณล่ะ, ไม่พ่วงเอาใครมาด้วยหรือ ?”
เขาสั่นศีรษะ
“ผมยังไม่ชอบมีเรือพ่วง ถ้าไปโดนเรือรั่วเข้าจะไปไม่รอด ผมไม่เชื่อผู้หญิงสมัยนี้”
“ทำไม ?”
“หาเรือดีไม่ค่อยได้น่ะซี”
“คุณกล้าพอจะอยู่เป็นโสดใช่ไหม ?” ข้าพเจ้ามองหน้าเขาแล้วหัวเราะ
“ถ้าคุณเรียกว่าการอยู่เป็นโสดเป็นความกล้า ผมก็กล้า ทุกวันนี้ผมกล้าที่จะอยู่คนเดียวบนยอดเขาหวาซาน”
“คุณจะเป็นเซียน ?”
“ผมพยายามจะเป็นอยู่แล้ว”
“จริงหรือ ? แล้วคุณจะได้ใครไปเล่นวอลเล่ย์บอลล์กับคุณบนยอดเขา ? ทีมเซ้าท์ไชน่าเขาจะยอมให้คุณไปเป็นเซียนหรือ ?”
“ผมอยากไปเที่ยวเมืองฤๅษีเกศที่เขาหิมาลัย อยากเป็นฤๅษีอยู่ในถ้ำ”
“เป็นต้าวหยินดีกว่า ภูเขาหวาซานก็สวยไม่แพ้ภูเขาหิมาลัย”
“แต่อีกหน่อยหวาซานก็อยู่ไม่ได้แล้ว มันต้องรบกันวอดวาย ผมกำลังรอให้มันรบกัน”
ข้าพเจ้ามองหน้าชูฟ้าอย่างสนเท่ห์
“คุณรอ ?”
“ผมรอ”
“ทำไม ?”
“อ้าว, มันช่วยลดจำนวนมนุษย์ให้น้อยลง สงครามผมเคยเกลียด แต่ความเกลียดมันกำลังกลายเป็นความรัก ผมว่าสงครามมีประโยชน์”
“งั้นหรือ ?” ข้าพเจ้ามองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่ตู้หลิงเคยเล่าให้ฟังว่าชูฟ้าคิดอย่างไรเรื่องสังคมมนุษย์
“เมื่อสิบกว่าปีก่อน โลกมนุษย์พันห้าร้อยกว่าล้าน เดี๋ยวนี้มีเกือบสองพันล้าน อีกไม่กี่ปีก็จะถึงสามพันล้าน โลกยุ่งเพราะคน คนยิ่งมากความยุ่งก็ยิ่งมาก เพราะความต้องการของคนมันไม่มีที่สุดสิ้น ผมถึงว่าเราต้องลดจำนวนคนให้น้อยลง สงครามกับโรคภัยไข้เจ็บมันมีประโยชน์ก็เพราะเหตุนี้ มันช่วยทำลายมนุษย์–ทำลายความต้องการ–ทำลายความยุ่ง ความวุ่นวาย”
“คุณจะพึ่งความตายยังงั้นหรือ ?” ข้าพเจ้าถาม รู้สึกว่าความขบขันในสีหน้าได้ลดลงไปมากกว่าครึ่ง
“มันก็เหมือนเรายัดทะนานกันลงไปในเรือลำเล็ก ๆ ต้องจับโยนทิ้งทะเลกันเสียบ้าง ม่ายยังงั้นเรือมันก็จมแน่ ถ้าไม่จมข้าวน้ำก็จะไม่พอกันกิน มันก็ต้องแย่งกันวุ่นวาย แล้วความป่าเถื่อนในสมัยหินมันก็ต้องแสดงตัวออกมา”
ข้าพเจ้าครางออกมาเบา ๆ อย่างไม่รู้สึกตัว
“คุณคงไม่เข้าใจผม” ชูฟ้าหัวเราะในคอ “นี่คือสัจธรรมความจริง เราต้องแก้ปัญหาโลกกันแบบนี้ ไม่มีแบบอื่น คอมมิวนิสต์แก้ไม่ได้หรอก แต่คอมมิวนิสต์มันมีประโยชน์ เพราะมันทำให้คนฆ่ากันเหมือนสัตว์ป่า คนตายกันมาก ๆ ความอดอยากจะลดลง โลกคงจะดีขึ้น”