- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๑๗
๑
หิมะยังไม่ละลาย บทบาทในชีวิตของระพินทร์ พรเลิศ ยังจะต้องแสดงต่อไปอีก และไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร–เมื่อไร–และที่ไหน
แต่กฎแห่งกรรมเป็นพระเจ้าองค์เดียวที่ครองจักรวาล ชีวิตทุกชีวิตในจักรวาลจักต้องแปรไปตามกาลเวลาที่ทอดไปตามถนนแห่งกรรมอันกรรมของแต่ละคนได้ลิขิตไว้ ทุกคนจะต้องเดินไปในถนนของเขาซึ่งอดีตของกรรมได้ปูลาดไว้ให้เขาโดยเฉพาะ เขาจะบุกเข้าไปเดินในถนนของคนอื่นตามความพอใจของเขาไม่ได้ และคนอื่นก็จะเข้ามาเดินเล่นอยู่ในถนนของเขาไม่ได้เช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าผู้มีนามว่า ระพินทร์ พรเลิศ ได้เดินทางไปตามถนนสายเดียวของข้าพเจ้า เป็นเวลามากกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ข้าพเจ้าได้พบและได้ผจญกับสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะต้องพบและต้องผจญ เมื่อเป็นเด็กวิ่งอยู่ในสนามใหญ่ระหว่างตึก แม้น นฤมิตรกับตึกเยาวมาลยอุทิศ ในรั้วโรงเรียนเทพศิรินทร์ ข้าพเจ้าคิด าโลกนี้สวยงามนัก ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่มีความสุขที่สุดในโลก ข้าพเจ้าเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนที่ข้าพเจ้าพบ ไม่ว่าจะเป็นชาติชั้นวรรณะอะไร ต้องเป็นคนดี คบได้เสมอ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าอนาคตของข้าพเจ้าจะต้องรุ่งเรืองสุกใส เพราะตลอด ๑๑ ปีในเทพศิรินทร์ ข้าพเจ้าเป็นช้างเผือกนักเรียนคิงส์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่คะแนนและครูบาอาจารย์ตั้งให้ ไม่ใช่กำเริบตั้งเอาเอง แต่ช้างเผือกของเทพศิรินทร์ตัวนี้เป็นช้างเก๊ มันทำให้โรงเรียนขายหน้า มันพลาดการแข่งขันคิงส์สกอล่าชิพระหว่างโรงเรียนในปีสุดท้าย เพราะความประมาทที่เอาเวลาไปเขียนหนังสือพิมพ์เสีย มันจึงเป็นช้างที่ต้องเดินไปตามถนนแห่งกรรม จะใช้ความทะเยอทะยานอย่างโง่ ๆ พยายามตะเกียกตะกายฝืนกฎแห่งกรรมเข้าไปอาศัยเดินในถนนของคนอื่นสักเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ถนนของข้าพเจ้าเป็นถนนดินในดงดิบ ฤดูฝนก็มีแต่โคลนตมลึกถึงโคนขา ฤดูแล้งก็มีแต่ฝุ่นท่วมตาตุ่ม สองข้างถนนก็มีแต่หนามพุงดอและเล็บเหยี่ยวที่ขูดเลือดไหลรินตลอดทาง มันเป็นถนนแห่งความเหี้ยมโหด–ถนนที่พระเจ้าองค์เดียวผู้ครองจักรวาลได้สร้างไว้ให้ไอ้ช้างเผือกเก๊ๆ ตัวนี้เดิน เพื่อจะชดใช้หนี้กรรมเก่าของมันให้หมดไป ข้าพเจ้าได้ใช้ถนนแห่งความเหี้ยมโหดสายนี้เดินมา ๖๒ ปีแล้ว มันเป็นเวลายาวนานสำหรับชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องอดทนและทรหด แต่มันก็สั้นนิดเดียวในประวัติศาสตร์ ถนนแห่งความเหี้ยมโหดได้ทอดไปในป่าชีวิต ลดเลี้ยวเคี้ยวคดพาข้าพเจ้าไปถึงปักกิ่ง เพื่อจะดูเขาจับมนุษย์ไปยิงเป้าอย่างไม่มีเหตุผล เพื่อจะดูมนุษย์สวมท้อบบู๊ตเหยียบหัวประชาชนคนยากเล่นด้วยความลำพอง เพื่อจะดูพวกนายพลรุมกันทำมาหากินเกาะอยู่บนหลังของราษฎรเหมือนฝูงเหลือบฝูงปลิง เพื่อจะดูคนชาติเดียวกันรบราฆ่าฟันกันเองจนเกิดคอมมิวนิสต์เต็มเมือง และท้ายที่สุดเพื่อจะหลั่งน้ำตาให้แก่มนุษย์เพื่อนร่วมโลกผู้ยากไร้ ซึ่งต้องตายไปเพราะความหนาวและความอดอยากเป็นจำนวนล้าน–ล้าน–ล้านชีวิต ทั้ง ๆ ที่ประเทศจีนได้เจริญมาแล้วมากกว่าสี่พันปี ทั้ง ๆ ที่แผ่นดินจีนกว้างขวางปานทวีป อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาตินานาประการ
แต่บนถนนแห่งความเหี้ยมโหดสายนี้ ความทุกข์ยากที่ข้าพเจ้าได้พบทั้งของตัวเองและของคนอื่น ได้สอนให้ข้าพเจ้ารู้จักโลกและชีวิตที่หลอกหลอนมนุษย์มาทุกคนไม่ยกเว้น ถ้าเขาเข้าไม่ถึงพุทธปรัชญา แม้ข้าพเจ้าจะต้องโซเซพเนจรไปในถนนที่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดอยากจะเกิดมาเดินเลย แต่ข้าพเจ้าก็พอใจ ที่พอใจก็เพราะว่าข้าพเจ้าได้เดินอยู่ใต้ร่มพระพุทธฉายาของพระพุทธองค์ที่ทอดมาปกเศียรปกเกล้าอยู่ทุกขณะ ไม่ต้องคลั่งไปตามความบ้าของมนุษย์ที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลของวัตถุ และข้าพเจ้าก็ได้พบรอยคิดของท่านศาสดาขงจื๊อเจ้าของสัจธรรมเพื่อการครองโลกครองชีวิตที่สุขสันต์อันเป็นอมตธรรมซึ่งพวก “เก๊กเหม็ง” และพวกคอมมิวนิสต์จะทำลายให้สูญไปไม่ได้เลย
อย่างไรก็ดี มันเป็นสิทธิอันชอบธรรมของข้าพเจ้าที่จะสารภาพความจริงไว้สักข้อหนึ่งก่อนที่ละครของชีวิตจะปิดม่าน ข้าพเจ้าขอสารภาพว่าถนนแห่งความเหี้ยมโหดที่ข้าพเจ้าต้องถูกบังคับให้เดินอยู่ตลอดมานี้ ได้ทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นคนโง่ที่เอาตัวไม่รอด ข้าพเจ้าชอบขวางโลก ไม่ชอบเดินตามรอยตีนผู้เป็นใหญ่ที่เหยียดหยามกดขี่ประชาชน เพราะไม่เคยกลัวหมากัด ข้าพเจ้ามีชีวิตอย่างอิสระ พอใจกับการกินเกลือ เพราะเกลือไม่เคยทำความเน่าเหม็นให้กับใคร
และเกลือที่ข้าพเจ้าต้องก้มหน้ากินอย่างทรหดนี้ ได้เริ่มต้นในถนนแห่งความเหี้ยมโหดตั้งแต่ยุคปักกิ่ง ข้าพเจ้าไม่ลืมการจำนำโอเว่อร์โค้ททั้ง ๆ ที่หิมะกำลังตก เพื่อจะหาเงินติดตัวเพียง ๒๐ เหรียญ ในขณะที่ปืนใหญ่ญี่ปุ่นดังอยู่ไม่ไกลจากกำแพงเมืองปักกิ่งนัก ข้าพเจ้าไม่ลืมการปฏิวัติตัดทุนการศึกษาอย่างไม่เป็นธรรมและถูกบังคับให้กู้รัฐบาลปฏิวัติโดยให้เสียดอกเบี้ยถึง ๑๕ ปี เพราะเหตุที่สงสัยว่าข้าพเจ้าเป็นพวกรอแยลิสต์ เมื่อถูกตัดทุนข้าพเจ้าต้องอดอยากอยู่ในปักกิ่งหลายเดือน มันเป็นการเริ่มต้นของถนนแห่งความเหี้ยมโหด
แต่ว่าถนนสายนี้ เมื่อมีโทษก็ควรจะมีคุณบ้าง และเหตุเพราะถนนสายนี้เอง ข้าพเจ้าจึงได้พบเจียงเหมยกับวารยา และเพราะเจียงเหมยราชินีแห่งเยียนจิงนี้เอง ข้าพเจ้าจึงได้คติชีวิตที่จะตายไปกับร่างกายของข้าพเจ้า คือคติชีวิตที่ว่า : มนุษย์จะฆ่ากันไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าต่างคนยังเบียดเบียนกินแรงกันอยู่
๒
วันเสาร์ ข้าพเจ้าไปที่เป่ผิงถูซูก่วน หอสมุด ชาติ ริมทะเลสาบเป๋ห่าย ใจกลางกรุงปักกิ่งตามที่เจียงเหมยนัดไว้ ที่นั่นเป็นที่ชุมนุมของปัญญาชนผู้แสวงแสงสว่าง ต่างคนต่างขะมักเขม้นขวนขวายหาความรอบรู้ด้วยการอ่านหนังสือทุกห้อง ตั้งแต่ห้องหนังสือพิมพ์รายวันรายคาบไปจนถึงห้องวรรณคดีเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง มีนักศึกษาและประชาชนไปนั่งอ่านหนังสือกันเกือบไม่มีเก้าอี้ว่าง หนังสือที่แยกประเภทแล้ววางเรียงอยู่บนชั้นเหล็ก ในห้องเก็บหนังสือซึ่งเป็นห้องโถงกว้างใหญ่ขนาดเดินดูไม่ทั่วแม้จะใช้เวลาเป็นเดือน หนังสือเก่าใหม่นอกจากจะรวบรวมมาจากประชาชนใจบุญในประเทศจีนผู้อุทิศซึ่งมีทั้งคนจีนและคนต่างชาติจำนวนมากมายก่ายกอง แล้วยังมีหนังสือที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกทุกทวีปส่งไปให้อีกด้วย เราจัดชั้นเหล็กพิเศษเรียงรายแลละลิ่วไปสุดห้องอันยาวเหยียดเก็บหนังสือจากประเทศต่าง ๆ ไว้ เช่น ประเทศแอลเจียรส์ อาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยียม, บราซิล, บูลแกเรีย, คานาดา, เชโกสโลวาเกีย, ดานซิก, เดนมาร์ก, อียิปต์, แอสโธเนีย, ฟินน์แลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อังกฤษ, กรีซ, ฮาวาย, ฮ่องกง, ฮังการี, ไอซ์แลนด์, อินเดีย, อินโดจีน, อิตาลี, ญี่ปุ่น, ลัตเวีย, มาเลเซีย–สเตรท เซทเทิลเมนต์, เม็กซิโก, ฮอลันดา, และอิสต์อินดีส์, นอร์เวย์, พาเลสไตน์, ฟิลิปปินส์, โปแลนด์, ปอร์จูแกล, รูเมเนีย, รัสเซีย, อาฟริกาใต้, สเปญ, สวีเด็น, สวิทเซอร์แลนด์, ซีเรีย, ตุรกี, สหรัฐอเมริกา, อูรูกวัย, และสยาม, ซึ่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยเป็นผู้อุทิศให้
ข้าพเจ้ารอเจียงเหมยอยู่ครู่ใหญ่ และระหว่างรอก็เดินไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องที่เขาจัดไว้ให้สำหรับหนังสือประเภทนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมีหนังสือพิมพ์ทั้งรายวันรายคาบทวประเทศ และยังมีหนังสือพิมพ์ที่ส่งมาจากต่างประเทศอีกมากมาย เป็นแหล่งหนังสือพิมพ์ ที่สามารถจะค้นหาข่าวและเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง และที่ห้องหนังสือพิมพ์นี้เอง ข้าพเจ้าก็ได้พบกับหลูกวง นักศึกษาชายมหาวิทยาลัยเยียนจิง ซึ่งข้าพเจ้าได้รู้จักที่หอสมุดเยียนจิง เพราะการแนะนำของเจียงเหมย เมื่อหลายเดือนก่อน
หลูกวงยังคงอยู่ในสภาพเดิม คือไว้หนวดเครารุงรัง ทิ้งผมไว้ยาวจนไม่เห็นหู หน้าตามอมแมมเหมือนไม่ได้ชำระล้างทำความสะอาดเมื่อตื่นนอน เสื้อต้าผาวของเขาเก่าคร่ำและมีรอยขาดที่ข้อศอกเพราะคงจะนั่งอยู่กับโต๊ะหนังสือทั้งกลางวันกลางคืนเป็นแรมปี เจียงเหมยเคยบอกกับข้าพเจ้าว่า หลูกวงเป็นนักศึกษาที่ขยันที่สุด เก็บตัวอยู่กับหนังสือตั้งแต่เช้าจนดึกดื่น, กินอาหารวันละสองมื้อ มีแต่หมานโท่ว (คล้ายซาละเปา) กับผัก ซึ่งเป็นอาหารราคาถูกที่สุด แล้วก็ไม่ชอบเข้าสังคม, ไม่เล่นกีฬาเลย มีเพื่อนฝูงน้อยมาก เป็นคนคบยาก เพราะไม่ชอบคบคน เขาเกลียดความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย, เกลียดคนมีเงิน, เกลียดท้อบบู๊ตที่กดอยู่บนหัวของราษฎร เกลียดโสเภณีที่เอาตัวไปขาย เพราะเขาถือว่าคนขายกันไม่ได้ คนต้องอยู่อย่างคน เขามีอะไรที่พิเศษหลายอย่าง พิถีพิถันในสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ถึง แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับทราบจากเจียงเหมยด้วยความกระอักกระอ่วนใจระคนกับความอยากรู้ก็คือ–หลูกวงเป็นคอมมิวนิสต์
ข้าพเจ้าทักหลูกวงก่อน เพราะยังติดนิสัยคนไทยที่ชอบแต่ผูกมิตร ไม่ชอบสร้างศัตรู เจียงเหมยเคยเตือนว่าอย่าใกล้ชิดติดต่อกับบุคคลผู้นี้ จะเป็นภัยแก่ตัวเอง แต่ข้าพเจ้าคิดอย่างคนไทยว่า ไมตรีจิตมิตรภาพที่สุจริต ไม่ควรจะเป็นภัยแก่ผู้ใด คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเกลียดกัน และเข่นฆ่ากันเหมือนสัตว์ร้ายในดงดิบ เราเกิดมาเพื่อจะอยู่ร่วมโลกกันด้วยการร่วมมือร่วมใจ อะลุ้มอล่วย ผ่อนปรนให้แก่กัน และพยายามทำความเข้าใจกันในปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้ารู้ดีว่ามนุษย์ทุกวันนี้มีแต่จะสงสัยกันไม่ไว้ใจกัน, เอาแต่ได้, เห็นแก่ตัว, เหี้ยมเกรียม, ไม่ร่วมมือ ไม่สุจริต, กลับกลอก, ตลบแตลง, ความเจริญของวัตถุยิ่งนำหน้าจิตใจไปไกลเท่าใด, ความป่าเถื่อนของมนุษย์ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น วัตถุเป็นเครื่องนำกิเลสตัณหา วัตถุยิ่งเพิ่มพูน, กิเลสตัณหากยิ่งพอกหนาขึ้น แล้วในวันหนึ่ง–เมื่อวัตถุได้เจริญถึงขีดสุด–มนุษย์ก็จะสงสัยกันถึงขีดสุด และเมื่อนั้นมิตรจะไม่มีจะมีก็แต่ศัตรู มนุษย์ต่างคนต่างก็จะคอยแต่ระวังตัว, คิดแต่จะสร้างอาวุธสังหารกันเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น เพื่อยึดหลักตามกฎหมายป่าที่ตั้งไว้ว่า จงฆ่ามันเสียก่อน, เพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องถูกมันฆ่า
คนอย่างหลูกวง ข้าพเจ้าต้องการรู้จัก, ต้องการศึกษา ข้าพเจ้าต้องการจะรู้ว่าเขาคิดเห็นอย่างไร, จะแก้ไขปัญหาของมนุษย์อย่างไร
“เธอมาหอสมุดบ่อยหรือ ?” ข้าพเจ้าพูดนำขึ้นก่อน “ไม่นึกว่าจะพบเธอที่นี่”
“ทุกครั้งที่เข้าเมือง” หลูกวงตอบห้วน ๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
“ฉันพบเธอวันนั้น ไม่มีโอกาสคุยอะไรมาก” ข้าพเจ้ากล่าวต่อไปอย่างใช้ความพยายาม “ฉันรู้สึกว่าฉันจะได้รับความรู้มากทีเดียว ถ้าได้คุยกับเธอ”
หลูกวงหัวเราะเบา ๆ ในคอ ไม่เปิดริมฝีปาก เขาพลิกหนังสือในมือเล่นสักครู่ ก็พูดว่า
“ทำไมเธอจะต้องมาหาความรู้จากฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ ฉันมีแต่ความจริง”
“ความจริงนั่นแหละความรู้ ความรู้มาจากความจริง” ข้าพเจ้ายันกลับไปทันที
นักศึกษาเคราดกเหลือบตาดูข้าพเจ้าแวบหนึ่ง แล้วก็มองไปที่อื่น เขานิ่งคิดอยู่สักประเดี๋ยวก็พูดว่า
“เธอพูดความจริง เธอก็คงมีความจริงเหมือนฉัน”
หลูกวงรุกพรวดเดียวก็เข้ามาตั้งแนวโอบหลังข้าพเจ้าไว้อย่างแน่นหนา เขาช่ำชองในกลยุทธมากพอใช้
“แต่ความจริงมันมองได้จากหลายด้าน บางทีเธออาจมองในด้านที่ฉันมองไม่เห็นก็ได้” ข้าพเจ้าพูดยิ้ม ๆ อย่างใจเย็น
หลูกวงจ้องหน้าข้าพเจ้าด้วยดวงตาที่แข็งกระด้าง ข้าพเจ้าเดาความรู้สึกของเขาไม่ได้เลย แต่ก็คะเนว่า เขาคงจะไม่พอใจที่ข้าพเจ้าแก้ตัวหลุดจากการโอบล้อมของเขาออกมาได้ เราทั้งสองนิ่งอึ้งไปด้วยกันสักครู่ โดยไม่มีฝ่ายใดปริปากพูดอะไรต่อไปอีก ข้าพเจ้าพยายามคิดหาเรื่องจะพูดเพื่อค้นเอาความจริงที่ควรจะได้จากเขา หลูกวงก็ดูเหมือนจะนิ่งถ่วงเวลา เพื่อคิดการยุทธวาทีต่อไปเหมือนกัน เขาปิดปากไม่พูดอะไร
เวลาผ่านไปหลายอึดใจ ข้าพเจ้าก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“ฉันขึ้นมาปักกิ่งก็อยากจะรู้จักเมืองจีน เธอมีอะไรจะแนะนำฉันได้บ้าง ?”
หลูกวงยิ้มโดยไม่เปิดปาก ในแววตาของเขาดูเหมือนจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่อย่างลึกลับ “ก็เธออยากรู้อะไรเล่า ?” เขาถามเสียงกระด้าง
“อยากรู้ว่าปัญหาเมืองจีนจะแก้กันอย่างไร ?” ข้าพเจ้าตอบ
“ปัญหาอะไร ?” เสียงเขายังคงห้วนอยู่ตามเดิม
“ปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการปกครอง” ข้าพเจ้าพูดเสียงเบาแต่หนักแน่น
หลูกวงหรี่ตามองหน้าข้าพเจ้า ท่าทางของเขาเคร่งเครียดจริงจัง ทำเอาข้าพเจ้าต้องยืดอกหายใจลึก เพื่อตั้งสติให้มั่น ข้าพเจ้าต้องสารภาพว่า ต่อหน้าบุรุษผู้นี้ ข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดชอบกล เขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างบัวหรือจรินทร์ เขาเป็นคนที่ข้าพเจ้าต้องระวังตัว
“คำถามของเธอกว้างเหลือเกิน ฉันตอบไม่ได้ดอก” เขามีน้ำเสียงคลายความตึงเครียดลงบ้าง “เธออยากจะถามว่าฉันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบ้านเมืองของฉันอย่างไรบ้าง ใช่ไหมล่ะ ?”
“ก็คล้าย ๆ อย่างนั้นแหละ” ข้าพเจ้าตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
หลูกวงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเป็นครั้งแรก
“เธอเป็นชาวต่างประเทศ ฉันคิดว่าเธอมีความสุจริตใจที่ถาม แล้วก็... ฉันคิดว่าเธอเป็นคนไม่มีภัย” เขาพูดเสียงเบาแต่มีกังวานลึก “ปัญหาเมืองจีนหรือแม้แต่ปัญหาของโลกมีอยู่ปัญหาเดียว คือปัญหาเศรษฐกิจ, ปัญหาสังคม ปัญหาการปกครองไม่ใช่ปัญหา ถ้าเราแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ปัญหาเศรษฐกิจของเราและของโลกเป็นปัญหาเดียวกัน เราจะต้องร่วมมือกันแก้ ไม่มีใครแก้ได้โดยไม่ร่วมมือกัน”
“มันยังไง ?” ข้าพเจ้าถามอย่างสั้นที่สุด แต่กินความกว้างที่สุด
หลูกวงนิ่งเงียบ นั่งตัวตรง ตาจ้องหน้าข้าพเจ้าคล้ายกับจะสะกดจิต เขาปล่อยให้เวลาผ่านไปสักอึดใจหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าลืมหายใจ, แล้วก็พูดว่า
“เมืองจีนปฏิวัติผิด เขาเปลี่ยนแต่ระบอบการปกครอง ไม่ได้เปลี่ยนระบอบเศรษฐกิจ ประชาชนไม่ได้อะไร มีแต่แย่ลง”
เขาหยุดอยู่แค่นี้ ไม่พูดต่อไป ข้าพเจ้าจึงฉวยโอกาสตีโอบหลังเขาบ้างด้วยการรุกอย่างรวดเร็วแบบสายฟ้าแลบ
“ถ้าเมืองจีนมีการปฏิวัติระบอบเศรษฐกิจ เธอคิดว่าราษฎรจะมีเสรีภาพหรือ ?”
หลูกวงมีอาการสะดุ้งในแววตา เขาคงไม่คิดว่าข้าพเจ้าจะสรุปเรื่องที่เขาตั้งใจจะพูดได้รวดเร็วอย่างนี้
“เรื่องเสรีภาพเป็นเรื่องของการเสียสละ” เขาพูดเสียงเครียด “ปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาเรื้อรัง หมักหมมกันมาเป็นร้อย ๆ พัน ๆ ปี มันเหมือนโรคแคนเซ่อร์ถ้าไม่ผ่าตัดใหญ่ก็แก้ไม่ได้ การผ่าตัดก็หมายถึงการเสียสละเสรีภาพ”
“แต่เธอผ่าตัดจริง ๆ เลือดไหลนองไปทั้งโลก สันติภาพก็เลยไม่มี” ข้าพเจ้าพูดช้า ๆ อย่างมีสติ
“ก็เช่นเดียวกับเสรีภาพ, เราต้องเสียสละสันติภาพ” เขาตอบทันทีเกือบไม่ต้องคิด เราต้องเสียสละเสรีภาพ เพื่อโลกจะได้มีเสรีภาพ เราต้องเสียสละสันติภาพ เพื่อโลกจะได้สันติภาพ”
“แต่เราจะต้องลุยไปในทะเลเลือด”
“ถูกแล้ว”
“ฉันยังไม่เข้าใจ” ข้าพเจ้าหัวเราะอย่างใช้ความพยายาม “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงจะต้องลุยไปในทะเลเลือด เพื่อจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจซึ่งยังไม่มีใครรับรองว่า เมื่อลุยทะเลเลือดนี้ไปแล้วเราจะแก้ได้ เธอคิดว่าเลือดจะล้างโลกได้สะอาดหรือ ?”
หลูกวงลุกขึ้นยืนทันที มีท่าทางฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ แต่ก่อนที่เขาจะระเบิดถ้อยคำอะไรออกมา ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงเจียงเหมยร้องทักขึ้นทางเบื้องหลัง