บทที่ ๕๖

คำพูดของวารยายังคงฝังแน่นอยู่ในจิตใจของข้าพเจ้า แม้เวลาจะผ่านไปอีกหลายวัน หิมะกำลังละลาย ผิวน้ำแข็งในทะเลสาบเป๋ห่ายกำลังบางลงทุกที มันเป็นสัญญลักษณ์ที่บอกว่าชุนเทียนกำลังก้าวย่างเข้ามาในแผ่นดินของพระเจ้าหวงตี้ ชุนเทียนที่ดอกไม้จะบาน แต่ข้าพเจ้าเกิดความหวั่นไหวในใจว่า ดอกไม้เหล่านี้อาจเป็นดอกไม้สีเลือด–สีแดง–ไม่ใช่สีของความร่มรื่นชื่นใจ

แน่นอน ! สปริงสีแดงกำลังผ่านเข้ามาในปักกิ่ง ญี่ปุ่นกำลังวางแผนยึดแมนจูเรีย เซี่ยงไฮ้กำลังร้อนเป็นไฟ เพราะอยู่ในแผนก่อกวนของนโยบายบุกจีนของลูกพระอาทิตย์ที่คลั่งลัทธิบูชิโด จีนกำลังเตรียมตัวรับศึกซามูไร และในเวลาเดียวกันก็ต้องรบเมาเซตุง ซึ่งตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ซ้อนรัฐบาลนานกิงขึ้นในหูหนาน เป็นการท้าทายจอมพลเจียงไคเช็คอย่างเปิดเผย ศึกสองด้านเป็นศึกหนัก เลือดจะต้องนอง สปริงสีสวยจะต้องกลายเป็นสปริงสีแดง เป็นชุนเทียนของยุคสามก๊กที่มีแต่โจโฉ แต่ไม่มีกวนอู

ดูเหมือนว่าเหตุการณ์กำลังดับขันไปทั้งโลก ฮิตเล่อร์ มุสโสลินี อาละวาดอยู่ในยุโรป ซามูไรอาละวาดอยู่ในอาเซีย สตาลินอาละวาดอยู่ในลุ่มน้ำแยงซีเกียง กำลังแตกแยกกับพรรคก๊กมินตัง ของ ดร. ซุนยัดเซ็น ซึ่งบังเอิญถึงอสัญกรรมไปแล้วในปักกิ่ง แล้วก็เมืองไทยของข้าพเจ้าก็กำลังมีข่าวหนาหูขึ้นว่า นักเรียนไทยที่กลับจากปารีส กำลังคบคิดกันจะยึดอำนาจ เปลี่ยนแปลงการปกครอง “เพื่อให้ราษฎรมีเสรีภาพมากขึ้น” โดยที่ตัวราษฎรเองก็ไม่เคยเรียกร้องเสรีภาพ เพราะทุกคนต่างก็พอใจในความสงบสุขร่มเย็นอันเกิดจากพระบารมีปกเกล้าฯ ไร้เสียซึ่งการโกงกินร้อยแปดพันประการของพวกข้าราชการตัวใหญ่ ๆ ที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ไม่กล้าคิดคดทรยศต่อประเทศชาติและประชาชน

โลกกำลังสั่นสะเทือนเพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งเวลาเป็นผู้กำหนดไว้อย่างแน่นอน นอกเหนือจากอำนาจของมนุษย์คนใดจะมาแก้ไขได้ ข้าพเจ้าคลุกคลีอยู่กับชีวิตของคนจีนครึ่งพันล้าน ทั้งโดยการเป็นเพื่อนผู้มีไมตรี และการเห็นการอ่านเรื่องราวของชาติที่เจริญรุ่งเรืองมานับเป็นพัน ๆ ปีนี้ จึงเกิดความสำนึกว่า ข้าพเจ้าได้เข้ามาพบเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชนชาติมนุษย์ ผู้เบิกโลกตะวันออกด้วยปรัชญา ป๊ะกว้าและยิ้นหยางซึ่งหมายถึงกฎธรรมชาติที่ควบคุมชีวิตและความผันแปรของฟ้าดิน ไม่มีปัญหาเลย เมืองจีนได้ก้าวเข้ามาถึงหัวเลี้ยวสำคัญอีกเลี้ยวหนึ่งแล้ว เป็นหัวเลี้ยวสำคัญยิ่งในเวลาสี่พันกว่าปี เพราะเป็นหัวเลี้ยวที่ไม่มีใครกล้าพยากรณ์ว่าจะเลี้ยวไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ พวกอิมพีเรียลิสต์ฝรั่งผู้เจริญได้ปลุกให้จีนตื่นขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๑๑ ดร. ซุนยัดเซ็นได้ล้มล้างราชบัลลังก์มังกร ประกาศตั้งสาธารณรัฐขึ้นในทันทีทันใด เป็นการปฏิวัติที่ถอนรากถอนโคนไม่คำนึงถึงเชื้อโรคร้ายที่จะแทรกซึมเข้ามา คือสงครามกลางเมืองซึ่งฆ่าฟันกันเองเรื่อยมานับเป็นเวลาสิบ ๆ ปี จนกระทั่งเกิดมีจีนขึ้นถึงสองประเทศ คือจีนไต้หวันกับจีนคอมมิวนิสต์ เมื่อข้าพเจ้าพบเจียงเฟในปักกิ่ง จีนกำลังบ่ายโฉมหน้าไปทางมอสโคว์อย่างไม่ยอมเหลียวหลังเสียแล้ว ปัญญาชนและหนุ่มสาวชาวจีนจำนวนมากได้ล้างสมองตัวเองหันไปหาคาร์ลมาร์กซ์และเลนินมากขึ้นทุกวัน รัฐบาลยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งเหลวแหลก ยิ่งทอดทิ้งประชาชน ยิ่งกดขี่ประชาชน ประชาชนก็ยิ่งหันไปหาคอมมิวนิสต์มากขึ้น เมื่อข้าพเจ้ากลับเมืองไทยใน ค.ศ. ๑๙๓๖ ญี่ปุ่นก็บุกจีน เปิดโอกาสให้เมาเซตุงมีเวลาตั้งตัวและฉวยโอกาสชักชวนประชาชนเข้ากู้ชาติ ทำให้กองทัพคอมมิวนิสต์เพิ่มความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเมื่อญี่ปุ่นแพ้ ญี่ปุ่นก็ทิ้งอาวุธทุกชนิดไว้ให้เมาเซตุงเป็นจำนวนมากมหาศาล ในเวลาเดียวกันรัฐบาลก็หมดปัญญาจะปราบคอร์รัปชั่นแก้ปัญหาความเสื่อมโทรมทางใจและทางระเบียบวินัยไม่ได้ หมดสมรรถภาพในการต่อสู้ลงทุกที อาวุธที่อเมริกันให้ไว้ ทหารรัฐบาลก็แอบขายให้เมาเซตุงในราคาถูก ๆ เพื่อช่วยตัวเองให้พ้นจากความอดอยาก กองทัพเมาเซตุงก็ยิ่งมีกำลังเหนือกองทัพรัฐบาลมากขึ้นทุกที จนกระทั่งในที่สุดก็สามารถเข้าครองจีนเหนือได้ทั้งหมด แต่เจียงไคเช็คไม่ยอมแพ้ จอมพลใจเพชรผู้นี้ยังคงเชื่อว่ากองทัพรัฐบาลมีจำนวนทหารมากกว่ากองทัพเมาเซตุงมากมาย มีอเมริกันคอยช่วยเหลือ มีประชาชนคอยหนุนหลังให้ความนิยมเพราะสามารถขับไล่ญี่ปุ่นออกไปได้ มีกำลังทางเศรษฐกิจเพียงพอที่จะรบคอมมิวนิสต์ต่อไปได้อีกนาน เจียงไคเช็คหลงอยู่ในความเชื่อมั่นเหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่นายพลยอร์ช มาร์แชล ได้เตือนว่า จีนบอบช้ำเกินไปที่จะทำศึกกับคอมมิวนิสต์ต่อไปอีกศึกหนึ่ง ถ้าขืนไม่เชื่อก็จะล่มจม อังกฤษก็เตือนว่าสันติภาพอย่างเดียวเท่านั้นที่จะช่วยชีวิตรัฐบาลไว้ได้ มันเป็นชาตากรรมของจอมพลเจียง และประชาชนชาวจีนผู้รักเสรีภาพที่จะต้องพ่ายแพ้อย่างย่อยยับอัปยศ และมันเป็นเวลาที่ดาวแดงจะพุ่งขึ้นไปลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าแห่งแม่น้ำหวงหือเพื่อบูชายัญเสรีภาพของชาติมนุษย์ ด้วยความมุ่งมาดซึ่งไม่มีอะไรมาเปลี่ยนได้ ในอันที่จะสร้างโลกใหม่ชีวิตใหม่ขึ้นบนกองกระดูกของทาสแผ่นดิน จอมพลเจียงไคเช็คสู้ต่อไป–สู้อย่างนโปเลียนเพื่อจะไปอยู่เกาะเอลบ้า !

ความพินาศของรัฐบาลนานกิงควรจะมีสมุฏฐานมาจากอะไร เราได้เห็นกันอยู่ล่วงหน้าแล้ว สมัยที่ข้าพเจ้าอยู่ในปักกิ่ง จอมพลเจียงเป็นคนดี เข้มแข็ง ทรหด เฉลียวฉลาด แต่จอมพลเจียงเลี้ยงลิงไว้เป็นจำนวนไม่น้อย ลิงเหล่านี้ทำให้เกิดการอิจฉาริษยา การแก่งแย่งอำนาจ การคอร์รัปชั่น ความเสื่อมโทรมทางใจ ฯลฯ ซึ่งเป็นการบั่นทอนกำลังของรัฐบาลจนกระทั่งหมดทางจะสู้ต่อไปได้ พอถึงวันที่ ๒๔ เมษายน ๑๙๔๙ นานกิงก็แตก อีกเดือนหนึ่งต่อมา เซี่ยงไฮ้ก็ตกอยู่ในกำมือของเมาเซตุง จอมเผด็จการดาวแดงผู้เป็นกวีชั้นยอดของจีนใหม่ใช้เวลาเพียง ๑๑ เดือนบุกจากเหนือลงใต้เป็นระยะทางถึง ๒๐๐๐ ไมล์ เพื่อส่งนโปเลียนเจียงไปอยู่เกาะไต้หวัน

ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่า เมืองเจียงเฟถูกจับแล้ว นิสิตมหาวิทยาลัยในปักกิ่งถูกสอดส่องและถูกกล่าวหามากขึ้นว่ามีความโน้มเอียงไปทางคอมมิวนิสต์ การขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับนักศึกษาได้เปิดช่องโหว่กว้างขึ้นในแนวของเสรีชนผู้รักชาติ เป็นโอกาสให้คอมมิวนิสต์ตอกลิ่มเข้ามาอย่างรวดเร็ว นักศึกษาได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างรุนแรงถึงเรื่องร้าย ๆ ที่รัฐบาลเอาหูทวนลมไม่ยอมแก้ไข เช่นเรื่องคอร์รัปชั่นของนักการเมือง เรื่องอุตสาหกรรมครอบครัว เรื่องอภิสิทธิ์ เรื่องรัฐมนตรีค้าขาย เรื่องสินบน เรื่องเล่นพวกเลี้ยงพวก ฯลฯ นักศึกษาเป็นผู้ครองสังคมในด้านความรู้สึกนึกคิด เมื่อนักศึกษาแอนตี้รัฐบาล, รัฐบาลที่เสียศรัทธาของประชาชนไปทุกวัน รัฐบาลที่ประชาชนหมดศรัทธาจะยืนอยู่ได้ก็ด้วยการใช้อำนาจบาทใหญ่ แต่การใช้อำนาจบาทใหญ่ ก็คือความหายนะในชั่วโมงสุดท้าย

หิมะกำลังละลาย ลมหนาวในไซบีเรียพัดกระโชกมาอย่างแรงในยามดึก คล้ายกับจะสั่งฟ้าก่อนชุนเทียนจะเริ่มต้น ข้าพเจ้ากับบัวนั่งดื่มเบียร์ห้าดาวแก้หนาวอยู่ในบลูสตาร์ที่ฮาตะเหมินจนค่อนคืน แอลเลนนักหนังสือพิมพ์อเมริกามาร่วมกับเราด้วย เขาคีบเอาสาวสวยชาวเกาหลีติดมาด้วยคนหนึ่ง พูดภาษาอังกฤษคล่อง แต่งชุดนวมสีส้มฉูดฉาดบาดตา ข้าพเจ้าออกเต้นรำกับเธอหลายรอบ เธอชวนข้าพเจ้าไปเกาหลี บอกว่าที่นั่นมีอะไรดี ๆ ที่คนหนุ่มอย่างข้าพเจ้าควรจะค้นคว้าหาความรู้ ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้ารู้จักสตรีสาวชาวเกาหลีหลายคนที่ฮาตะเหมิน ข้าพเจ้ามีความรู้เรื่องเกาหลีพอตัวทีเดียว เธอหัวเราะชอบใจ แล้วเธอก็กระซิบว่าวันรุ่งขึ้นเธอว่างงาน ถ้าข้าพเจ้าจะชวนเธอไปกินรัสเซียนโอเดิร์ฟผสมอาหารอิสลามที่ตงซื่อผายโล่ว เธอก็จะมีความสุขมาก

ผู้หญิงเกาหลีเป็นผู้หญิงชาติแรกที่ข้าพเจ้ารู้จักมักคุ้น ที่ฮ่องกงผู้หญิงกวางตุ้งรออยู่มากมายที่พร้อมจะหลั่งธารน้ำใจให้แก่เรา Pokfulum House หอนอนของเราอยู่ไกลเกินไป จนเกินที่เราจะย่ำออกไปได้ในเวลาดึกดื่นค่อนคืน...พวกเราโดยเฉพาะข้าพเจ้าก็เลยหาโอกาสรู้จักผู้หญิงกวางตุ้งไม่ค่อยได้ พวกผู้หญิงเกาหลีในปักกิ่งโดยมากพูดภาษาอังกฤษได้ดี เพราะฝรั่งชอบไปเยี่ยมแอลเลนกับบัวบ่อย และข้าพเจ้าก็ติดตามไปด้วย

คืนนั้นแอลเลนคุยอยู่จนนาฬิกาตีหนึ่ง ก่อนที่เขาจะคีบเอาเพื่อนสตรีสาวเกาหลีของเขากลับไป จรินทร์กับลอยก็โผล่เข้ามาในบลูสตาร์ นักท่องโลกทั้งสองมาที่โต๊ะเรา ข้าพเจ้าแนะนำให้เขารู้จักกับแอลเลนและเพื่อนหญิงของเขา

แอลเลนกับลอยคุยถูกคอกันอย่างรวดเร็ว เพราะลอยมีอาหารข่าวให้เขามากมาย เกี่ยวกับประสพการณ์ที่ผ่านมากับพวกขุนพลในกวางตุ้ง แอลเลนกำลังจะลงไปยังเมืองแคนตอน ปากแม่น้ำเพิล เพราะฉะนั้นจึงใช้เวลาซักถามลอยถึงเมืองแคนตอนอย่างยืดยาว

ระหว่างที่ลอยอธิบายเรื่องเมืองแคนตอนให้เพื่อนนักหนังสือพิมพ์อเมริกันฟัง จรินทร์ก็เอียงตัวมาทางข้าพเจ้าแล้วกระซิบว่า

“ลอยบอกผมเมื่อกี้ว่า พรุ่งนี้เช้ามืดจะมีการยิงเป้านักศึกษากันอีก”

ข้าพเจ้าสะดุ้งทั้งตัว

“ใครบ้าง ?” เสียงข้าพเจ้าสั่นจนรู้สึก

“เขาว่ามีเจียงเฟรวมอยู่ด้วย”

“เจียงเฟ” ข้าพเจ้าทวนคำแล้วนิ่งอั้น รอจนตั้งสติได้มั่นคงแล้วจึงถามต่อไปว่า “ลอยรู้ได้ยังไง ?”

“เขามีเพื่อนอยู่ในสันติบาล” จรินทร์ตอบอย่างเผลอตัว

“ใคร ?” ข้าพเจ้านึกไปถึงตู้หลิง

จรินทร์เริ่มรู้สึกตัวทันที รีบปฏิเสธว่า

“ลอยเขาไม่ได้บอกผม”

ข้าพเจ้านอนไม่หลับตลอดคืน อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะรุ่งสาง ชีวิตของเจียงเฟจะต้องหลุดลอยไปด้วยลูกตะกั่วลูกเดียว ที่จ่อยิงตรงท้ายทอยเพื่อประหยัดกระสุนตามแบบฉบับของตำรวจปักกิ่ง ข้าพเจ้าได้สอบถามลอยที่บลูสตาร์ เมื่อแอลเลนกลับไปกับเจ้าสาวของเขาแล้ว ลอยบอกว่าเขาได้ยินมาจากเพื่อนตำรวจคนหนึ่งซึ่งเขาขอไม่ออกชื่อ อ้างว่าเป็นความลับที่มีอันตราย

เรื่องประหารเจียงเฟเคยเป็นข่าวมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ดูจะเป็นเรื่องที่น่าคิดมากกว่าทุกคราว เพราะลอยผู้ไม่ควรจะรู้ได้รู้ และรู้มาจากตำรวจซึ่งควรจะมีเค้ามูลบ้างตามสมควร แต่ถ้าลอยรู้มาจากตู้หลิงจริง เหตุใดตู้หลิงจึงไม่แย้มพรายให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง คืนนั้นข้าพเจ้าพยายามพบตู้หลิงเมื่อตอนกลับมาถึงบ้านที่หนานเฉิง แต่ยายเหรินม้าที่เปิดประตูให้บอกว่าตู้หลิงยังไม่กลับ ข้าพเจ้านอนรออยู่อย่างหลับ ๆ ตื่น ๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะกลับมา ตู้หลิงอาจค้างอยู่ที่สันติบาลก็ได้เพราะอาจเป็นคืนสำคัญที่จะมีการประหารชีวิตนักศึกษา

ข้าพเจ้านอนหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่จนท้องฟ้าสาง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงห่วงทองเหลืองที่ประตูใหญ่ดังขึ้น เป็นสัญญาณที่บอกว่ามีคนมาเคาะเรียก เสียงคนใช้เดินไปเปิดประตู สักครู่ก็มีเสียงฝีเท้าคนก้าวเข้ามาในห้องรับแขก แล้วคนใช้ก็เข้ามารายงาน ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นแง้มประตูดู ก็ยืนตะลึงอยู่ด้วยความแปลกใจ

วารยา ราเนฟสกายา ยืนอยู่ตรงกลางห้อง สีหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยความตื่นกลัว

วารยามาทำไมในเวลาวิกาล พระอาทิตย์ยังไม่ทันจะขึ้นพ้นขอบฟ้า ?

“มีเรื่องอะไรหรือ วารยา ?” ข้าพเจ้าถามขณะที่ก้าวออกไปในห้องรับแขก

“พ่อหายไปตั้งแต่เมื่อคืน...” วารยาพูดอย่างเกือบจะไม่มีลมหายใจ

“หาย...?” ข้าพเจ้าสืบเท้าเข้าไปใกล้ ตาจ้องอยู่ที่หน้าอันซีดขาวไม่มีสีเลือดของเธอ

วารยานิ่งไปสักประเดี๋ยว น้ำตาคลอตา แล้วก็ส่งจดหมายให้ข้าพเจ้าอ่าน รู้สึกว่าเธอหมดกำลังใจที่จะพูดอะไรต่อไปได้

ข้าพเจ้ารับจดหมายนั้นมาอ่าน พบข้อความที่น่าหวาดกลัว ดังต่อไปนี้

“วารยา ลูกรัก

พ่อจากไปเพื่อความสุขของลูก พ่อได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว พ่อแก่ลงทุกวัน ไม่มีประโยชน์แก่ใครอีกต่อไป ถ้าพ่อขืนอยู่ลูกจะต้องกังวล และจะทิ้งชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ พ่อต้องการให้ลูกเปลี่ยนชีวิตใหม่ ต้องการให้มีชีวิตที่เงียบสงบ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับความยุ่งร้อยแปดในโลกนี้ จงเชื่อพ่อ อย่าเสียใจ จงยินดี และจงทำตามที่พ่อเคยสั่งไว้ ถึงเวลาที่พ่อจะไปแล้ว นาฬิกาตีสี่เดี๋ยวนี้เอง ขอให้ลูกมีความสุขเสมอ

พ่อที่รัก”

ข้าพเจ้าเดาเหตุการณ์ได้ดีว่า อะไรได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อนาฬิกาตีสี่ ข้าพเจ้ารีบพาวารยากลับไปยังคาร์บารอฟสก์ ได้ความจากคนลากหยางเชอประจำโฮเต็ลว่า วลาดิมีร์ได้ว่าจ้างให้ลากไปส่งที่เป๋ห่ายเมื่อนาฬิกาตีสี่กว่า ๆ ข้าพเจ้าแน่ใจว่าวลาดิมีร์ต้องไปทำสิ่งที่เขาเคยไปทำมาเมื่อไม่นานมานี้ ข้าพเจ้ารีบพาวารยาไปไปที่เป๋ห่ายทันที

หิมะกำลังละลาย น้ำแข็งกำลังบาง อรุณกำลังเบิกวันใหม่ที่ขอบฟ้าทิศบูรพา เสียงนกร้องอยู่บนกิ่งสน คล้ายกับจะต้อนรับชุนเทียนด้วยเพลง “ตงฟางหง”

ที่สะพานหินอ่อนซึ่งพาดข้ามเป๋ห่ายทะเลน้ำแข็งไปยังเกาะที่ประดิษฐานเจดีย์ใหญ่รูปคล้ายระฆังสีขาว ข้าพเจ้าชะโงกหน้ามองลงไปดูพื้นหิมะเบื้องล่าง ข้าพเจ้าสะดุ้งทั้งตัว

มีรอยเท้าใหม่ ๆ ของใครคนหนึ่ง เดินตัดออกไปทางทิศเหนือ หิมะสีขาวโพลนกลบผิวน้ำแข็งบนทะเลสาบเป๋ห่ายแลลิบลิ่วสุดสายตา จนหายสูญไปกับควันหมอกในเวลาเช้าตรู่ ข้าพเจ้ายืนนิ่งไม่พูดอะไร ชำเลืองดูวารยาซึ่งยืนตัวแข็งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสงสารจับใจ

หิมะละลายแล้ว ชุนเทียนกำลังผ่านเข้ามาในมหานครปักกิ่ง–แต่มันเป็นชุนเทียนสีแดง

จบ–

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ