บทที่ ๔๗

หิมะไม่ยอมละลาย แต่ดอกไม้จะได้บานแล้ว สาวเย่า, มู่ตาน (โบตั๋น) เหมย, เถา, ซิ่ง, ฯลฯ ผลัดกันบานแล้วก็ร่วงโรยไป แต่หิมะแห่งความทุกข์ยาก, ปั่นป่วน, วุ่นวาย, หาความสงบสุขไม่ได้ ก็ยังคงแข็งตัวอยู่ในความรู้สึกของชาวปักกิ่งและชาวแมนจูเรีย ซึ่งอยู่ในท่ามกลางสายลมสลาตันของกองทัพอาทิตย์อุทัยที่เสริมกำลังมากขึ้นในมุกเด็น เมืองหลวงของแมนจูเรีย หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่าตุงซานเสิ่ง ข้าพเจ้ากำลังจะย้ายออกจากโรงเรียนหวาเหวินของ ดร. เพทตัส เข้าไปอยู่ในครอบครัวของคหบดีชาวปักกิ่งที่หนานเฉิงหรือ South City เพราะได้เรียนภาษาพูดได้เพียงพอแล้ว จะต้องเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป และมหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้ามุ่งมั่นจะเข้าเรียน ก็คือมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน และเป็นมหาวิทยาลัยประวัติศาสตร์ เพราะได้มีส่วนสำคัญในการเดินขบวนของนักศึกษาครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน เป็นผลให้รัฐบาลต้องลาออก และเป็นผลให้มีการเดินขบวนต่อสู้กับรัฐบาลต่อ ๆ กันมาจนถึงสมัยของเจียงเฟ

บ้านของคหบดีชาวปักกิ่งที่หนานเฉิงเป็นบ้านแบบจีน ที่กาลเวลาจำนวนศตวรรษได้ทิ้งแบบไว้ให้เหมือน ๆ กัน แม้ในยุคที่จีนได้ปฏิวัติแล้ว การปฏิวัติของ ดร. ซุนยัดเซ็นไม่ได้ปฏิวัติชีวิตทางบ้าน หากเป็นการปฏิวัติทางการปกครองและทางสังคมเท่านั้น ชีวิตในบ้านและตัวบ้านไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงใส่เสื้อคลุมยาว คอปิด แขนยาว กับกางเกงขายาวข้างใน สวมถุงเท้าหรืออาจไม่สวม แต่พันขากางเกงแนบเนื้อด้วยเชือกสวมรองเท้าผ้าหัวงอนสีดำหรือสีน้ำเงินแก่ ในฤดูหนาวก็ใช้สำลีสอดไส้ไว้ในกางเกงและเสื้อ อาศัยเหมยฉิวในเตาเหล็กก็อุ่นสบายไม่เดือดร้อน ส่วนที่อยู่อาศัยก็ยังคงเป็นตึกชั้นเดียวหลังคาลูกฟูก ทำด้วยดินเหนียว ฟาง และปูนขาว รูปลักษณะคล้ายเต๊นท์ของพวก nomads เป็นแบบเดียวกันหมด ไม่ต้องการสถาปนิกมาออกแบบให้เสียเวลา บ้านของคหบดีแซ่ตู้ที่นายหลอชางติดต่อให้ข้าพเจ้าก็เป็นตึกแบบอย่างว่านี้ เริ่มด้วยกำแพงล้อมรอบทั้งสี่ทิศเหมือน ๆ กับบ้านอื่น มีประตูไม้หนาทาสีแดง มีห่วงทองเหลืองขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสามหรือสี่นิ้วห้อยอยู่บนแป้นทองเหลืองที่ขอบประตูตรงกลางสองห่วง เวลาเรียกประตูก็ใช้ห่วงนี้เคาะลงกับแป้น ไม่ต้องใช้กระดิ่งไฟฟ้า เปิดประตูเข้าไปเป็นทางแคบ ๆ ลึกสักห้าเมตรนำไปที่ย่วน หรือลานบ้านปูด้วยอิฐซิเมนต์ ตึกทางทิศเหนือเรียกว่าเป่ฝาง ซึ่งอยู่สบาย เพราะลมหนาวพัดเข้าด้านหลัง เขายกให้ข้าพเจ้าอยู่ ทางทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตกก็มีตึกชั้นเดียว รูปร่างเหมือน ๆ กัน ตั้งสกัดอยู่ทั้งสามด้าน เป็นที่อยู่ของเจ้าของบ้าน เป็นห้องรับแขก เป็นครัวและที่อยู่ของอาม้าคนใช้ ย่วนกลางบ้านหิมะตกเต็มในฤดูหนาว แต่ในฤดูสปริง และฤดูร้อนเราลากเก้าอี้ออกมานั่งคุยกันภายใต้แสงเดือนอย่างสบายใจ

ข้าพเจ้าพอใจบ้านของคหบดีแซ่ตู้ผู้นี้ ประการแรกเจ้าของเป็นผู้มีอัธยาศัยสุภาพเรียบร้อย เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทุกอย่าง แบบที่เราจะพบได้จากคนอื่นผู้มีวัฒนธรรมของเก่าอันสูงด้วยจริยธรรมที่สร้างสมกันมาเป็นพัน ๆ ปี ประการที่สองข้าพเจ้าชอบใจที่นายตู้หลิงเจ้าของบ้านเป็นตำรวจอยู่ในกรม มีความรอบรู้ที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นความตายของเจียงเฟ และนักศึกษาที่ตำรวจจับเอาไปขังเพื่อทำให้หายสูญไปจากโลกด้วยการยิงเป้า

“ผมจะย้ายเดือนหน้า” ข้าพเจ้าบอกบัวข้างสนามเทนนิสด้านห้องสมุด College of Chinese Studies “หลอเซียนเซิงตกลงกับนายตู้หลิงแล้ว ผมไปคุยกับแกมาวันนี้เอง”

“ผมยังจะอยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าจะได้โอกาสเข้ามหาวิทยาลัยครู” บัวพูดขณะที่นั่งลงกับพื้นซีเมนต์ข้างรั้วตาข่าย “ผมจะไปทางครู เสด็จท่านมีพระประสงค์ของท่านอย่างนี้ แล้วผมก็เคยเป็นครูมาแล้ว”

“ผมอยากไปให้ถึงอเมริกา” ข้าพเจ้าพูดพลางโยนลูกหนังไปให้ฮูเว่อร์ซึ่งยืนรอเสิร์ฟอยู่ในคอร์ต “ท่านรับสั่งว่าจะให้ผมไปทำต่อที่อเมริกา แต่ต้องจบไปจากปักกิ่งเสียก่อน”

ข้าพเจ้าพูดด้วยความสุข–ด้วยกำลังใจของคนหนุ่มที่ไม่เคยคิดว่าในโลกนี้มีความตายความผิดหวัง ถ้าเป็นขณะนี้ข้าพเจ้าคงไม่พูดอย่างที่พูดกับบัวในปักกิ่งวันนั้น เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าโลกมนุษย์เต็มไปด้วยเครื่องลวงตาลวงใจ ไม่มีอะไรจริง ไม่มีอะไรแน่ เรามาด้วยจิต แล้วเราก็ไปด้วยจิต จิตเป็นสมบัติที่แท้จริงอย่างเดียวของเราทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า

ข้าพเจ้าพูดวันนั้นโดยไม่สำนึกว่าอีกไม่ช้าก็จะถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เช้ามืดวันที่ ๒๔ ของเดือนนั้น เมืองไทยปฏิวัติ หลังคาบ้านของคนไทย ถูกรื้อลงมากองอยู่กับดินกลางแดดกลางฝน โดยที่ผู้รื้อไม่มีใครสนใจจะรับผิดชอบว่าคนไทยจะมีบ้านใหม่ที่อยู่ดีกินดีได้หรือไม่ เมืองไทยหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ เต็มไปด้วยนักรื้อหลังคา รื้อแล้วก็แย่งอำนาจกันเอง ฆ่าฟันกันเอง จนหมดอำนาจไปเอง ปล่อยให้คนไทยต้องผจญกับนกกระสาคอยาว ผจญกับฝูงเหลือบฝูงปลิงจนตัวเหลือง มันเป็นละครแห่งความสลดใจที่นักรื้อหลังคาเหล่านี้ ไม่มีอุดมการณ์ของนักปฏิวัติ ไม่มีเป้าหมายและโครงการสร้างชาติที่ถูกต้องแน่นอน รื้อหลังคาลงมาแล้วก็จนปัญญา ไม่รู้จะสร้างใหม่ให้ดีได้อย่างไร

ข้าพเจ้าหมดโอกาสจะได้ไปอเมริกา ตรงกันข้าม นักปฏิวัติเขากำลังคลั่งชาติ เขาว่าทุนหลวงเป็นทุนฟุ่มเฟือย เขาให้ท่านทูตที่โตเกียวแจ้งไปยังข้าพเจ้าว่า ทุนหลวงที่ข้าพเจ้าได้รับ เขาตัดหมดแล้ว เขาว่าข้าพเจ้าเป็นพวกเจ้า

แต่วันนั้นที่คอร์ตเทนนิสโรงเรียนหวาเหวินในปักกิ่ง บัวกับข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าชาตากรรมของเราได้ใกล้เข้ามาแล้ว

มีโทรศัพท์มาจากวารยา–เธอพูดมาประโยคหนึ่งที่สะเทือนใจ

“ระพินทร์, ฉันเดินอยู่กลางหิมะตั้งแต่เมืองฮาร์บิน ชีวิตวังเวงบอกไม่ถูก ฉันไม่รู้ว่าฉันจะต้องเดินลุยหิมะไปอย่างนี้อีกนานเท่าใด พ่อแก่ลงทุกวัน แต่พ่อตายไม่ลงเพราะห่วงฉัน”

ข้าพเจ้าตอบไปว่า

“ฉันจะไปพบเธอวันนี้ที่คาร์บารอฟสก์ เธอคงจะว่างไม่ใช่หรือตอนเย็น ขอให้ฉันได้ทานอาหารกับเธอสักมื้อ”

ที่คาร์บารอฟสก์เย็นวันนั้น เรานั่งคุยกันอยู่ที่หน้าเตาผิง อบอุ่นแต่กาย ส่วนใจวิเวกวังเวงบอกไม่ถูก

“เธอจะย้ายไปจากโรงเรียน เธอจะไปอยู่ที่ไหนจ๊ะ, ระพินทร์” วารยาถาม

“บ้านนายตู้หลิง” ข้าพเจ้าตอบเสียงเบา “ฉันก็ไม่อยากย้ายหรอก อยู่ที่หวาเหวินมีเพื่อนคุยหลายชาติหลายภาษา ไม่เหงา ยังมีห้องสมุดใหญ่โต จะค้นอะไรก็ได้ ฉันได้ความรู้เรื่องเมืองจีนมากมายจากห้องสมุดแห่งนี้”

“แล้วทำไมเธอถึงต้องย้ายล่ะ ?” วารยามองตาข้าพเจ้าอย่างไม่เข้าใจ

“เป็นความประสงค์ของท่านทูตในโตเกียว” ข้าพเจ้าอธิบาย “ท่านเห็นว่าฉันเรียนภาษาพูดได้แล้ว ก็อยากให้เรียนหนังสือ, โดยเฉพาะพวกกวู่เหวิน หรือวรรณคดีโบราณ เพราะเป็นพื้นฐานของหนังสือจีนปัจจุบัน”

“เธอจะปวดหัว” วารยายิ้มละไม “ฉันเคยพยายามเรียนมาแล้วตั้งแต่อยู่ฮาร์บิน ในชั้นเขาบังคับให้เรียน เข้าใจยากมากสำหรับฟอเรนเน่อร์”

“วรรณคดีจีน กำลังจะเป็นโบราณวัตถุตั้งแต่วรรณกรรมป๋ายหว้าเข้ามาแทนที่ ฉันว่า ดร. หูชื่อ คิดถูกแล้วที่ส่งเสริมวรรณกรรมป๋ายหว้า เพราะเขียนคล้ายภาษาพูด พวกกวู่เหวินไม่เหมือนภาษาพูด บางทีอ่านได้ทุกคำ แต่ตีความหมายไม่ได้ ต้องเรียนกันอย่างลึกซึ้ง คนสมัยนี้มีวิชาจะต้องเรียนมากมาย ขืนใช้กวู่เหวินก็เสียเวลามาก แล้วภาษาปัจจุบันก็งอกออกไปอีกเยอะแยะ จะเอากวู่เหวินมาเขียนก็ไม่สะดวกแน่ มันเหมาะสำหรับสมัยจอหงวนซึ่งผ่านเป็นอดีตไปแล้ว”

“แปลว่าเธอจะไปเรียนกวู่เหวิน กับนายตู้หลิง ?” วารยาถามต่อไป

“ไม่ใช่นายตู้หลิง นายตู้หลิงจะเชิญอาจารย์พิเศษมาสอนตัวต่อตัว ชื่อ ฉีเซียนเซิง เป็นศาสตราจารย์ฝ่ายอักษรศาสตร์ อยู่ในมหาวิทยาลัยฝู่เหริน”

“มหาวิทยาลัยฝู่เหริน” วารยาทวนคำแล้วนิ่งคิด “มหาวิทยาลัยของเจียงเฟใช่ไหม ?”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“เรื่องเจียงเฟไปถึงไหนแล้ว ?” วารยาถามต่อทันทีอย่างสนใจ

“ยังถูกขังอยู่”

“มีหวังไหมจ๊ะ, ระพินทร์ ?”

ข้าพเจ้าถอนใจเบาๆ

“เรากำลังหาเงินไปติดสินบนไอ้หลี่เค่อจ่าง ชีวิตของเจียงเฟอยูที่เงิน มันเป็นเรื่องอนาถใจที่เงินมันเป็นเจ้านายเสียไม่ว่าอะไร”

วารยาส่ายหน้าช้า ๆ อย่างเบื่อหน่าย

“ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เงินจะหมดอำนาจ ทุกวันนี้ความชั่วร้ายทั้งหมดมันก็มาจากเงิน เงินทำให้คนแตกแยกกัน แล้วก็ฆ่ากัน เราเกลียดเงิน แต่เราก็หนีเงินไม่พ้น”

“บางครั้งฉันก็ต้องเอาเสื้อหนาวไปเข้าโรงจำนำเพราะต้องการเงิน” ข้าพเจ้าหัวเราะ “ดูเหมือนว่าชีวิตมนุษย์จะขาดเงินเสียไม่ได้ เรายอมเป็นทาสของมันโดยที่เราไม่รู้ตัว เวลานี้ชีวิตของเจียงเฟจะรอดได้ก็เพราะเงินที่เจียงเหมยกำลังวิ่งหา ชีวิตของเจียงเฟกับเงิน—ราคามันต่างกันฟ้ากับดิน แต่เราก็ต้องวิ่งหัวซุนเอาเงินไปแลกชีวิต มันตลกสิ้นดี”

“เธอพบเจียงเหมยบ่อยหรือ ?” วารยาถามหลังจากที่ได้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง

ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบออกไปทันที เพราะรู้สึกว่าในน้ำเสียงของวารยามีอะไรที่ทำให้ต้องคิด

“ก็ไม่บ่อยนัก”

“แต่เมื่อวานซืน โปรเฟสเซอร์หวูมี่พบฉัน บอกว่าพบเธอที่เยียนจิง” วารยาพูดคล้ายกับจะโต้แย้ง

“ฉันไปพบสนาน” ข้าพเจ้าพยายามชี้แจง

“ไม่ได้พบเจียงเหมยด้วยหรอกหรือ?” เสียงนั้นมีความร้อนรนอยู่ในตัว

“พบ” ข้าพเจ้าหยุดนิดหนึ่ง พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ “เขาอยู่กับสนานที่เจ่เม่โหลว”

“โปรเฟสเซอร์หวูมี่บอกว่าเห็นเธอที่ร้านอาหารหลังหอสูงส่วยถา”

“เราออกไปกินอาหารกลางวันกัน”

“สามคน ?”

“ไม่ได้ชวนใครอีก”

วารยานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง สีหน้ามิได้เปลี่ยนแปลง แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเธอคงจะพยายามรักษาอารมณ์ไว้อย่างดีที่สุด

“เจียงเหมยเป็นคนสวยมาก” วารยาพูดเสียงเบาแต่มีกังวานลึก ทั้งสวยทั้งเก่ง ฉันคิดว่าสนานเป็นคนเคราะห์ดี”

“เขาควรจะเคราะห์ดี” ข้าพเจ้าหัวเราะ “แต่เขาดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าเขาเป็นคนเคราะห์ดี”

“ทำไม ?”

ข้าพเจ้านิ่งหาคำพูด, ไม่แน่ใจว่าจะตอบออกไปตรง ๆ ตามที่นึกหรือไม่ แต่เมื่อคิดว่าวารยาก็รู้เรื่องสนานมากพอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าจึงพูดว่า

“เธอก็ทราบดีว่าสนานเป็นพวกซ้าย”

“แล้วเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ, ระพินทร์ ?”

“มันก็ไม่น่าจะเกี่ยว แต่มันขัดแย้งกัน”

“ยงไง ?”

“เจียงเหมยไม่ใช่ซ้าย”

“เอาการเมืองมายุ่งกับความรัก–” วารยาถอนใจยาว ฉันว่ามันคนละเรื่อง เธอว่าสนานดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าเขาเป็นคนเคราะห์ดี เธอหมายความว่าอะไร ?”

“สนานควรจะเข้าใจว่า เขาเป็นคนเคราะห์ดีที่เจียงเหมยเลือกเขา แต่เขากลับไม่สนใจไยดีที่เขาเป็นคนเคราะห์ดีกว่าใคร ๆ”

“ยังไง ?”

“เขารักการเมืองมากกว่าเจียงเหมย” ข้าพเจ้าตอบอย่างตรงไปตรงมา

วารยานิ่งคิด สักครู่ก็พูดว่า

“ฉันว่ามันคนละเรื่อง ฉันไม่คิดหรอกว่า สนานจะรักการเมืองมากกว่ารักราชินีของเยียนจิง เขารักทั้งสองอย่าง อาจรักเจียงเหมยไม่น้อยกว่าการเมืองก็ได้ การเมืองเป็นเรื่องส่วนรวม ความรักเป็นเรื่องส่วนตัว มันห่างไกลกันลิบลับ ทำไมเธอจึงเอามาปนกัน ?”

“วารยา” ข้าพเจ้าจ้องตาธิดาแห่งกรุงเปโตรกราด “เธอคงไม่เข้าใจหรอกว่า เจียงเหมยไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาอย่างนักเรียนมหาวิทยาลัยคนอื่น ๆ เธอคงจะคุยกับเจียงเหมยน้อยไปก็ได้”

“งั้นหรือ ?” วารยามองหน้าข้าพเจ้าอย่างไม่เข้าใจแต่ไม่พูดอะไร

ความเงียบเข้ามาครอบคลุมห้องนั่งเล่นชั่วอึดใจหนึ่ง ข้าพเจ้ามองดูเปลวไฟที่ลุกท่วมเหมยฉิวอยู่ในเตาเหล็กตรงหน้า ใจคิดไปถึงเจียงเหมย–คิดถึงคำพูดที่จริงจังกับชีวิต ท่าทางที่เข้มแข็งไม่มีความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ตลอดจนแววตาที่สุกใสรุ่งโรจน์เหมือนดวงดาวในท้องฟ้า ข้าพเจ้าต้องสารภาพกับตัวเองว่า เจียงเหมยไม่ได้งามอย่างดอกไม้ที่งามที่สุด ข้าพเจ้าไม่มีทางจะเอาดอกไม้อะไรไปเปรียบกับความงามของเจียงเหมยได้เลย เพราะดอกไม้มีความงามเพียงน่ารักเท่านั้น แต่เจียงเหมยงามอย่างน่าบูชา

“ฉันยังไม่เข้าใจที่เธอพูดเมื่อกี้ เจียงเหมยไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เธอหมายความว่ากระไร ?” ในที่สุดข้าพเจ้าก็สะดุ้ง เมื่อเสียงของวารยาเสียดแทงเข้ามาในประสาทรู้สึก

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ