บทที่ ๓๙

ข้าพเจ้าตรงไปที่เจ่เม่โหลว หรือ Sister Halls ซึ่งตั้งอยู่คู่กันระหว่างดงต้นหลิวกับต้นหยาง เจ่เม่โหลวเป็นศาลาแบบจีนแท้ทรงเตี้ย, สีเหลี่ยม หลังคาลูกฟูกปล่อยชายสี่มุม ทาสีแดงปนเขียวใบไม้แก่ มีบันไดหินกว้างใหญ่ เมื่อขึ้นพ้นบันไดก็เป็นชานหินอ่อน และประตูสีแดงเลือดนกสามช่อง ทั้งกว้างทั้งสูง ข้างในเป็นห้องโถงใหญ่ห้องเดียว รอบห้องตั้งเก้าอี้นวมสีเขียวแก่พนักสูง มีเปียโนตั้งอยู่กลางห้องสองตัว เป็นห้องรับแขกซึ่งอาจแปลงเป็นห้องเลี้ยงน้ำชาและงานปาร์ตี้ได้ แขกนอกมหาวิทยาลัยโดยมากมักจะตรงไปที่เจ่เม่โหลว แล้วก็ยกหูโทรศัพท์ต่อไปยังตึกฟักนอนของนักกีฬาทั้งหญิงและชาย ข้าพเจ้าทำตามประเพณีนิยมของเขา เสียงเจียงเหมยแล่นมาตามสายบอกว่าจะออกมาพบในสิบนาทีเพราะแต่งตัวรออยู่แล้ว เจียงเหมยตื่นเต้นกว่าทุกครั้ง รู้สึกว่าจะหวาดกลัวมากกว่าดีใจ

ข้าพเจ้าใช้เวลาสิบนาทีนั่งปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามอารมณ์ที่ขาดความราบรื่นผิดกว่าทุกคราว ข้าพเจ้ายังตกลงใจไม่ได้ว่าจะพูดอะไรกับเธอ เพราะเรื่องของเจียงเฟเป็นเรื่องที่พูดไม่ออก เจียงเหมยยังไม่รู้ว่าเหตุร้ายที่คาดฝันไว้ได้เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ถ้าบุคคลคนแรกที่จะเปิดเรื่องนี้ให้เธอรู้เป็นเพื่อนธรรมดาที่ไม่ใช่ข้าพเจ้า ก็ไม่น่าจะยากลำบากอะไร แต่เมื่อบุคคลผู้นี้เป็นตัวข้าพเจ้าผู้ไม่ปรารถนาจะพูดอะไรให้สะเทือนใจเธอ การเปิดข่าวที่ร้ายควรจะร้ายมากในชีวิตของราชินีแห่งเยียนจิง จึงเป็นเรื่องที่ต้องคิด ข้าพเจ้าคิดมาตั้งแต่ก่อนขึ้นรถบัสที่ Y.M.C.A. แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะขึ้นต้นอย่างไร เจียงเหมยจึงจะตกใจน้อยที่สุด ข้าพเจ้ายังมองไม่เห็นทางแม้ว่าจะได้เข้ามานั่งอยู่ในตึกเจ่เม่โหลวแล้ว แต่ว่าข้าพเจ้าบังเกิดความเชื่อขึ้นอย่างหนึ่งคือเชื่อว่าเจียงเหมยเป็นเลือดของวีรบุรุษเจียงไน่อาน มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว คงจะไม่ตกใจเอาง่าย ๆ เมื่อรู้ว่าเจียงเฟกำลังเผชิญหน้ากับความตาย

ข้าพเจ้าใช้เวลาสิบนาทีหมดไปด้วยการคิดหาทางออกไม่ได้ จนกระทั่งสตรีสาวที่สวยที่สุดของเยียนจิงก้าวเข้ามาในห้องโถง

“ระพินทร์...”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเสียงที่มีกังวานเหมือนระฆังเงินได้ดังขึ้นทางเบื้องหลัง เจียงเหมยเดินตรงมายังข้าพเจ้าอย่างรวดเร็ว มีท่าทีตื่นเต้นผิดกว่าทุกครั้ง

เรายังไม่พูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว เมื่อนั่งลงยังเก้าอี้นวมยาวตัวเดียวกันแล้ว เจียงเหมยก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“เธอมีอะไรหรือ, ระพินทร์ ? เสียงของเธอทางโทรศัพท์บอกว่าเธอต้องมีอะไร ฉันสังหรณ์ใจชอบกล”

ข้าพเจ้าสบตาเธอ แล้วก็หลบตาลงต่ำ ไม่อาจจะสู้สายตาที่เจาะทะลุเข้าไปในหัวใจคู่นั้นได้

“เธอเข้าเมืองบ้างหรือเปล่า ?”ข้าพเจ้าถามแทนที่จะตอบ

“เปล่า ฉันกำลังทำรีปอร์ตส่งอาจารย์ ไม่ได้ไปไหนมาหลายวันแล้ว เธอถามทำไม ระพินทร์?”

ข้าพเจ้านิ่ง นั่งก้มหน้าไม่กล้าเงย เพราะยังคงหวาดกลัวสายตาของเธอ เจียงเหมยเห็นดังนั้นก็รุกถามด้วยเสียงที่สั่นผิดปกติ

“พี่เฟ...ใช่ไหม ?”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“เจียงเฟถูกจับ”

ข้าพเจ้าพูดแล้วก็รู้สึกเหมือนภูเขาได้เลื่อนออกไปจากอก แต่แล้วความวิตกกังวลที่ไม่เคยมีก็เคลื่อนเข้ามาแทนที่ในทันที เมื่อเห็นเจียงเหมยสะดุ้งแล้วก็นั่งนิ่งตัวแข็ง เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

เวลาผ่านไปเพียงวินาที แต่มันเหมือนชั่วโมง เจียงเหมยไม่ขยับเขยื้อนส่วนใดของร่างกาย เธอนั่งตัวแข็งเหมือนตุ๊กตาหิน ปากปิดสนิทไม่แสดงว่าจะพูดอะไร ตามองไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง, เศร้า, หวาดกลัว, แต่ก็ยังกล้าแข็งทรหดตามนิสัย

“ฉันต้องบอกเธอ...” ข้าพเจ้าพึมพำอย่างประหม่า

“เมื่อไหร ?” เสียงของเธอแผ่วเบามาก แต่ค่อนข้างแข็งกระด้าง

“วันศุกร์”

“สี่วันแล้ว ทำไมเธอไม่รีบบอกฉัน ?”

ข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายกับกำลังเป็นจำเลย ที่ได้ทำผิดไว้อย่างร้ายแรง ตอบอย่างตะกุกตะกักว่า

“ฉันได้พยายามช่วย แต่ไม่สำเร็จ”

เจียงเหมยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า

“ฉันไม่แปลกใจ เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเราจะต้องเผชิญกับเรื่องอย่างนี้ ฉันได้พยายามทำใจให้คุ้นกับความรู้สึกที่จะต้องเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ฉันเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่อัจฉริยะบุคคล มันก็หนีความตกใจไม่พ้น”

“ฉันรู้ว่าเธอจะต้องตกใจ” ข้าพเจ้าพูดอย่างปลอบ

“พี่เฟคงไม่รอด” ราชินีแห่งเยียนจิงเบือนหน้าไปทางหน้าต่างคล้ายกับจะซ่อนความเศร้าสลดในแววตา

“แต่มันอาจมีทางก็ได้” ข้าพเจ้าพูดเสียงเบา รู้สึกว่าไม่อาจจะกล่าวออกไปได้เต็มปากเต็มคำนัก

“ทางอะไร ?” เจียงเหมยหันมาสบตาข้าพเจ้าทันที

“ฉันได้ให้จรินทร์ไปติดต่อกับหลี่เค่อจ่าง สันติบาลใหญ่” ข้าพเจ้าตอบ แต่ยังไม่เรียบร้อย อย่างไรก็ดี เจียงเฟยังมีชีวิตอยู่”

ทั่วเรือนร่างของหญิงสาวดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้น เมื่อได้ยินข้าพเจ้าพูดประโยคสุดท้าย

“เธอแน่ใจหรือว่า พี่เฟยังมีชีวิตอยู่ ?” เธอถาม

“จรินทร์ว่าอย่างนั้น”

“เขาแน่ใจหรือที่พูดอย่างนั้น ?”

“เขาก็ว่าแน่ใจ เรายังมีเวลา”

“มีหวังไหม–เรื่องหลี่เค่อจ่าง ?”

“ก็อาจจะมี มันเรื่องของประโยชน์”

“ก็อย่างว่า เราพูดกันด้วยเงิน อย่างอื่นพูดไม่ได้ หลี่เค่อจ่างเขาเรียกเท่าไหร่ ?”

“มันเกี่ยวกับการขายชามอ่างหยกที่จรินทร์จะส่งไปขายในเมืองไทย หลี่เค่อจ้างเขาต้องการมีเอี่ยว ฉันว่าเขาคงจะยังไม่พอใจเรื่องเอี่ยวข้องเขา เรื่องจึงยังอืดอยู่”

เจียงเหมยนั่งนิ่ง อาการนิ่งนั้นแสดงว่าเข้าใจเรื่องเป็นอย่างดี เธอกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก สักครู่ประโยคที่ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะได้ยินก็หลุดออกมา

“ฉันจะจัดการเอง”

“จัดการเอง” ข้าพเจ้าทวนคำอย่างแปลกใจ “เธอจะทำอย่างไร ?”

“ฉันจะไปหาลุง ท่านคงจะมีเงินพอสำหรับซื้อชีวิตพี่เฟ”

ข้าพเจ้าพยักหน้าอย่างงง ๆ เพราะไม่นึกว่าจะได้ฟังการตัดสินใจรวดเร็วและเด็ดขาดเช่นนี้

เราออกไปรับประทานอาหารว่างกันที่ต้าหยวน ซึ่งอยู่ห่างจากเยียนจิงไปทางทิศตะวันตกประมาณกิโลเมตรเศษ ที่นั่นเป็นอุทยานเก่าแก่ มีเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ ล้อมรอบด้วยกำแพงหินและคูน้ำ มีต้นหลิวปลูกอยู่โดยรอบ ข้างในมีเก๋งและร้านอาหารเล็ก ๆ ขายอาหารเบา ๆ และเครื่องดื่ม ทั่วบริเวณอุทยานประดับด้วยสระน้ำ สวนดอกไม้ประจำฤดู ภูเขาหินที่ก่อขึ้นริมสระ สุมทุมพุ่มไม้ให้เงาร่มเย็นสบาย เราเลือกได้โต๊ะข้างสระน้ำ ปลอดคนไม่มีใครรบกวน

เจียงเหมยเคร่งขรึมผิดกว่าทุกวัน เรื่องของเจียงเฟเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องคิด และข้าพเจ้ารู้ดียังมีเรื่องที่จะต้องคิดอีก คือเรื่องสนานไปประชุมที่หูหนาน ไปกับหลูกวง ไปพบเมาเซตุง

“เธอคงจะชอบต้าหยวนน้อยลงวันนี้” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นขณะที่เด็กรับใช้ยกน้ำชามาตั้งให้ชุดหนึ่ง พร้อมด้วยเม็ดแตงโม ๑ จาน

เจียงเหมยยิ้มอย่างเย็นชา สบตาข้าพเจ้าแล้วก็มองไปที่พื้นน้ำในสระ ซึ่งใสสะอาดแลเห็นปลาว่ายอยู่หลายตัว

“มันเป็นเรื่องที่ต้องตกใจ เธอคงไม่ตำหนิฉัน” ราชินีแห่งเยียนจิงพูดช้า ๆ อย่างเยือกเย็น “ฉันเป็นผู้หญิง ใจไม่แข็งเหมือนผู้ชาย”

“แต่ใจเธอเป็นผู้ชาย แล้วก็ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา” ข้าพเจ้าพูดยิ้ม ๆ

“เธอคิดหรือจ๊ะ ระพินทร์ ว่าเธอกำลังพูดความจริง ?” ยิ้มของเจียงเหมยเริ่มแจ่มใสเป็นครั้งแรก

“ไม่ใช่คิด ฉันเชื่อ เธอเป็นผู้หญิงคนแรกในเมืองจีนที่ฉันต้องสนใจ”

“งั้นหรือจ๊ะ, ระพินทร์ ถ้าเธอพูดจริงใจ ฉันก็ต้องขอบใจ ระพินทร์จ๊ะ, เธอรู้ไหมว่าเธอเป็นเพื่อนคนเดียวที่ให้กำลังใจฉันมากที่สุด”

“ถ้าเธอคิดว่าเธอมีกำลังใจเพราะฉัน ฉันก็สบายใจ” ข้าพเจ้าหัวเราะเบา ๆ “ฉันคิดว่าฉันเป็นคนเคราะห์ดีที่มาพบเธอ”

“เคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายจ๊ะ, ระพินทร์” ราชินีแห่งเยียนจิงมองดูข้าพเจ้าด้วยแววตาอันคมวาว

“หมายความว่ากระไร ?”

“ฉันว่าเธอเคราะห์ร้ายมากกว่า เธอมาพบฉันกับพี่เฟ เธอมีแต่จะขาดทุน”

“ขาดทุนอะไร ?”

“อย่างน้อยเธอจะถูกตำรวจตาม”

“ตำรวจตาม ?” ข้าพเจ้าหัวเราะ “ตามสิดี เขาจะได้รู้ว่าฉันไม่มีอะไร ฉันถือพาสปอร์ตไทย ไม่ยุ่งกับการเมือง มันยุ่งไม่ได้”

“แต่เธอเป็นฝ่ายเห็นใจพวกฉัน”

“ฉันเห็นใจพวกที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง”

“แต่เธออาจจะลำบาก อีกไม่ช้าเธอก็อาจถูกเรียกตัวกลับเมืองไทย”

“เมืองจีนกับเมืองไทยยังมีการติดต่อกันทางการทูต รัฐบาลจีนเขาคงไม่เดือดร้อนถึงขนาดฟ้องร้องไปหรอก แล้วก็–ฉันก็ไม่ได้วุ่นวายอะไร ฉันเห็นใจพวกเธอ–มันเป็นสิทธิของมนุษยชน”

“เราไม่มีสิทธิของมนุษยชนในเมืองจีน” เจียงเหมยขึดขึ้นทันที ที่นี่เรามีแต่อำนาจ กับเงิน”

“ที่ไหนมันก็อย่างนี้ อำนาจกับเงินมันปกครองโลกมาหลายพันปีแล้ว ฉันไม่ประหลาดใจ พวกราษฎรยังปกครองตัวเองไม่ได้ มันก็ต้องให้คนอื่นเขาปกครอง เรายังสร้างแนวราษฎรของเราไม่สำเร็จ”

“แนวราษฎร–ฉันเพิ่งได้ยินเธอพูดเดี๋ยวนี้เอง มันอะไรกันจ๊ะ, ระพินทร์”

ข้าพเจ้าถอนใจเบา ๆ เอนหลังพิงเก้าอี้ในท่าสบาย ตามองดูกิ่งหลิวซึ่งสยายยาวห้อยเรี่ยน้ำ กวัดไกวไปมาในสายลม

“มันเป็นเรื่องใหญ่–เรื่องยาวที่เราต้องพูดกันเป็นเดือนเป็นปี แต่สำหรับเธอ ฉันคิดว่าเธอเข้าใจฉัน”

เจียงเหมยจ้องตาข้าพเจ้าอย่างรอคำตอบที่เธอยังไม่ได้รับ ข้าพเจ้าหยุดเว้นระยะสักประเดี๋ยวก็พูดว่า

“เราราษฎรยังรักษาสิทธิของมนุษยชนไว้ไม่ได้ ก็เพราะเรายังไม่มีแนวราษฎร แต่เธอต้องเข้าใจเสียก่อนว่า แนวราษฎรของฉันไม่ใช่คอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์เป็นชนกลุ่มน้อยที่เสวยอำนาจแบบเดียวกับคนคนเดียวหรือคนกลุ่มเดียว ได้เสวยกันมาแล้วในประวัติศาสตร์ แนวราษฎรไม่ใช่คอมมิวนิสต์”

“แล้วมันเป็นอะไรเล่า ?”

ข้าพเจ้าหัวเราะเบา ๆ ขณะนั้นเด็กประจำร้านก็วิ่งตื๋อเขามา แล้ววางจานเมี่ยนโครมลงบนโต๊ะ พร้อมทั้งยิงฟันขาว เสร็จแล้วก็ถามว่า

“ผีเจี่ยวไม่เอาหรือครับ ?”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ