- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๓๖
๑
สนานไปหูหนานกับหลูกวง
ข้าพเจ้าท่องประโยคนี้อยู่ในใจอย่างไม่รู้สึกตัว เมื่อข้าพเจ้ามานั่งอยู่ตรงหน้าเจียงเฟ เช้าวันจันทร์ในห้องติวเดี่ยวสองต่อสอง ชั้นบนของตึกประชุมเหนือออฟฟิศมิสปอปอฟ, ประโยคนี้ก็ยังคงก้องอยู่ในหู
บทสนทนาเรื่องการเที่ยวคุนหมิงหู ซึ่งเราจะต้องฝึกพูดกันในเช้าวันนั้น ได้เปลี่ยนเป็นเรื่องหลูกวงกับสนานไปโดยไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายตั้งต้นก่อนเพราะทนความกดดันทางใจไม่ได้ เจียงเฟก็เลิกสนใจกับบทเรียนเรื่องคุนหมิงหู หันมาฟังข้าพเจ้าพูดถึงเจียงเหมยน้องสาวของเขาอย่างใจจดใจจ่อ ความห่วงกังวลในตัวน้องสาวคนเดียว ได้แสดงออกมาจนเห็นได้ชัดทางแววตา, คำพูด, และอากัปกิริยาของเขา
“ฉันไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่แรกแล้ว” เจียงเฟเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง “สนานเป็นโอเว่อร์ซี เรียนจบแล้วก็จะต้องกลับเมืองไทย ถ้าจะต้องแต่งงานกัน ฉันก็จะต้องจากน้องของฉัน เราจะไม่มีวันได้เห็นหน้ากันอีก นั่นสมมติว่าสนานไม่แดงนะ”
“แต่ฉันว่าสนานแดงเสียก็ดี เธอจะได้ไม่ต้องเสียเจียงเหมย” ข้าพเจ้าพูดยิ้ม ๆ
“เธอคิดอย่างนั้นหรือ, ระพินทร์ ?” เจียงเฟมองตาข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“สนานแดง จะทำให้เจียงเหมยเปลี่ยนใจ”
สีหน้าเจียงเฟยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย เขาโคลงศีรษะไปมาช้าๆ
“ความรักของผู้หญิง–บางทีเธอจะยังไม่รู้จัก ถ้าได้ปักลงไปแล้วก็ถอนยาก”
“ฉันคิดว่าฉันรู้จักเจียงเหมย” ข้าพเจ้าพูดอย่างยืนยัน “ฉันอาจจะไม่รู้จักผู้หญิงทุกคนในโลกนี้ แต่ฉันรู้ดีว่าเจียงเหมยเป็นคนมีเหตุผล แล้วก็–เจียงเหมยเป็นคนมีใจเข้มแข็งผิดผู้หญิงธรรมดา อย่างน้อยเจียงเหมยก็เป็นคนมีการตัดสินใจ–เป็นหัวหน้าคน–มีความเด็ดขาด ฉันว่าเจียงเหมยถอนตัวได้”
เจียงเฟยิ้มที่มุมปาก นิ่งอึ้งไม่พูดอะไรอยู่สักครู่ เขามีท่าที่ประหลาดใจนิด ๆ ที่ข้าพเจ้าวาดภาพเจียงเหมยได้อย่างที่เขาควรจะพอใจ
“เธอรู้จักเจียงเหมยเกือบเท่าฉัน” ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบาแต่หนักแน่น “แต่เธอยังรู้จักเขาน้อยไปกว่าฉันนิดหนึ่ง เธอลืมไปว่าเจียงเหมยมีธาตุเป็นผู้หญิง”
“ธาตุผู้หญิง” ข้าพเจ้าทวนคำ “ฉันไม่เถียง, ข้อนี้ ผู้หญิงก็ต้องมีธาตุผู้หญิง ผู้ชายก็ต้องมีธาตุผู้ชาย ธรรมชาติสร้างไว้อย่างนี้ ใครมาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉันไม่ได้บอกว่าเจียงเหมยไม่มีธาตุของผู้หญิง ฉันบอกเธอว่าเจียงเหมยเป็นคนใจแข็ง ธาตุผู้หญิงทำอะไรเจียงเหมยไม่ได้ โลกมีแม่ทัพผู้หญิงก็ไม่น้อย เมืองจีนก็มี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าแม่ทัพเหล่านั้นไม่มีธาตุของผู้หญิง”
เจียงเฟหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ฟังข้าพเจ้าเถียงแทนเจียงเหมยอย่างไม่ยอมถอย เขาคงจะแปลกใจที่ข้าพเจ้าได้ยืนขึ้นต่อสู้ ให้เกียรติแก่ราชินีเซียนจึงอย่างเหนียวแน่น จนเกือบจะเรียกว่าผิดปกติ
“ระพินทร์, เธอรู้ไหมว่าเจียงเหมยรักสนานมาก ?” เขาถาม
“ทำไมจะไม่รู้” ข้าพเจ้าตอบอย่างเฉยเมย
“ฉันได้ทะเลาะกับเขามาหลายปีแล้วเรื่องสนาน ฉันไม่เห็นด้วย แต่เขาถือความรักเป็นใหญ่”
“ก็ถูกแล้ว ความรักควรจะเป็นใหญ่”
“เธอยอมรับใช่ไหม ?” เจียงเฟสวนขึ้นโดยเร็ว
“ยอมรับในหลักการทั่ว ๆ ไป เพราะมันพ้นสมัยแล้วที่เมืองจีนจะจับผู้หญิงมัดมือส่งตัวให้ผู้ชาย แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าความรักจะต้องอยู่เหนือเหตุผลที่ถูกที่ควร”
“ฉันก็พูดกับเขาด้วยเหตุผลที่ถูกที่ควร ถ้าเขาแต่งงานกับสนาน เขาจะต้องจากพวกเรา–เป็นการจากตาย–ไม่มีวันได้พบหน้ากันอีก”
“เหตุผลของเธอยังไม่พอ” ข้าพเจ้าพูดช้า ๆ อย่างระมัดระวัง “การจากกันเป็นของธรรมดา ถ้าไม่จากเป็นก็จากตาย การจากของเจียงเหมยไม่ใช่จากตาย เจียงเหมยอาจมาเยี่ยมบ้านได้ทุกปี เมืองไทยกับเมืองจีนใกล้กันแค่คืบ เหตุผลของการจากจึงไม่ใช่เหตุผลที่ถูกที่ควร เจียงเหมยเป็นคนมีเหตุผล เมื่อเธออ้างเหตุผลที่ยังหลวมอยู่ เขาก็ไม่ยอมฟัง ฉันว่าเธออย่าไปตำหนิเขาดีกว่า”
“แล้วอะไรล่ะที่เป็นเหตุผลที่ถูกที่ควร”
“ชาติ”
“ชาติ ?”
“ถูกแล้ว, ชาติบ้านเมืองที่เธอกับเจียงเหมยรักอยู่เหนือชีวิต นี่คือเหตุผลที่อยู่เหนือเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น–มันอยู่เหนือความรักมากนัก”
“ฉันยังมองไม่เห็น” เจียงเฟส่ายหน้าไปมา
“เธอจะต้องมองเห็น” ข้าพเจ้ายืนยัน “แล้วเธอจะเข้าใจ”
“อธิบายดีกว่า ฉันยังต่อเรื่องไม่ติด”
ข้าพเจ้ายิ้ม สงบใจนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า
“เจียงเหมยจะต้องตัดสินใจว่า การกระทำของสนานเป็นการแสดงความรักชาติ หรือเป็นการทำลายชาติ”
“อ๋อ, เข้าใจ” เจียงเฟร้องออกมาค่อนข้างดัง “แปลว่าเขาจะต้องขัดแย้งกันทางการเมือง”
“ก็ทำนองนั้น แต่ก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเลิกรักกัน”
“อ้าว !–”
“ความรักควรเป็นความรู้สึกที่อิสระ ไม่ควรเป็นทาสของอะไร การเมืองเป็นเรื่องของสังคม–เป็นเรื่องของกลุ่มชน ไม่เหมือนความรักซึ่งเป็นเรื่องของคนเพียงสองคนเป็นอย่างมาก และอย่างน้อยก็เป็นเรื่องของคนคนเดียว เราอาจจะรักใครก็ได้, ไม่ว่าเขาจะเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร ความรักเป็นของเรา, เกิดในชีวิตจิตใจของเราโดยเฉพาะ, เราอาจจะนั่งอยู่เงียบ ๆ ลำพังคนเดียว และมีความสุขอยู่กับความรู้สึกของความรักก็ได้–ถ้าเราต้องการ ไม่มีเจ้าชีวิตเจ้าลัทธิคนไหนจะมาบังคับข่มขู่ความรู้สึกของเราได้เลย นี่คือความรัก มันเป็นความรู้สึกที่เป็นอิสระที่สุดในโลก”
เจียงเฟนั่งฟังอย่างตาลอย ดูเขาไม่สนใจเรื่องความรักเสียเลย ในที่สุดเขาก็ถามว่า
“แล้วสนานล่ะ ?”
“ฉันก็ว่าทำนองเดียวกันน่ะแหละ สนานจะต้องบูชาลัทธิที่เขาถือเป็นศาสนา และจะต้องขัดแย้งกับเจียงเหมย ซึ่งไม่ยอมบูชาตามเขา แต่เขาก็จะไม่เลิกรัก”
“เข้าใจยาก” เจียงเฟส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่เชื่อว่าจะมีใครเขารักกันด้วยการนั่งอยู่คนละทิศ แล้วก็คอยมองหากันในดวงจันทร์ ความรักแบบนี้มีด้วยหรือ ?”
“รักแท้ ฉันไม่เคยมีความรักและไม่รู้ว่าความรักมีกี่อย่าง”
“ถ้าเธออ่านประวัติศาสตร์–อ่านวรรณคดี–เธอจะพบความรักชนิดนี้”
“สำหรับฉัน, ระพินทร์ ฉันจะไม่มีความรัก ไม่ว่าจะแท้หรือเทียม”
ข้าพเจ้าหัวเราะ
“อ้าว, ทำไม ?”
“มันเสียเวลา”
“เธอมีงานมากจนจะรักใครไม่ได้ทีเดียวหรือ ?”
“ความรักทำให้เราต้องแต่งงาน การแต่งงานทำให้เราต้องรับผิดชอบ เพราะเราจะต้องมีลูกมีหลาน ทำไมเราจะต้องไปรับผิดชอบกับเรื่องเหล่านี้ ในเมื่อเรามีเรื่องจะต้องรับผิดชอบล้นบ่าอยู่แล้ว เรากำลังจะตายอยู่แล้ว ไม่ใช่หรือระพินทร์”
“ชีวิตที่เป็นชีวิต–เราจะต้องจัดสรรให้เหมาะสม เธอไม่ควรมองชีวิตด้านเดียว”
“แต่เมืองจีนกำลังล้มละลาย !” เสียงเจียงเฟดังขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ใช่แต่เมืองจีน โลกก็กำลังล้มละลาย” ข้าพเจ้าว่า
“ฉันคิดว่าเธอพูดถูก โลกก็กำลังล้มละลาย อะไรที่มันเจริญสุดขีดมันก็ต้องโค่น เดี๋ยวนี้โลกกำลังเห่อลัทธิใหม่ ๆ กำลังหลงลัทธิคอมมิวนิสต์, ลัทธิฟาสซิสม์, ลัทธินาซี เรากำลังฆ่ากัน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ในตะวันออกเรามีลัทธิจักรวรรดินิยมซามูไร ฉันเชื่อว่าสงครามโลกจะต้องเกิดแน่นอน คราวนี้เราจะต้องฆ่ากันทั้งทางตะวันตก ตะวันออก แล้วต่อไป–มันก็จะมืดมากขึ้น ไม่มีสว่าง เพราะวัตถุมันจะต้องชนะจิตใจ ในเมืองจีนสันติธรรมของเล่าจื๊อมันหมดไปแล้ว จริยธรรมของขงจื๊อก็กำลังจะหมดไป พุทธก็จะหมดไป คริสต์จะเป็นศาสนาสุดท้ายที่ยืนอยู่แต่แล้วก็จะหมดไปอีก เพราะเวลานี้ศาสนาคอมมิวนิสต์กำลังเข้ามาแทน ฉันว่าเรากำลังจะสิ้นเนื้อประดาตัว เราจะมีแต่วัตถุ เพราะเราบูชาวัตถุ จิตใจของเราจะไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก”
“ก็อย่างว่า–เรากำลังล้มละลาย ชาติมนุษย์กำลังล้มละลาย” ข้าพเจ้าเค้นหัวเราะเบา ๆ
“ฉันเห็นใจหลูกวง–เห็นใจสนาน อย่างน้อยเขาก็คิดอย่างสุจริต ดีกว่าพวกนายพลที่ทำนาบนหลังคนอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง” เจียงเฟพูดเสียงเครียด “เขาเชื่อว่าความคิดของเขาเป็นทางออกของชาติมนุษย์ เขาคิดเพื่อชาติมนุษย์–แต่ไอ้พวกกินชาติมันคิดเพื่อกระเป๋าของมัน ที่เห็นใจก็ตรงนี้ แต่ถึงเห็นใจก็ไม่เห็นด้วย เพราะมันต้องทำลายเพื่อจะสร้าง ทำไมเราจะต้องสร้างด้วยการทำลาย ? ปรัชญาอันนี้ฉันยังไม่เข้าใจ”
“มันเป็นกฎของความหมุนเวียน” ข้าพเจ้าออกความเห็น “ในหนังสือสามก๊กหน้าแรก เธอคงจะยังจำได้ ผู้แต่งได้เขียนไว้ว่า โลกมนุษย์เมื่อแยกแล้วก็ต้องรวม เมื่อรวมแล้วก็ต้องแยก อะไรทำนองนี้ มันต้องเหวี่ยงจากจุดหนึ่งกลับไปหาอีกจุดหนึ่งเสมอ ทุกอย่างมีจุดอิ่มตัว เมื่อถึงจุดอิ่มมันก็ต้องทลายออก ไม่มีอะไรจะอยู่ได้คงที่ ไม่มีอะไรจะอยู่ได้อย่างมั่นคงถาวรชั่วฟ้าดินสลาย เวลาคือความเปลี่ยนแปลง เมื่อเราสร้างกันมามากแล้วด้วยเวลา มันก็ต้องถึงกำหนดกันบ้างที่เราจะต้องทำลาย คนจะล้นโลก ถ้าเราไม่หาเหตุทำลาย หรือถ้าไม่มีเหตุทำให้มีการทำลาย เวลานี้เรากำลังอยู่ในยุควัตถุนิยม เรากำลังทิ้งจิตใจไว้ในความมืด วัตถุกำลังทำลายเรา เพราะถ้าไม่ทำลาย เราก็จะต้องแย่งกันกิน อาหารจะผลิตไม่ทันคนเกิด”
“ก็แปลว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นปรากฏการณ์อันหนึ่งของวัฏฏะที่หมายถึงการทำลายเพื่อผ่อนคลายความอัดแน่นของมนุษย์” เจียงเฟพูดเป็นเชิงถาม “คอมมิวนิสต์เป็นนักวัตถุนิยม ถ้าวัตถุนิยมกำลังล้างโลก คอมมิวนิสต์ก็คงเกิดมาเพื่อจะล้างโลก”
“ฉันเสียดายสัจธรรมของหลูกวง” ข้าพเจ้าพูดเบาๆ “เสียดายที่เขาใช้มันไปในการทำลาย”
๒
มีเสียงเคาะประตูค่อย ๆ เจียงเฟลุกขึ้นไปเปิด ข้าพเจ้ามองไม่เห็นคนที่ยืนอยู่ข้างนอก แต่อึดใจเดียวเจียงเฟก็หันมาขอโทษ แล้วก็ก้าวออกไปนอกห้องติวเดี่ยว เขาค่อย ๆ ปิดประตูไม่ให้ดัง ข้าพเจ้าได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาค่อย ๆ หายไปในความเงียบ
ข้าพเจ้าไปนั่งคอยอยู่นานจนเกือบจะเบื่อ จึงลุกขึ้นเปิดประตูเดินออกไปนอกห้องตลอดระเบียงไม่พบใครเลย ดูเหมือนเขาพากันลงไปกินน้ำชากันหมดแล้ว เมื่อเห็นว่าการคอยต่อไปไม่เป็นประโยชน์อะไร ข้าพเจ้าก็ลงบันไดไปข้างล่าง แวะเข้าไปที่ออฟฟิศมิสปอปอฟ สตรีสาวอายุกลางคนชาวสลาฟนั่งพิมพ์ดีดอยู่คนเดียว เมื่อเห็นข้าพเจ้าเธอก็ร้องเชิญ
“เข้ามาซี, ระพินทร์ มีธุระอะไรหรือ ?”
“ฉันคิดว่าเจียงเฟลงมาข้างล่าง” ข้าพเจ้าพูดเพื่อจะถาม
“อ้อ, เธอคงรอเจียงเฟ” มิสปอปอฟขมวดคิ้วแล้วเม้มริมฝีปาก ทำท่าคิด “ทำใจให้สบาย, ระพินทร์ ฉันคิดว่าคงไม่เป็นไร”
“อะไรกัน ?” ข้าพเจ้าถามเสียงค่อนข้างดัง เพราะตกใจที่เห็นสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยรอยพิรุธของมิสปอปอฟ
เลขานุการิณีของ ดร. เพทตัส ยืดตัวตรง เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง นิ่งอยู่สักครู่ก็ตอบว่า
“สันติบาลเชิญตัวเจียงเฟไป”
เหมือนฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา ข้าพเจ้ายืนตะลึง พูดอะไรไม่ออก