บทที่ ๒๗

ออกจากเยียนจิงโหลว ข้าพเจ้าเดินไปส่งเจียงเหมยที่ตึกนอนหรือ Forbidden City เพราะเธอมีบันทึกเรื่อง มาร์โคโปโล ที่เข้ามาเมืองจีนยุคราชวงศ์หยวน เมื่อศตวรรษที่ ๑๓ ซึ่งจะต้องรีบทำส่งอาจารย์ในวันรุ่งขึ้น เราเดินเคียงบ่าไปด้วยกันบนทางเท้าลาดซีเมนต์แคบ ๆ ระหว่างต้นหลิวซึ่งสยายถึงแกว่งไกวไปมาในสายลม สองข้างทางมีเก๋งและบึงใหญ่ตลอดจนสนามหญ้า สลับด้วยสุมทุมพุ่มไม้และภูเขาจำลองที่ก่อด้วยหิน รอบบริเวณกำลังสงบและสงัดเพราะไม่มีใครเดินผ่านไปมาเลย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าโลกอันวุ่นวายได้สงบเงียบไปชั่วขณะ มีเวลาจะคิดธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้ยืนยาว ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันอยากกลับไปอยู่สมัยเหลาจื่อ ฉันเชื่อว่าชีวิตในโลกมนุษย์จะต้องมีความสุขมาก เพราะธรรมชาติยังไม่ได้ถูกวัตถุทำลาย”

“จริงของเธอ โลกเรากำลังถูกวัตถุทำลาย” เจียงเหมยแสดงความเห็นด้วย “สมัยเหลาจื่อเมื่อ ๒๔๐๐ ปีก่อน เราอยู่กับธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ วัตถุธรรมมีเพียงที่เราต้องการใช้สำหรับการดำรงชีวิตที่สะดวกและจำเป็นเท่านั้น ไม่มีมากมายจนเหลือใช้อย่างทุกวันนี้ ซึ่งเลยกลายเป็นความฟุ่มเฟือยที่ทำให้ชีวิตกลายเป็นทุกข์ เพราะเกิดความโลภที่ไม่รู้จักสิ้นสุด เมืองจีนเวลานี้อยู่ในยุคตรงกันข้ามกับยุคของ เหลาจื่อ วัตถุธรรมที่เป็นของตะวันตก ได้เข้ามาครอบงำชีวิตจิตใจคนจีนเป็นเวลาหลายร้อยปี ฉันอยากจะว่ามาร์โคโปโล นักท่องเที่ยวคนเมืองเวนิสนั่นแหละเป็นมนุษย์คนแรกคนหนึ่งที่เปิดเมืองจีนให้แก่ตะวันตก ปล่อยให้วัตถุธรรมไหลเทเข้ามาท่วมบ้านเมืองของเรา เริ่มตั้งแต่วิทยาศาสตร์และการค้า ซึ่งนำกองทัพจักรวรรดินิยมผู้สร้างลัทธิอาณานิคม ติดตามเข้ามาตามลำดับกัน แล้วก็ช่วยให้คนอื่นเกิดความคิดใหม่ ๆ เรื่องเกื๋อมิ่ง ทำให้เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า คนต้องตายไปอย่างหาสาระไม่ได้เป็นสิบ ๆ ล้าน พร้อม ๆ กับเกื๋อมิ่ง ลัทธิเศรษฐกิจที่กำลังระบาดไปทั่วโลกก็แทรกซึมเข้ามา คือลัทธิ ก้งฉานต่าง ลัทธิ ก้งฉานต่าง กำลังสร้างประเทศจีนใหม่ ซ้อนลงไปบนประเทศจีนเก่า เวลานี้รอบ ๆ มณฑลหูหนานได้กลายเป็นประเทศของพวก ก้งฉานต่าง, มีรัฐบาลของตัวเอง พิมพ์ธนบัตรใช้เอง มีกองทัพของตัวเอง มีการเก็บภาษีเอาเอง จีนยุคปฏิวัติกำลังเป็นจีนประเทศ คือจีนกว๋อหมินต่าง กับจีนก้งฉานต่าง คนสองพวกนี้ขาดพี่ขาดน้องกันหมดแล้ว มีแต่จะฆ่าแกงกันจนอาจจะเหลือคนจีนคนสุดท้ายก็ได้ เธอพูดถึงยุคเหลาจื่อฉันก็พลอยใจคอชื่นบานไปด้วย ฉันอยากจะกลับไปหายุคเมื่อ ๒๔๐๐ ปีก่อน, ไปนั่งอยู่ใต้ต้นสนต้นไผ่ บนภูเขาท่ายซาน, ฟังเสียงลมเสียงน้ำไหลในลำธาร ฟังเสียงกิ่งไม้เสียดกันเหมือนเสียงเพลง มองดูเมฆหมอกที่ลอยอยู่ข้างล่าง ทำให้เกิดความรู้สึกคล้าย ๆ กับกำลังนั่งอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า พวกเซียนลูกศิษย์ของเหล่าจื่อจะต้องมีความสุขมาก จิตสงบบริสุทธิ์เป็นอิสระ ว่างจากความผูกพันทุกอย่าง แต่ว่า...โลกของเราทุกวันนี้มันใหญ่โตไปตามอายุ มีคนเป็นพัน ๆ ล้าน แย่งกันกินแย่งกันอยู่ เราจะไปนั่งเหินฟ้าท้าลมอยู่บนยอดเขา ฟังน้ำในลำธารไหลจ๊อก ๆ เห็นจะไม่ได้เสียแล้ว รอบ ๆ ตัวเรามันบังคับให้เราสู้ ม่ายยังงั้นเราก็อดตาย เราหนีโลกไม่พ้น–หนีตัวเองไม่ได้ เราจะทำอย่างไรกันดี เธอว่ายังไง ระพินทร์ ?”

ข้าพเจ้าพยายามหัวเราะ เจียงเหมยเอาเรื่องที่ไม่มีใครตอบได้มาถาม หมานโท่วที่ยังกองอยู่ในกระเพาะหลังอาหารกลางวันมันยังย่อยไม่หมด มันก็เลยทำท่าจะไม่ย่อยเอา ข้าพเจ้าคิดไม่ออก มันเป็นปัญหาที่คนในยุควัตถุท่วมโลกไม่มีทางจะตอบได้ หรือแก้ได้ แน่เหลือเกิน เราหนีวัตถุไม่พ้น มันกำลังฆ่าเรา มันกำลังจะทับเราตาย ที่จริงมันก็ได้ฆ่าไปมากแล้ว ทุก ๆ วันในแผ่นดินหลายพื้นที่ลุกเป็นไฟ แล้วผืนที่ใกล้ที่สุดก็คือลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ลุ่มแม่น้ำเหลืองหรือแม่น้ำหวงเหือ ลุ่มแม่น้ำเฮหลุงเจียง เหนือสุดของประเทศจีน ตลอดจนลุ่มน้ำจูเจียง ใต้สุดของประเทศอันกว้างใหญ่ไพศาลประเทศนี้

“ฉันว่ามนุษย์อารยะสมัยนี้ เขากำลังขุดหลุมฝังตัวเอง–ฝังทั้งเป็น–ตายทั้งเป็น” ข้าพเจ้าพูดแล้วก็หยุดหัวเราะ เพราะไม่สามารถจะแสร้งมีอารมณ์ขันได้ต่อไป

“ฉันก็ว่ายังงั้นแหละ” เจียงเหมยพูดอย่างซึมเซา “คนอย่างหลูกวงฉันว่าเขากำลังฝังชาติจีน พวกเรากำลังยืนตาย–ตายตาลืมโพลงเพราะมันหลับไม่ลง”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“แต่ฉันไม่ตำหนิหลูกวง เขาเดินไปในทางของเขา เดินตรงเป้าหมาย ไม่มีลังเลหรือสงสัย เขาเป็นคนจริง”

“เขามองไม่เห็นทางอื่น เพราะบ้านเมืองมันก็เหลวแหลกจนเกือบจะอยู่กันไม่ได้แล้ว แต่ว่า–ทางของหลูกวงผิดแน่ มันถอยหลังเข้าคลอง พระเจ้าฉินสื่อหวงตี้จะกลับมาเกิดอีก ประชาชนจะกลายเป็นทาสแรงงานอีกครั้งหนึ่ง”

ข้าพเจ้าพยักหน้าเห็นด้วย กวาดตาดูผิวน้ำในบึงใหญ่ที่ถูกลมพัดเป็นระลอก ส่วยถาหรือถังเก็บน้ำสร้างเป็นรูปเก๋งสูงชะลูด ยืนอยู่ตระหง่าน เหมือนยามเฝ้าเยียนจิงอยู่อีกฝั่งหนึ่ง มันเป็นสัญญลักษณ์ของความเป็นมนุษยชาติหนึ่ง ที่มีวัฒนธรรมความเจริญรุ่งโรจน์มาเท่าเทียมกับอียิปต์หรือบาบิลอน แต่ความรุ่งเรืองของอียิปต์กับบาบิลอน ทั้งในทางวัตถุและจิตใจ มีแต่สึกกร่อนสูญสลายกลายเป็นสมบัติของมิวเซียม และหอสมุดไปหมดแล้ว ต่างกับเมืองจีนซึ่งยังยืนอยู่ทั้งในทางวัตถุและจิตใจอันเป็นบุคลิกภาพของชาติที่สามารถคงทนต่อแรงพัดของลมตะวันตกอยู่ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าในบัดนี้ดูเหมือนว่าฟ้าจะปกาศิตเสียแล้ว มันเกิดไต้ฝุ่นลูกใหญ่ที่พัดมาจากมอสโคว์ เลือดมันจะท่วมแทนน้ำ บ้านเรือนจะพังทลาย วัฒนธรรมของขงจื๊อที่เป็นรากฐานแห่งบุคลิกภาพของคนจีนเลือดจีน ก็จะอยู่ไม่ได้ แล้วอะไรจะอยู่ ? มันจะเป็นสังคมที่ไม่มีอะไรใหม่ เพราะพระเจ้าฉินสื่อหวงตี้ ผู้ทำลายหนังสือไม้ไผ่ของขงจื๊อมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อสองพันกว่าปีก่อน กำลังจะมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่งเพื่อจะทำลายสมบัติทุกอย่างของบรรพบุรุษให้ย่อยยับไปอีก

เราเดินเคียงกันเข้าไปในระหว่างต้นหลิว นาน ๆ ก็มีต้นหยางขึ้นสลับเป็นกลุ่ม เจียงเหมยท่องโคลงให้ข้าพเจ้าฟัง ไพเราะซาบซึ้ง แสดงถึงจินตนาการอันล้ำลึกยากจะหยั่งได้ถึง ข้าพเจ้าได้สำนึกมากขึ้นทุกวันว่าจีนเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ยิ่งใหญ่ด้วยกาลเวลา ยิ่งใหญ่ด้วยปรัชญาที่ครองใจคน ยิ่งใหญ่ด้วยวรรณคดีอายุเป็นพันปี ใช้คำน้อยที่สุด แต่กินความกว้างที่สุดและไกลที่สุด แล้วก่อนที่จะถึงประตูทาสีแดงเพลิงแห่ง Forbidden City เมื่อเจียงเหมยกำลังถามถึงสุนทรภู่ยอดกวีของชาติไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดซึ่งกันและกัน บุรุษร่างเพรียวแบบนักกีฬาก็ก้าวออกมาจากซอกหินของลูกเนินจำลองเล็ก ๆ ทางขวามือ ข้าพเจ้าหยุดพูด แต่ไม่ได้หยุดเดิน ส่วนเจียงเหมยก็ยิ้มระรื่นกับเขาอย่างปกติ

บุรุษนั้นคือ สนาน ตั้งเรืองแสง

สนานทักข้าพเจ้าอย่างไม่แสดงความตื่นเต้นอะไรเลย ซึมเซาและเฉื่อยชาผิดปกติ เจียงเหมยพูดกับเขาก่อน เขายิ้มอย่างปราศจากความร่าเริง ผิดกับทุกครั้งที่เขาพบกับราชินีของเขา

ข้าพเจ้าสงสัยสนานนิดหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะมีอะไรในใจ ข้าพเจ้าพูดกับเขาว่า

“นึกว่าเข้าเมือง โทร. ไปตามที่ตึกก็ไม่พบ–อยากจะชวนไปกินข้าวด้วยกัน”

สนานไม่ตอบตามเรื่องที่ข้าพเจ้าพูด เขากลับพูดว่า

“ไปรอที่เจ่เม่โหลว แต่ก็ไม่พบ ยายอาม้าที่ตึกนี่ก็บอกว่าออกไปตั้งนานแล้ว”

เจียงเหมยนิ่งฟัง เมื่อจับหางเสียงได้ว่าเขาหมายถึงตัว ก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วตอบว่า

“ฉันโทร. ไปที่ตึกตั้งแต่เช้า อาซุยบอกว่าเธอเข้าเมือง”

สนานนิ่งไปนิดหนึ่ง ไม่ตอบเรื่องเข้าเมือง เป็นแต่พูดว่า

“ฉันมีเรื่องสำคัญมากจะพูดกับเธอ ต้องขอโทษด้วยนะ ระพินทร์” เขาหันมามองหน้าข้าพเจ้าเมื่อพูดประโยคหลัง

ข้าพเจ้ายิ้มอย่างใจเย็น

“ก็คิดว่ากำลังจะกลับ นัด ดร. เจียงแกไว้ที่ พี.ยู.เอ็ม.ซี. ข้าพเจ้าหันไปทางเจียงเหมย “ขอบใจเธอ เจียงเหมย เธอกำลังทำให้ฉันสนใจกับวรรณคดีจีน ยากมากแต่ก็ไพเราะมาก”

เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มอึดอัดมากขึ้น สนานชักจะเสียกิริยายิ่งขึ้นทุกทีเพราะเขาไม่ได้ยิ้มกับข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ารีบลากลับ เดินดุ่มออกไปทางตึกถูซูก่วน ทิ้งให้คนทั้งสองยืนนิ่งเงียบอยู่ด้วยกันตามลำพัง

วันนั้นดูจะเป็นวันที่โชคข้าพเจ้าไม่ใคร่ดีนัก ข้าพเจ้าไม่ได้พบ ดร. เจียงตามนัดเพราะแกติดประชุมด่วนเรื่องผ่าตัดใหญ่ ไม่มีเวลาจะออกมาพบได้ ข้าพเจ้าไม่มีธุระอะไรที่สำคัญต้องการเพียงจะเล่าอาการโรคประสาทให้ฟัง เพราะ ดร. กิลแคร์ ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ข้าพเจ้าแวะไปเยี่ยม ดร. เผิง เขาก็อยู่ในห้องผ่าตัดยังไม่ออกมา เมื่อไม่พบเพื่อนหมอก็เดินทะลุออกไปทางถนนหวางฝูจิ่ง ตั้งใจจะแวะที่ชิงเหนียนห้วย หรือ Y.W.C.A. ที่นั่นข้าพเจ้ามีเพื่อนสุภาพสตรีจีนหลายคนที่เจียงเหมยแนะนำให้รู้จัก คนหนึ่งคือมิสหลิวลี่ แต่เธอออกไปซื้อของเสียที่ตลาดตุงอัน คนอื่น ๆ ก็พลอยไม่อยู่ไปด้วย ตกลงเป็นอันว่าข้าพเจ้าคว้าน้ำเหลว ทั้งที พี.ยู.เอ็ม ซี และที่ วาย.ดับยู.ซี.เอ. รู้สึกหงุดหงิดและเงียบเหงาและเกิดอารมณ์คิดถึงบ้านขึ้นมาอย่างประหลาด

ข้าพเจ้าตกลงใจกลับเวสท์บิลดิ้งตึกพักเพื่อเขียนจดหมายถึงคุณแม่กับน้อง และจะต้องตรวจบทความที่เขียนเตรียมไว้เมื่อคืนเพื่อจะส่งไปตีพิมพ์ที่หนังสือพิมพ์ของเพื่อนรักในเมืองไทย ตามที่เคยทำในโอกาสที่มีอารมณ์จะเขียนเพื่อความพอใจที่ได้พูดอะไรออกมา

แต่ที่เวสท์บิลดิ้ง ข้าพเจ้าก็พบจดหมายจากเมืองไทยฉบับหนึ่งเสียบไว้ที่แผงตรงปากทางเข้าห้องฮอลล์ เห็นลายมือก็จำได้ทันที มันเป็นจดหมายที่ข้าพเจ้ารอคอยมาทุกวันเป็นเวลาหลายสัปดาห์มาแล้ว จดหมายนั้นคือจดหมายของประนุท นักเรียนสายปัญญาที่เพิ่งสำเร็จ เพื่อนบ้านที่รักสนิทของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้ารีบฉีกจดหมายนนออกอ่านด้วยความตื่นเต้น ประนุทเขียนมาด้วยลายมือที่สวยเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนนิสัยของเธอ ข้าพเจ้าเชื่อว่าประนุทเป็นผู้หญิงไทยที่เกิดมาเพื่อจะเป็นแม่ศรีเรือน ผู้ชายที่ได้แต่งงานกับเธอจะต้องเป็นผู้ชนะที่มีความสุขที่สุดในโลก

จดหมายนั้นมีมาว่าดังนี้

“พี่คะ

จดหมายของพี่ นุทได้รับแล้วเมื่อปลายเดือนก่อน แต่เพิ่งมาตอบเอากลางเดือนนี้ อย่าเพิ่งโกรธนะคะ ยิ้มเสียก่อนจึงอ่านต่อไป ถ้ายังยิ้มไม่ออก ก็เอาเก็บเข้าลิ้นชักไว้ก่อน นุทไม่อยากให้พี่ฟังนุทพูดด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว

เรื่องมันอย่างนี้ค่ะ คุณแม่ป่วยมาก หมอสงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง ถ้าเป็นมะเร็งก็หมายความว่านุทจะไม่มีแม่อีกแล้ว นุทตกใจมาก หมดกำลังใจจะเขียนตอบพี่ เพราะรู้ตัวว่าขืนเขียนไปก็คงไม่มีถ้อยคำอะไรที่จะทำให้พี่มีความสบายใจได้ ไม่เขียนดีกว่า รอให้สะกดใจได้เสียก่อน แต่ต่อมาก็โล่งอกไปได้ค่ะ คุณแม่เป็นเนื้องอกชนิดที่ไม่ร้าย เพียงตัดออกก็หาย ไม่มีการลุกลาม คุณแม่ได้ทำการผ่าตัดแล้วเมื่อสามวันก่อน เวลานี้ปลอดภัยแล้วค่ะ แต่ยังคงนอนอยู่ในโรงพยาบาล หมอให้พักจนกว่าแผลจะสนิท

นุททำให้พี่เกลียดไหมคะ ? นุทใจไม่สบายเลยเมื่อคิดว่าพี่อาจไม่พอใจที่นุทหยุดเขียนไปถึงสามอาทิตย์ มันนานมากทีเดียวสำหรับการรอ เพราะนุทก็เคยรอจดหมายพี่ แล้วก็ทราบดีว่าการรอมันทรมานเพียงไร

จะเล่าเรื่องบ้านเราก่อนแล้วจึงจะตอบจดหมายของพี่ ทุกคนสบายดีบ่นถึงพี่เสมอ ไม่มีใครที่ไม่บ่น บ้านคุณป้าก็เรียบร้อยดี พี่ไม่ต้องห่วง คุณป้าท่านแข็งแรงตามเคย ขยันตามเคย ทำขนมส่งมาให้นุททานทุกอาทิตย์ นุทก็ซื้อของที่ท่านโปรด ๆ ไปกราบเท้าท่านไม่เว้นเหมือนกัน พี่ดีใจไหมคะที่ท่านบอกว่าท่านอยากมีลูกอย่างนุทสักคนหนึ่ง เพราะนุทช่างเอาใจ ไม่ว่าจะทำอะไรให้ก็ถูกใจท่านไปหมด ท่านเมตตานุทมากเทียวค่ะ พวกบ้านนุทพากันอิจฉา เขาพูดอะไรหลายอย่าง นุทไม่ทราบจะเล่าให้พี่ฟังได้อย่างไร มันเป็นเรื่องเพ้อฝันของคนเหล่านี้ แต่เขาก็หวังดีค่ะ เขาล้อนุททุกครั้งที่บุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายพี่มาส่ง บางทีก็เอาจดหมายไปซ่อนเสีย กว่าจะได้มาอ่านก็ต้องเสียค่าไถ่แพง ๆ จดหมายพี่ฉบับก่อนนุทต้องเลี้ยงไอสครีมเขาทั้งบ้าน เลยกลายเป็นเรื่องสนุกไป เขาว่าจดหมายฉบับต่อไปเขาจะเรียกค่าไถ่อีก คราวนี้เขาจะให้เลี้ยงขนมจีนน้ำยา

บ้านพี่ เพื่อนเก่า ๆ ยังคงมาเยี่ยมคุณป้าอยู่นาน ๆ ครั้ง มีคุณกุหลาบ คุณมาลัย คุณทองใบ คุณทองใบก็ไถลมาเยี่ยมบ้านนุทในบางคราว แกคุยสนุกค่ะ ยิ้มตลอดวันมีเรื่องขัน ๆ เล่าให้ฟัง เราชอบล้อมวงฟังแกคุยเสมอ แกตลกไม่แพ้ “นายต่วยตีแปลง” เลยค่ะ แกเขียนถึงพี่บ้างหรือเปล่าคะ ?

กรุงเทพ ฯ ไม่มีอะไรจะเล่าค่ะ จะมีก็ไม่อยากเล่า เพราะภาวนาขอจนให้มี พี่คงได้กลิ่นการปฏิวัติบ้างแล้ว พูดกันแซ่ดไปหมด แต่ไม่เห็นใครทุกข์ร้อน เพราะน้อยคนที่คิดว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ และอีกประการหนึ่ง ไม่มีใครเข้าใจคำว่าปฏิวัติ มันจะร้ายแรงแค่ไหน และอะไรจะเป็นผลติดตามมา ไม่มีใครค่อยชอบคิด เราก็อยู่อย่างพี่อย่างน้อง อย่างข้าอย่างเจ้ากันมาช้านานก็เลยชิน ไม่เคยคิดเรื่องเขาเรื่องเรา นุทก็ภาวนาอย่าให้มีอะไรยุ่ง ๆ ขึ้นเลย เพราะไม่ทราบว่าถ้าเกิดยุ่งขึ้น มันจะบานปลายไปแค่ไหน แล้วประชาชนจะได้อะไร เวลานี้ก็มีคนพูดถึงเสรีภาพกันมากค่ะ แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับรองว่าเราจะได้เสรีภาพ หรือจะได้นกกะสา

เอาละค่ะ ตอบจดหมายพี่เสียหน่อย พี่เล่าเรื่องเมืองปักกิ่งได้ดีมาก นุทอยากไปเที่ยวบ้าง พี่เอ่ยชื่อเพื่อนในปักกิ่งหลายคน มีคนไทยหลายคนหรือคะ ? น่าตื่นเต้นจัง เพื่อนคนที่ชื่อเจียงเหมยนุทสนใจค่ะ พี่ว่าเป็นตัวแทนของผู้หญิงจีนที่ดีเลิศของยุคนี้ ถึงขนาดดีเลิศทีเดียวหรือคะ ? มีดีอะไรบ้าง ? ฉบับหน้าขอรายละเอียดสักหน่อย หวังว่าคงไม่มีอะไรที่เป็นเรื่อง “ลับเฉพาะ” นะคะพี่ !

ขอให้พี่มีความสุขและปลอดภัย นุทจะนับวันนับคืนรอวันที่พี่จะกลับมา

แสนจะคิดถึงค่ะ

น.”

  1. ๑. หมายเหตุของผู้แต่ง เหลาจื่อ เป็นภาษาเหนือ ภาษาใต้ที่เรียกกันในเมืองไทย คือ เล่าจื๊อ

  2. ๒. เกื๋อมิ่ง เป็นภาษาเหนือ ภาษาใต้ที่เรียกกันในเมืองไทย คือ เก๊กเหม็ง

  3. ๓. ก้งฉานต่าง เป็นภาษาเหนือ คือ ลัทธิ “คอมมิวนิสต์”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ