บทที่ ๒๖

ข้าพเจ้าลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมเดินออกไปรับเจียงเหมยที่ลานหินอ่อนระหว่างเสากลมสีแดงเพลิงสองเสา แล้วพามานั่งยังเก้าอี้นวมปูผ้าสีเขียวแก่ตัวใหญ่ทางด้านซ้ายของห้องโถงใกล้ ๆ กับปีอาโนซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่าง เจียงเหมยมีสีหน้าสดชื่นเปล่งปลั่งเช่นเคย ดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยชีวิตที่กำลังเบ่งบาน เหมือนดอกไม้ที่แย้มกลีบในเวลาใกล้อรุณ ข้าพเจ้าคิดว่าราชินีแห่งเยียนจิงมีความงามเป็นพิเศษในวันนี้ ความงามของผู้หญิงเป็นสุขของผู้ชายและความสุขนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นความรัก ข้าพเจ้าเชื่อความจริงข้อนี้ เพราะมันเกิดแก่ตัวของข้าพเจ้าเอง

ข้าพเจ้าไม่มีธุระและไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปเยี่ยมเจียงเหมย เพราะฉะนั้นจึงขึ้นต้นไม่ถูกว่าควรจะพูดอะไรดี เจียงเหมยเห็นดังนั้นก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า

“สนานเขาบอกว่าพบเธอที่ตุงอันชื่อฉ่าง เธอกำลังอยู่กับพี่เฟ”

“อ้อ สนานเขาบอกเธอหรือ ?” ข้าพเจ้าถามอย่างแปลกใจ เพราะจำได้ว่าสนานเดินผ่านห้องที่ข้าพเจ้านั่งกินอาหารอยู่กับเจียงเฟไปโดยไม่มีท่าทีว่าจะเห็นข้าพเจ้าเลย

“เขาบอกฉันเมื่อวานนี้ ฉันก็ถามเขาว่าทำไมไม่เข้าไปคุยกับเธอด้วยเล่า เขาก็ตอบอึกอักฟังไม่รู้เรื่อง หรือว่าเธอไม่ได้เชิญเขา ?”

เมื่อถูกรุก ข้าพเจ้าก็จำเป็นต้องอธิบายเรื่องไปตามความเป็นจริง

“ก็คิดจะเรียกเขาให้เข้ามากินข้าวด้วยกัน แต่รู้สึกว่าเขากำลังวิ่ง”

“เขาบอกเธอใช่ไหมว่ากำลังวิ่ง–วิ่งไปไหนกัน ?” เจียงเหมยซักต่อไป

ข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัด เพราะไม่อยากจะเล่าสิ่งที่ข้าพเจ้ากับเจียงเฟได้เห็นและได้สันนิษฐานไว้อย่างที่ไม่ควรจะผิดพลาด สนานกำลังเดินตามหลังหลูกวงกับพวกไป และไม่ได้มองเข้ามาข้างในห้องที่ข้าพเจ้านั่งกินอาหารอยู่กับเจียงเฟ แต่เขารู้ได้ยังไงว่าข้าพเจ้าอยู่กับเจียงเฟในห้องอาหารห้องนั้น ? ไม่มีปัญหา หลูกวงต้องบอก เพราะหลูกวงเป็นผู้เห็นข้าพเจ้ากับเจียงเฟอย่างเต็มตา

“ฉันก็ไม่รู้ว่าเขากำลังรีบไปไหน” ข้าพเจ้าตอบอย่างขอไปที

“เขาไม่ได้บอกเธอหรือ ?”

“เขาเดินผ่านห้องไป”

“เดินผ่านห้องไป–แต่เขาว่าเขาเห็นเธอ”

“ก็ไม่แน่ว่าเขาจะเห็นฉันหรือเปล่า เพราะเขากำลังรีบเดิน”

“แปลก ! สนานเขาว่าเขาพบเธอ พบนะ, ไม่ใช่เห็น แต่เธอว่าเขาเดินผ่านห้องไปแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเห็นเธอหรือเปล่า ? ฉันฟังเธอพูดแล้วมันยังไง ๆ อยู่ก็ไม่รู้ เรื่องมันยังไงกันแน่นะ, ระพินทร์ ?”

ข้าพเจ้าพยายามยิ้มแทนคำตอบ แต่เมื่อยิ้มแล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เจียงเหมยจึงถามต่อไป

“ฉันว่าสนานมีพิรุธ เขาไปคนเดียวหรือหลายคน ?”

“ฉันเห็นเขาเดินผ่านไปคนเดียว” ข้าพเจ้าตอบอย่างระมัดระวัง

“เธอแน่ใจว่าไม่มีใครอีกหรือ ?”

“ฉันเห็นเขาเดินไปคนเดียว” ข้าพเจ้ายืนกราน

“ฉันจะถามพี่เฟดู เขาอาจจะสังเกตเห็นคนบางคนที่เธออาจไม่เห็นก็ได้”

“คนบางคน” ข้าพเจ้าทวนคำ “ใคร ?”

“มีคนบอกฉันว่าวันนั้นสนานกับหลูกวงขับรถบัสเข้าเมืองไปด้วยกัน”

ข้าพเจ้านิ่ง ไม่พูดอะไร เพราะมันเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้สนานกับเจียงเหมยขัดใจกัน เพราะเหตุการณ์ที่เป๋ห่ายวันนั้นยังคงเตือนข้าพเจ้าว่าคนสองคนนี้อยู่กันคนละค่าย–คนหนึ่งอยู่ค่ายซ้าย อีกคนหนึ่งอยู่ค่ายขวา

“ฉันไม่สบายใจเลย, ระพินทร์” ในที่สุดเจียงเหมยก็เอ่ยขึ้น “ฉันพูดกับสนานไม่รู้เรื่อง เขาเห็นหลูกวงเป็นพระเจ้า”

“พระเจ้าทีเดียวหรือ ? หลูกวงมีอะไร ถึงจะต้องเป็นพระเจ้า ?” ข้าพเจ้าพูดแล้วก็หัวเราะด้วยความขบขัน

“หลายคนในเยียนจิงบูชาหลูกวงเหมือนบูชาพระเจ้าองค์ใหม่ของเมืองจีน เขามีบุคลิกภาพเป็นแม่เหล็ก คนหลงง่าย”

“บุคลิกภาพอย่างหลูกวงน่ะหรือ เป็นแม่เหล็กทำให้คนหลง” ข้าพเจ้าส่ายหน้าไปมา “หลูกวงเป็นคนน่ากลัวมากกว่าที่จะทำให้คนหลง หน้าเหี้ยม, ตาดุ, ผมยาวรุงรัง, หนวดเคราไม่เคยโกน, เหม็นสาบสกปรก, สงสัยว่าจะไม่เคยแปรงฟันมาเป็นปี ๆ, พูดจาหยาบคาย เวลาโกรธก็เอะอะโวยวายมุทะลุดุดันเหมือนออกมาจากป่า ถ้านักศึกษามหาวิทยาลัยขนาดสนานไปบูชาคนอย่างหลูกวง ฉันก็ว่าโลกมันกำลังจะหยุดหมุนแน่ ๆ”

เจียงเหมยมองออกไปนอกหน้าต่าง–มองไปไกลลิบเท่าที่สายตาจะทอดไปถึงได้ ท่าทางคล้ายกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ความชื่นบานในสีหน้าที่ข้าพเจ้าเห็นเมื่อกี้ได้หมดสิ้นไปแล้ว

“หลูกวงทำตัวเป็นคาร์ลมาร์กซ์ เธอเคยเห็นรูปคาร์ล มาร์กซ์ไหม ?” เจียงเหมยถาม

“เคย”

“นั่นแหละรูปของนักปราชญ์ละ เวลานี้ถ้าใครอยากเป็นนักปราชญ์ก็ต้องไว้ผมยาว ๆ ปล่อยให้รุงรังมาก ๆ หน่อย หนวดเคราต้องไม่โกน, ทำท่าขรึม ๆ บ๊อง ๆ ดุ ๆ เสื้อผ้าต้องเหม็นสาบให้มาก ๆ หน่อยเพราะไม่มีเวลาซักหรือมีก็ไม่ซัก เรากำลังมีนักปราชญ์ชนิดนี้มากขึ้นทุกวัน อีกหน่อยร้านตัดผมคงจะต้องล้ม เพราะไม่มีใครตัดผมโกนหนวด หลูกวงพยายามทำตัวให้เหมือนคาร์ลมาร์กซ์ เขาคลั่งลัทธิเหมือนคนบ้า ฉันว่าถ้าคนบ้าคลั่งมีอำนาจปกครองโลก พวกเราประชาชนคงจะต้องหนีไปอยู่ถ้ำกันอีกก็ได้”

“หลูกวงมีพวกมากหรือ ?” ข้าพเจ้าถาม

“ก็มากพอดู” เจียงเหมยตอบ เจียงเหมยตอบ “เขากำลังเป็นพระเจ้าของพวกนักศึกษา ไม่ใช่เฉพาะเยียนจิงนะ มหาวิทยาลัยอื่น ๆ เขาก็มีพวก ฉันเป็นห่วงสนานมาก เขาจะตายไม่รู้ตัว เวลานี้รัฐบาลนานกิงเขาเก็บคอมมิวนิสต์หมด เพราะคอมมิวนิสต์กำลังกระจายกำลังกว้างขวางออกไปทุกที”

ข้าพเจ้าขมวดคิ้วนิ่งคิดอยู่สักประเดี๋ยวก็ถามว่า

“เธอคิดหรือว่า สนานเป็นคอมมิวนิสต์ ?”

“ฉันไม่อยากคิด แต่สนานเขาทำท่าจะเป็น”

“เขาเคยคุยอะไรกับเธอบ้างเรื่องหลูกวง ?”

“ไม่เคย”

“การคุยกับหลูกวงไม่จำเป็นจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์ ฉันว่าเธออย่าเพ่อคิดมากไปดีกว่า”

“ฉันเคยถามเขา”

“ถามว่ายังไง ?”

“ถามว่าเมืองจีนควรจะไปทางไหน ? เขาว่ามีทางเดียว ต้องให้ชาวนากับกรรมกรมีอำนาจ ต้องมีคนเผด็จการคนเดียว ไม่ใช่หลายร้อยคนอย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้”

“เขาไม่พูดอะไรอีกหรือ ?”

“เขาพูดเพียงแค่นี้”

“เขาอาจเป็นคนรักชาติก็ได้ เป็นคนปฏิวัติสังคมเพื่อชาติ ต้องการยกอาชีพเกษตรและอุตสาหกรรม เพราะเมืองจีนมีทางเป็นมหาอำนาจได้ถ้ามีการปฏิวัติการเกษตรและอุตสาหกรรม แต่ว่าปฏิวัติอย่างไร ? ปัญหามันอยู่ตรงนี้”

“แต่หลูกวงเป็นคอมมิวนิสต์แน่นอน ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องถูกยิงเป้า”

ข้าพเจ้าพยักหน้า

“เมืองจีนจะแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ด้วยการเป็นคอมมิวนิสต์–รัสเซียก็เหมือนกัน คอมมิวนิสต์ทุกประเทศไม่มีทางจะไปได้รอด เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ จริงอยู่ แกนของโลกกำลังเอียงซ้าย แต่มันเป็นซ้ายทางฝ่ายปัจเจกชนนิยมมากกว่าสังคมนิยม การกดขี่ของลัทธิคอมมิวนิสต์ จะทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรงทางฝ่ายประชาชน ปฏิกิริยานี้จะทวีกำลังมากขึ้น แล้วในที่สุดโลกก็จะหันไปหาลัทธิปัจเจกชนนิยม เธอกับฉันยังมีเวลาอยู่ดูเวลาอยู่ดูโลกของปัจเจกชน เราคงไม่ด่วนตายเสียก่อน”

เราคุยกันถึงหลูกวงและสนานอีกครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็ชวนเจียงเหมยไปกินอาหารกลางวันที่เยียนจิงโหลว เราพยายามลืมเรื่องหนักสมองที่คุยกันเมื่อตะกี้ เพราะมันใช่เรื่องสนุกสำหรับคนหนุ่มคนสาว แต่เจียงเหมยมีความห่วงใยสนานมาก จึงต้องคุยเปะปะไปถึงเรื่องที่ทำให้จิตใจเหี่ยวแห้งขุ่นมัว แต่มันเป็นเรื่องที่นักศึกษาอย่างเราไม่ควรจะคุยกันเลยเช่นนั้นหรือ ? เราจะหาแต่ความสนุกสนานร่าเริงบนฟลอร์เต้นรำ บนลานสะเก็ตน้ำแข็งที่เป๋ห่าย ในโรงภาพยนตร์ในงานปาร์ตี้ อย่างเดียวเท่านั้นหรือ ? เราคนหนุ่มคนสาวเป็นเสาหินของโลกในอนาคต เราจะไม่ยอมรู้จักความสำคัญของตัวเราเลย จะไม่ยอมรับผิดชอบต่ออนาคตของเราและลูกหลานของเราที่จะเกิดตามมาอีกเลยเช่นนั้นหรือ ?

ที่เยียนจิงโหลว เราพบเพื่อนที่รูจักมักคุ้นกันหลายคน แต่ไม่มีสนาน เพื่อนคนหนึ่งบอกเราว่าสนานเข้าเมืองกับหลูกวง เจียงเหมยนั่งคอแข็งไม่พูดอะไร สนานเข้าเมืองกับหลูกวงอีกแล้ว บ่อยเหลือเกิน มันจะต้องมีอะไรแน่ ๆ ข้าพเจ้าเห็นสีหน้าเจียงเหมยไม่ดี จึงพยายามชวนคุยถึงเรื่องเมืองไทยที่เจียงเหมยชอบฟัง ทำให้หญิงสาวลืมสนานกับหูลูกวงไปได้พักหนึ่ง

“ฉันกำลังจะมีเพื่อนคนใหม่มาจากเมืองไทย” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง “เป็นนายแพทย์ที่มีฝีมือ เขาจะดูงานที่ พี.ยู.เอ็ม.ซี.”

“ดีจัง ฉันจะได้เพื่อนคนไทยอีกคนหนึ่ง เขาชื่ออะไรนะจ๊ะ ระพินทร์?”

“มนัส”

“มนัส–ชื่อแปลกดี เขาคงเป็นคลาสเมทของเธอ”

“เขาแก่อาวุโสกว่าฉัน เขาเรียนจบแพทย์เมื่อฉันจบโรงเรียนมัธยม มนัสเป็นคนดีเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัวแล้ว”

“เขาจะอยู่สักกี่ปี”

“ก็คงไม่เกินสองปี ฉันพูดกับ ดร. เผิงกับครูเจียงไว้แล้ว จะให้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงเขา เขาพูดปักกิ่งไม่ได้เลย”

“เออ ระพินทร์ ฉันจะขอทายอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้าฉันทายถูกเธอจะให้อะไรฉัน ?” เจียงเหมยมองตาข้าพเจ้าแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

“เธอจะทายอะไร ?” ข้าพเจ้าสบตาอันมีประกายเป็นดาวของเธอ

“แต่เธอจะต้องบอกก่อนว่า ถ้าฉันทายถูกเธอจะให้อะไรฉันเป็นรางวัล”

ข้าพเจ้าหัวเราะ

“เพื่อไม่ให้ฉันเสียเปรียบ ถ้าเธอทายผิดเล่า เธอจะให้ฉันปรับอะไรเธอ”

“ผู้ชายอย่างเธอคงไม่ปรับผู้หญิงอย่างฉันหรอก ใจเธอแข็งพอจะปรับเจียวหรือ ?” เจียงเหมยพูดแล้วก็หัวเราะอย่างมีความสุข

“เธอทายใจฉันถูก ฉันใจไม่แข็งพอหรอกที่จะปรับเธอ เอาเป็นว่าฉันพร้อมจะให้รางวัลเธอก็แล้วกัน เธอต้องการอะไรล่ะ เจียงเหมย ?”

“ถ้าฉันทายถูก ฉันขอรูปถ่ายเธอสักรูปหนึ่ง”

“รูปถ่าย !” ข้าพเจ้าทวนคำอย่างแปลกใจ “รูปถ่ายของฉันมีเกียรติพอจะเข้าไปใน Forbidden City ของเธอเจียวหรือ ?”

เจียงเหมยหัวเราะเห็นฟันอันงามเหมือนไข่มุก

“เธอคงไม่รู้หรอกว่ารูปถ่ายของเธอมีค่าสำหรับฉันมากมายเพียงไหน เธอเป็นคนไทยคนแรกที่ฉันบูชาน้ำใจ”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าโลหิตฉีดซ่าไปทั่วสรรพางค์กาย นิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายถูกสะกดจิตด้วยคำสุดท้ายของราชินีแห่งเยียนจิง ข้าพเจ้ามีอะไรให้เธอบูชาน้ำใจ ? คำพูดคำนี้ปักลึกเข้าไปในหัวใจที่คั่งไปด้วยเลือดของคนหนุ่ม

“เอาละ เธอจะทายอะไร ?” ข้าพเจ้าพยายามพูดออกมาเพื่อระงับความตื่นเต้นที่ได้รับจากคำพูดของเธอ

“คอยฟังให้ดีนะจ๊ะ ระพินทร์” เจียงเหมยทำหน้าตาขึงขัง “ฉันจะทายว่า ดร. มนัสที่จะมาจากเมืองไทย จะต้องมีของฝากมาให้เธอ”

“เธอทายอย่างกำปั้นทุบดิน มันก็ต้องถูกเท่านั้นเอง”

“กำปั้นทุบดินยังไง ?” เจียงเหมยเอียงคอถาม

“เธอก็รู้ดีนี่นาว่าคุณแม่จะต้องฝากอะไรมาให้ฉัน”

“อ๋อ ! ไม่ใช่คุณแม่ ถ้าเป็นคุณแม่ ก็ไม่นับว่าทายถูก ฟังฉันให้จบเสียก่อน ฉันทายว่าประนุทของเธอจะต้องฝากอะไรมา”

“ประนุท” ข้าพเจ้าจ้องตาเจียงเหมยอย่างมีความหมาย”

“เธอยังจำชื่อประนุทได้อีกหรือ ? ฉันเคยเอ่ยให้เธอฟังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น”

“ฉันอาจจะลืมชื่อใครต่อใครก็ได้ถ้าฉันอยากจะลืม แต่สำหรับประนุทฉันไม่มีวันลืมหรอก ประนุทของเธอฉันจำใส่ใจ จำทุกคำพูดที่เธอพูดเรื่องประนุทให้ฉันฟัง”

“ยังงั้นเจียวหรือ ?” ข้าพเจ้าร้องอย่างแปลกใจ “เธอไปนั่งจำเรื่องประนุททำไมกัน ?”

“เพราะประนุทเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอน่ะซี ระพินทร์ !” เจียงเหมยตอบสวนออกมาทันที รอยยิ้มในสีหน้าค่อย ๆ หายไป

ข้าพเจ้านิ่ง ไม่อาจจะหาคำพูดอะไรพูดต่อไปอีกได้ ท่าทีของหญิงสาวผู้เป็นราชินีแห่งเยียนจิงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ประนุทมีความหมายอะไรมากนักหรือสำหรับเจียงเหมย ?

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ